การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2550
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง
ข้อ 1. นายรักรามเป็นผู้ที่สนใจเนื้อหาเกี่ยวกับวิชากฎหมายระหว่างประเทศอย่างมาก แต่ไม่เข้าใจประเด็น เกี่ยวกับการสิ้นสุดของสนธิสัญญาในกรณีการเกิดสงครามว่า สนธิสัญญาที่รัฐทำขึ้นก่อนการเกิดสงครามระหว่างกันจะสิ้นสุดลงหรือไม่ อาจบังคับได้ระหว่างคู่สงครามเสมอไปหรือไม่ ท่านในฐานะ ที่ผ่านการศึกษาวิชา LAW 4003 มาแล้ว จะอธิบายให้นายรักรามเข้าใจในประเด็นปัญหานี้อย่างไร
ธงคำตอบ
สงครามทำให้สนธิสัญญาซึ่งทำระหว่างรัฐคู่สงครามก่อนเกิดสงครามสิ้นสุดลง ซึ่งสงครามในที่นี้ หมายถึงสงครามตามความหมายของกฎหมายระหว่างประเทศ การใช้กำลังบังคับในรูปแบบอื่นที่ไม่ถึงขั้นทำสงคราม ยังไม่มีผลทำให้สนธิสัญญาสิ้นสุดลงได้
หลักการที่ว่าสงครามทำให้สนธิสัญญาที่ทำไว้ก่อนเกิดสงครามสิ้นสุดลง จะต้องแยกพิจารณาว่า เป็นสนธิสัญญาสองฝาย (ทวิภาคี) หรือหลายฝ่าย (พหุภาคี)
สำหรับสนธิสัญญาสองฝ่าย (ทวิภาคี) โดยหลักการแล้วถือว่าสนธิสัญญาที่ทำไว้ก่อนเกิด สงครามของรัฐคู่สงครามสิ้นสุดลง เว้นแต่
1. สนธิสัญญาที่ทำขึ้นเพื่อบังคับใช้โดยตรงในเวลาสงคราม เช่น อนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วย กฎหมายและจารีตประเพณีในการทำสงครามทางบก ค.ศ. 1907 อนุสัญญาเจนีวาว่าด้วย การปฏิบัติต่อเชลยศึก ค.ศ. 1949
2. สนธิสัญญาบางชนิด เช่น การยกดินแดน
3. สนธิสัญญานั้นเองได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่าให้คงดำเนินต่อไปแม้เมื่อเกิดสงคราม เช่น สนธิสัญญา ลงวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 1815 ระหว่างอังกฤษ ฮอลแลนด์ และรัสเซีย ซึ่งกำหนดว่า อังกฤษจะต้องจ่ายเงินให้รัสเซียแม้ว่าจะทำสงครามกับรัสเซียก็ตาม ในสงครามไคเมีย ระหว่างอังกฤษกับรัสเซีย อังกฤษก็ยังชำระหนี้ให้รัสเซียต่อไป
สำหรับสนธิสัญญาหลายฝ่าย (พหุภาคี) ซึ่งมีทั้งรัฐคู่สงครามและรัฐเป็นกลางเป็นภาคีใน สนธิสัญญา ผลของสนธิสัญญาระหว่างคู่สงครามเป็นแต่เพียงระงับไปชั่วคราวจนกว่าสงครามสงบ โดยมีการทำ สนธิสัญญาสันติภาพ สนธิสัญญานั้นยังไม่ถือว่าสิ้นสุดลง แต่ผลระหว่างรัฐเป็นกลางกับรัฐคู่สงคราม หรือระหว่าง รัฐเป็นกลางที่เป็นภาคีสนธิสัญญายังใช้บังคับอยู่เช่นเดิม เช่น สงครามในปี ค.ศ. 1870 ไม่ได้ทำให้สนธิสัญญาปารีส วันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 1856 สิ้นสุดลง และสนธิสัญญาวันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 1839 ที่ค้ำประกันความเป็นกลาง ของเบลเยียมไม่ได้สิ้นสุดลง เมื่อเยอรมนีบุกเบลเยียม ในวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1914 แต่ยังคงใช้อยู่จนกระทั่ง ได้มีการทำสนธิสัญญาแวร์ซายส์ เช่นเดียวกันในสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ ค.ศ. 1939 ก็ไม่ได้ทำให้องค์การ สันนิบาตชาติเลิกล้มไป จนกระทั่งเกิดองค์การสหประชาชาติขึ้นมาแทน
