การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555
คำแนะนำ ข้อสอบเป็บอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1. เมื่อท่านเป็นทนายฝึกหัดอยู่ในสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ได้รับมอบหมายจาก หัวหน้าสำนักงานให้สอบข้อเท็จจริงและทำความเห็นในกรณีที่มีผู้ประสงค์จะยื่นคำร้องขอเป็น ผู้จัดการมรดก ท่านมีแนวโน้มที่จะสอบข้อเท็จจริงในประเด็นใดบ้าง ให้ระบุหัวข้ออย่างน้อย 4 หัวข้อ และสรุปความเห็นเสนอต่อหัวหน้าสำนักงาน
ธงคำตอบ
เมื่อข้าพเจ้าเป็นทนายฝึกหัดอยู่ในสำนักงานกฎหมาย และได้รับมอบหมายจากหัวหน้าสำนักงาน ให้สอบข้อเท็จจริง และทำความเห็นในกรณีที่มีผู้ประสงค์จะยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกนั้น ข้าพเจ้ามีแนวโน้ม ที่จะสอบข้อเท็จจริง และสรุปความเห็นเสนอต่อหัวหน้าสำนักงานในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
1. การตายของเจ้ามรดกมีใบมรณบัตรหรือไม่ เพราะใบมรณบัตรถือว่าเป็นเอกสารที่สำคัญ ที่สุดใบการยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก กล่าวคือ เป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแสดงว่าเจ้ามรดกได้ตายแล้ว นั่นเอง
2. ทะเบียนบ้านของผู้ตาย (เจ้ามรดก) ที่มีตัวหนังสิอประทับคำว่า “ตาย” มีหรือไม่ เพราะ เอกสารดังกล่าวถือว่ามีความสำคัญเช่นเดียวกับใบมรณบัตร
3. ใบขณะที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย เจ้ามรดกมีทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิรับมรดกหรือไม่ ถ้ามี ก็ต้องระบุด้วยว่ามีใครบ้าง และเป็นทายาทโดยธรรมในฐานะใด
4. ผู้ยื่นคำร้องขอมีความเกี่ยวข้องกับทรัพย์มรดกหรือไม่ เช่นเป็นผู้มีสิทธิที่จะได้รับทรัพย์ มรดกหรือไม่ ถ้ามีสิทธิได้รับทรัพย์มรดก จะมีสิทธิในฐานะใด เช่น เป็นผู้มีสิทธิในฐานะทายาทโดยธรรม หรือในฐานะผู้รับพินัยกรรม
5. ทรัพย์มรดกของผู้ตายมีอะไรบ้าง และมีเอกสารเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของผู้ตายหรือไม่
6. เจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมไว้หรือไม่
7. ผู้ยื่นคำร้องมีความจำเป็นที่จะต้องร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งให้ผู้ร้องขอเป็นผู้จัดการ มรดกเพราะเหตุใด หรือให้ศาลมีคำสั่งให้จัดการทรัพย์มรดกอย่างไร
8. มีพินัยกรรมแต่งตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่ หรือมีหนังสือให้ความยินยอม ของทายาทคนอื่น ๆ ให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่
ข้อ 2. เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2555 บริษัท เจเจคอมพิวเตอร์ จำกัด จดทะเบียน ณ สำนักงานทะเบียน หุ้นส่วนบริษัท กรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ มีวัตถุประสงค์ในการจำหน่ายคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สำนักงานทุกชนิด โดยมีนายดี สุขสันต์ และนายเด่น มีสุข เป็นกรรมการ ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญแทนบริษัทได้ลงลายมือชื่อทำสัญญาขายเครื่อง คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะกับนายสมจิต เชิดชู จำนวน 10 เครื่อง มูลค่าทั้งสิ้นรวม 300,000 บาท โดย ในสัญญาได้ระบุให้นายสมจิต ชำระเงินในวันที่ 20 พฤษภาคม 2555 ซึ่งเป็นวันส่งมอบสินค้า ครั้นเมือถึงวันที่ 20 พฤษภาคม 2555 บริษัทฯ ได้ส่งมอบคอมพิวเตอร์ทั้ง 10 เครื่องให้กับนายสมจิต แต่นายสมจิต ได้แจ้งแก่บริษัทว่าขอโอนเงินเข้าไปชำระผ่านบัญชีธนาคารให้แก่บริษัทฯ เอง ในวันนี้ และขอเลขที่บัญชีเอาไว้ จวบจนล่วงเลยมาถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2555 นายสมจิตฯ ก็ยังไม่ชำระ บริษัทฯ ได้มืการติดตามทวงถามทางโทรคัพทํหลายครั้ง และส่งจดหมายลงทะเบียนไปรษณีย์เรียกให้ นายสมจิตฯ ชำระราคาส่วนที่เหลือ แต่นายสมจิตฯ เพิกเฉย บริษัทฯ จึงทำหนังสือมอบอำนาจแต่งตั้ง ให้นายใจดี ไม้งาม ผู้จัดการเป็นโจทก์ในการฟ้องคดีนี้โดยเรียกให้นายสมจิตฯ ชำระหนี้ทั้งหมด หากชำระไม่ได้ขอให้ส่งคืนคอมพิวเตอร์ทั้งหมดพร้อมค่าเสียหายจำนวน 50,000 บาท