ข้อ 2. ให้นักศึกษาอธิบายจากข้อเท็จจริงที่มีอยู่ว่าข้อพิพาทระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกากับประเทศโคลัมเบีย ในคดีหนึ่ง อนุญาโตตุลาการได้ตัดสินว่า สนธิสัญญามีค่าเหนือกว่ารัฐธรรมนูญของรัฐ หรือรัฐไม่อาจ อ้างรัฐธรรมนูญของตนเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะปฏิบัติตามข้อผูกพันในสนธิสัญญาได้ จากข้อเท็จจริง ดังกล่าวนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศกับกฎหมายภายใน สามารถแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงแนวความคิดของทฤษฎีใด ทั้งนี้นักศึกษาจะต้องอธิบายรายละเอียด ของทฤษฎีนั้นประกอบในการตอบคำถามด้วย
ธงคำตอบ
ในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศกับกฎหมายภายในนั้น มีความเห็น ทางทฤษฎีที่ขัดแย้งกัน 2 ทฤษฎี คือ ทฤษฎีทวินิยมที่เห็นว่ากฎหมายทั้งสองมีลักษณะที่แตกต่างกัน ไม่มีความ สัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน และทฤษฎีเอกนิยม
สำหรับทฤษฎีเอกนิยมนี้ ผู้สนับสนุนเห็นว่า กฎหมายทั้งสองไม่แตกต่างกัน ทังนี้เพราะ กฎหมายภายในและกฎหมายระหว่างประเทศต่างมีเจตนารมณ์เดียวกัน คือ เพื่อก่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นสังคมภายในหรือระหว่างประเทศ แต่ผู้ที่สนับสนุนทฤษฎีเอกนิยมมีความเห็นต่างกันในประเด็นที่ว่า กฎหมายระหว่างประเทศกับกฎหมายภายในนั้น กฎหมายใดจะมีค่าบังคับสูงกว่ากัน
กลุ่มแรก เห็นว่า กฎหมายภายในมีค่าบังคับสูงกว่ากฎหมายระหว่างประเทศ ความเห็นนี้เป็นที่ยอมรับในยุคแรก ๆ ที่ประเทศต่าง ๆ พึ่งได้รับเอกราช จึงหวงแหนในอำนาจอธิปไตยของตน โดยอ้างเหตุผลว่า ในสังคมระหว่างรัฐ ไม่มีองค์กรใดที่มีอำนาจเหนือรัฐ กล่าวคือ รัฐทั้งหลายต่างมีอำนาจอธิปไตยที่จะตัดสินใจอย่างอิสระว่ารัฐต้องการมีพันธกรณีระหว่างประเทศในเรื่องใด ไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังใคร จึงถือว่ากฎหมายภายใน สูงกว่ากฎหมายระหว่างประเทศ
กลุ่มที่สอง เห็นว่า กฎหมายระหว่างประเทศมีค่าบังคับสูงกว่ากฎหมายภายใน กฎหมายภายในจะขัดแย้งกับกฎหมายระหว่างประเทศไม่ได้ ถ้ากฎหมายทั้งสองขัดแย้งกัน จะต้องใช้กฎหมายระหว่างประเทศบังคับ ถือว่ากฎหมายภายในเป็นกฎหมายที่แตกแยกมาจากกฎหมายระหว่างประเทศ
ในปัจจุบันความเห็นที่ว่ากฎหมายระหว่างประเทศมีค่าบังคับสูงกว่ากฎหมายภายในได้รับการยอมรับโดยทั่วไป กรณีตามอุทาหรณ์นั้นเป็นการแสดงถึงการยอมรับแนวคิดทฤษฎีเอกนิยมดังกล่าวนั้นเอง
ข้อ 3. จงอธิบายให้ชัดเจนถึงการครอบครองปรปักษ์ (Prescription) ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งของการที่รัฐได้ดินแดนเพิ่มขึ้นมาในทางกฎหมายระหว่างประเทศ และหากเปรียบเทียบกับการได้ดินแดนของรัฐ โดยการใช้กำลังจะมีลักษณะแตกต่างกันอย่างไรหรือไม่
ธงคำตอบ
การครอบครองดินแดนโดยปรปักษ์ (Prescription) เป็นวิธีการที่รัฐเข้าครอบครองและใช้ อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนนั้นเป็นระยะเวลานาน โดยดินแดนนั้นเป็นหรือเคยเป็นของรัฐอื่นมาก่อน และรัฐที่เข้ามาครอบครองภายหลังโดยรัฐเดิมไม่ได้คัดค้าน และรัฐอื่นมิได้โต้แย้ง การครอบครองปรปักษ์เป็นหลักการทำนองเดียวกับกฎหมายภายใน แต่ไม่ได้กำหนดเงื่อนเวลาไว้อย่างชัดเจน แต่โดยปกติรัฐก็จะต้องครอบครอง ดินแดนนั้นเป็นเวลานาน
ซึ่งแตกต่างจากการใช้กำลังเข้ายึดครองที่ว่าการได้ดินแดนของรัฐโดยการใช้กำลัง เป็นวิธีการ ที่ไม่ได้รับการยอมรับว่าถูกต้องหรือความชอบธรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ข้อ 4. การระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศโดยวิธีการแทรกแซงที่ชอบด้วยกฎหมายระหว่างประเทศนั้น มีลักษณะ สำคัญอย่างไร และมีกรณีใดบ้าง
ธงคำตอบ
การแทรกแซง หมายถึง การที่รัฐหนึ่งเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายใน หรือภายนอกของรัฐอื่น เพื่อบังคับให้รัฐนั้นกระทำหรืองดเว้นการกระทำกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งตามความต้องการของรัฐที่เข้าแทรกแซง โดยรัฐที่ถูกแทรกแซงนั้นต้องเป็นรัฐที่เป็นเอกราช
การแทรกแซง มีลักษณะสำคัญ 3 ประการคือ
1. เป็นการกระทำที่แทรกแซงต่อกิจการภายในหรือภายนอกของรัฐอื่น
2. รัฐที่ถูกแทรกแซงต้องเป็นอิสระ มีอำนาจอธิปไตยของตนเองทั้งภายในและภายนอก
3. มีวัตถุประสงค์ที่จะบังคับให้รัฐนั้นกระทำตามความประสงค์ของตน
การแทรกแซงที่ถือว่าเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายระหว่างประเทศ ได้แก่
1. การแทรกแซงโดยมีสนธิสัญญาต่อกันให้ดำเนินการได้
2. การแทรกแซงโดยอ้างว่ารัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายร้องขอ
3. การแทรกแซงโดยอ้างว่าเพื่อป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลในสัญชาติตนในรัฐอื่น แต่ต้องอยู่ในเงื่อนไขดังนี้
1) รัฐนั้นไม่ให้ความคุ้มครองหรือไม่สามารถให้ความคุ้มครองแก่บุคคล หรือ ทรัพย์สินของชาติที่ทำการแทรกแซง และองค์การสหประชาชาติก็ไม่สามารถจะให้ ความคุ้มครองได้ทันที
2) มีการคุกคามซึ่งจำเป็นจะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน
3) การปฏิบัติการแทรกแซงต้องสมเหตุสมผลกับความเสียหายที่ได้รับ และต้องหยุดการกระทำเมื่อทำการคุ้มครองเป็นผลสำเร็จหรืออพยพประชาชนหมดสิ้นแล้ว
4. การแทรกแซงโดยเหตุผลของมนุษยธรรม เป็นกรณีที่รัฐที่ถูกแทรกแซงกระทำการป่าเถื่อน ไร้มนุษยธรรม หรือไม่ยุติธรรมต่อบุคคลในสัญชาติของรัฐที่ถูกแทรกแซงเอง