ดังนี้ นายใจดี ไม้งาม ได้ติดต่อให้ท่านเป็นทนายความให้กับบริษัทฯ และในฐานะทนายความของ บริษัทฯ ให้ท่านยื่นคำฟ้องเรียกให้นายสมจิตฯ ชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายที่เหลือตามความประสงค์ ของตัวความ
ธงคำตอบ
คำฟ้อง
ข้อ 1. โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียน ณ สำนักงานพะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ใช้ชื่อว่า บริษัท เจเจคอมพิวเตอร์ จำกัด มีวัตถุประสงค์ ในการจำหน่ายคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สำนักงานทุกชนิด โดยมีนายดี สุขสันต์ และนายเด่น มีสุข เป็นกรรมการ ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญแทนบริษัท รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือรับรองเอกสารท้ายฟ้อง หมายเลข 1
ในการฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายใจดี ไม้งาม กรรมการบริษัทโจทก์มีอำนาจ ฟ้องคดีแทน รายละเอียดปรากฏตามหนังสือมอบอำนาจท้ายคำฟ้องหมายเลข 2
ข้อ 2. เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2555 โจทก์ได้ทำสัญญาขายเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะกับ จำเลยจำนวน 10 เครื่อง มูลค่ารวม 300,000 บาท (สามแสนบาทถ้วน) โดยในสัญญาได้ระบุให้จำเลยชำระเงิน ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2555 ซึ่งเป็นวันส่งมอบสินค้า รายละเอียดปรากฏตามสัญญาซื้อขาย ฉบับลงวันที่ 10 พฤษภาคม 2555 เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3
ข้อ 3. ครั้นเมื่อถึงวันที่ 20 พฤษภาคม 2555 โจทก์ได้ส่งมอบคอมพิวเตอร์ทั้ง 10 เครื่อง ให้กับจำเลย แต่จำเลยได้แจ้งแก่โจทก์โดยขอชำระผ่านบัญชีธนาคารให้แก่โจทก์เองในวันดังกล่าว จวบจนล่วงเลย มาถึงวันที 30 พฤษภาคม 2555 จำเลยก็ยังไม่ชำระซึ่งถือเป็นการผิดนัดชำระหนี้
โจทก์ได้มีการติดตามทวงถามทางโทรศัพท์หลายครั้ง จนท้ายสุดโจทก์ได้ส่งหนังสือทวงถาม ลงทะเบียนไปรษณีย์เรียกให้จำเลยชำระราคา 300,000 บาท (สามแสนบาทถ้วน) หากชำระไม่ได้ให้ส่งมอบสินค้าคืน ทั้งหมดรวมทั้งค่าเสียหายให้กับโจทก์จำนวน 50,000 บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน) รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือทวงถามและไปรษณีย์ตอบรับเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 และ 5 จำเลยได้รับหนังสือทวงถามและ ไปรษณีย์ตอบรับแต่กลับเพิกเฉย
โจทก์ไม่มีทางใดจะเรียกร้องจากจำเลยได้ จึงขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
ลงชื่อ……..(ลายมือขอนักศึกษา)…………ทนายโจทก์
คำฟ้องฉบับนี้ ข้าพเจ้า (ระบุชื่อนักศึกษา) ทนายโจทก์เป็นผู้เรียงและพิมพ์
ลงชื่อ……….(ลายมือชื่อนักศึกษา)………..ผู้เรียงและพิมพ์
คำขอท้ายฟ้อง
1. ให้จำเลยชำระราคาคอมพิวเตอร์ทั้งหมดจำนวน 300,000 บาท (สามแสนบาทถ้วน) หากชำระไม่ได้ให้คืนคอมพิวเตอร์ทั้งหมดพร้อมค่าเสียหายจำนวน 50,000 บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน)
2. ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของจำนวนเงินค่าคอมพิวเตอร์ทั้งหมดนับแต่ วันฟ้องจนกว่าจะชำระแก่โจทก์เสร็จสิ้น
3. ให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์
ข้อ 3. ข้อเท็จจริงในสำนวนการสอบสวนได้ความว่า เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2555 เวลาประมาณ 14.00 นาฬิกา ขณะที่นายสมศักดิ์ คนขยัน กำลังนั่งอยู่ในร้านขายทองรูปพรรณของตนอยู่นั้น ซึ่งตั้งอยู่ที่ แขวงพระโขนง เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ได้มีนายหอย นายแหบ และนายหด เข้ามาในร้าน แล้วนายหอยได้ชักอาวุธปืนออกมาจี้เล็งไปยังนายสมศักดิ์มิให้ต่อสู้ขัดขืนและสั่งให้หมอบลงกับพื้น มิฉะนั้นจะยิงให้ตาย นายสมศักดิ์จึงหมอบลงกับพื้น แล้วนายแหบก็ใช้ค้อนทุบกระจกตู้ทองและร่วมกับ นายหดกวาดเอาสร้อยคอทองคำลายต่าง ๆ ไป 150 เส้น น้ำหนัก 250 บาท ราคาทั้งสิ้น 5,500,000 บาท ใส่ถุงผ้าที่เตรียมมาแล้วพากันหลบหนีไป ต่อมาวันที่ 2 ตุลาคม 2555 เจ้าพนักงานตำรวจจับนายหอย กับนายแหบได้ที่บ้านพักพร้อมกับยึดสร้อยทองคำที่ปล้นไปจำนวน 100 เส้น น้ำหนัก 200 บาท ราคา 4,400,000 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งที่ปล้นมาเป็นของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวบสถานีตำรวจ นครบาลพระโขนงทำการสอบสวน ขั้นสอบสวนทั้งสองให้การรับสารภาพ เมื่อครบกำหนดควบคุมตัว พนักงาบสอบสวนจึงได้นำทั้งสองไปฝากขังที่ศาลจังหวัดพระโขนง ตามคดีหมายเลขดำที่ ฝ. 2130/2555 ต่อมาเมื่อสอบสวนเสร็จ พนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนการสอบสวนส่งพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายอาญาใต้ (พระโขนง)
ข้อกฎหมาย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่า ในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ
(1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป
(2) ให้ยืนให้ซึ่งทรัพย์นั้น
(3) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้
(4) ปกปิดการกระทำความผิดนั้น หรือ
(5) ให้พ้นจากการจับกุม
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุก…
มาตรา 340 ผู้ใดชิงทรัพย์โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ผู้นั้นกระทำความผิด ฐานปล้นทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุก …
หากท่านเป็นพนักงานอัยการผู้รับผิดชอบดำเนินคดีนี้ให้ท่านเรียงคำฟ้องในข้อหาปล้นทรัพย์ เฉพาะ เนื้อหาคำฟ้องภาคความผิดและการได้ตัวมาดำเนินคดีโดยไม่ต้องคำนึงถึงแบบพิมพ์คำฟ้อง
ธงคำตอบ
หากข้าพเจ้าเป็นพนักงานอัยการผู้รับผิดชอบดำเนินคดีนี้ ข้าพเจ้าจะเรียงคำฟ้องในข้อหา ปล้นทรัพย์ ดังต่อไปนี้
คำฟ้องอาญา
ข้อ 1. เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2555 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง อีกหนึ่งคบได้กระทำการอันเป็นความผิดต่อกฎหมาย กล่าวคือได้บังอาจร่วมลักเอาสร้อยคอทองคำลายต่าง ๆไป 150 เส้น น้ำหนัก 250 บาท ราคาทั้งสิ้น 5,500,000 บาท (ห้าล้านห้าแสนบาท) ซองนายลมศักดิ์ คนขยัน ผู้เสียหายไป โดยทุจริต โดยในการลักทรัพย์ดังกล่าว จำเลยทั้งสองกับพวกไต้ร่วมกันใช้อาวุธปืนจี้ขู่เข็ญผู้เสียหายมิให้ต่อสู้ขัดขืน มิฉะนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายยิงผู้เสียหายให้ถึงแก่ความตาย เพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์ นั้นไป ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ ปกปิดการกระทำความผิดนั้น หรือให้พ้นจากการจับกุม
เหตุเกิดที่แขวงพระโขนง เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร
ข้อ 2. ต่อมาวันที่ 2 ตุลาคม 2555 เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมกับยึดสร้อยทองคำ จำนวน 100 เส้น น้ำหนัก 200 บาท ราคา 4,400,000 บาท (สี่ล้านสี่แสนบาท) ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งที่จำเลยทั้งสอง กับพวกปล้นเอาไปดังกล่าวในฟ้องข้อ 1. เป็นของกลางนำส่งพนักงานสอบสวบทำการสอบสวน
ชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ของกลางพนักงานสอบสวนเก็บรักษาไว้
ระหว่างสอบสวนจำเลยทั้งสองถูกควบคุมตัวมาตลอด ขณะนี้ต้องขังอยู่ตามหมายของศาลนี้ ในคดีหมายเลขดำที่ ฝ. 2130/2555 ขอศาลเบิกตัวจำเลยทั้งสองมาพิจารณาพิพากษาลงโทษตามกฎหมายต่อไป