การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4002 การว่าความและการจัดทําเอกสารทางกฎหมาย
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1. เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2560 นายทรัพย์ได้มอบเช็คธนาคารมหาสมบัติ สาขาหัวหมาก เลขที่ 00001 ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2560 จํานวนเงิน 600,000 บาท (หกแสนบาทถ้วน) ให้กับนายสิน เพื่อชําระหนี้ค่าเช่าป้ายโฆษณา เมื่อเช็คดังกล่าวถึงกําหนด นายสินได้นําเช็คไปเบิกเงินที่ธนาคารตามเช็ค ปรากฏว่าเช็คดังกล่าวธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2560 โดยให้เหตุผลว่า “บัญชีปิดแล้ว” พร้อมกับคืนเช็คและใบคืนเช็คให้กับนายสิน นายสินได้ทําหนังสือบอกกล่าวทวงถามไปยังนายทรัพย์เพื่อให้ชําระเงินตามเช็ค นายทรัพย์ได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้วยังคงเพิกเฉย นายสินจึงนําคดีมาฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 พร้อมคิดดอกเบี้ยถึงวันฟ้องในอัตรา ร้อยละ 7.5 ต่อปี ในการฟ้องนายสินได้มอบอํานาจให้คม ทนายความเป็นผู้ฟ้องคดีและดําเนินคดีแทน เพื่อยื่นฟ้อง นายทรัพย์เป็นคดีแพ่งต่อศาล ให้นักศึกษาร่างคําฟ้องคดีแพ่งพร้อมคําขอท้ายฟ้องเพื่อยื่นต่อศาล โดยไม่ต้องคํานึงถึงแบบพิมพ์ศาล
ธงคําตอบ
คําฟ้องแพ่ง
ข้อ 1. ในการฟ้องคดีนี้โจทก์ได้มอบอํานาจให้ (ชื่อนายคม ทนายความ) เป็นผู้มีอํานาจ ฟ้องและดําเนินคดีแทนโจทก์ รายละเอียดปรากฏตามสําเนาหนังสือมอบอํานาจเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1
ข้อ 2. โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คของธนาคารมหาสมบัติ สาขาหัวหมาก เลขที่ 00001 ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2560 สั่งจ่ายเงินจํานวน 600,000 บาท (หกแสนบาทถ้วน) โดยจําเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเพื่อชําระหนี้ ค่าเช่าป้ายโฆษณาแก่โจทก์ ดังปรากฏตามสําเนาภาพถ่ายเช็คและใบคืนเช็คท้ายฟ้องเอกสารหมายเลข 2
ข้อ 3. เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2560 โจทก์ได้นําเช็คฉบับดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร ตามเช็ค ปรากฏว่าธนาคารมหาสมบัติ สาขาหัวหมาก ได้ปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่า “ปิดบัญชีแล้ว” พร้อมกับคืนเช็คและใบคืนเช็คให้กับโจทก์ โจทก์จึงไม่ได้รับเงินตามเช็คนั้น
ข้อ 4. โจทก์ชอบที่จะได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินของเช็คคือ 600,000 บาท (หกแสนบาทถ้วน) ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2560 อันเป็นวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจนถึงวันฟ้องเป็น เวลา 3 เดือน คิดเป็นดอกเบี้ย 11,250 บาท (หนึ่งหมื่นหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบบาทถ้วน)
ข้อ 5. โจทก์ได้ทําหนังสือบอกกล่าวทวงถามไปยังจําเลยเพื่อให้ชําระเงินตามเช็ค เมื่อจําเลย ได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้วยังคงเพิกเฉยไม่ยอมชําระให้กับโจทก์ การกระทําของจําเลยทําให้โจทก์ได้รับความเสียหาย รายละเอียดปรากฏตามสําเนาหนังสือทวงถาม เอกสารท้ายคําฟ้องหมายเลข 3
จําเลยต้องรับผิดชําระเงินต้นตามเช็คให้แก่โจทก์จํานวน 600,000 บาท (หกแสนบาทถ้วน) และดอกเบี้ยจํานวน 11,250 บาท (หนึ่งหมื่นหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบบาทถ้วน) รวมเป็นเงินที่จําเลยจะต้องชําระคืน ให้แก่โจทก์จํานวน 611,250 บาท (หกแสนหนึ่งหมื่นหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบบาทถ้วน)
โจทก์ไม่มีทางอื่นใดที่จะบังคับจําเลยได้ จึงต้องมาฟ้องเป็นคดีนี้ เพื่อขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
คําขอท้ายฟ้อง
ข้อ 1. ขอให้จําเลยชําระเงินต้นตามเช็คและดอกเบี้ยที่ค้างชําระรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 611,250 บาท (หกแสนหนึ่งหมื่นหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบบาทถ้วน)
ข้อ 2. ขอให้จําเลยชําระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 600,000 บาท (หกแสน บาทถ้วน) นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจําเลยจะชําระเสร็จสิ้น
ข้อ 3. ขอให้จําเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์
ข้อ 2. เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2560 โจทก์ได้ยื่นฟ้องจําเลยต่อศาลแพ่งในข้อหาผิดสัญญากู้ยืมเงินจํานวน 1,000,000 บาท ขอให้ศาลพิพากษาให้จําเลยชําระเงินจํานวน 1,000,000 บาทแก่โจทก์ ศาล มีคําสั่งว่า “รับฟ้อง หมายส่งสําเนาให้จําเลย ให้โจทก์นําส่งภายใน 5 วัน ส่งไม่ได้ให้โจทก์แถลง ภายใน 7 วันนับแต่วันส่งไม่ได้ มิฉะนั้นถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง” โจทก์จึงได้วางเงินค่านําหมายตาม คําสั่งศาล ต่อมาวันที่ 2 ตุลาคม 2560 เจ้าพนักงานศาลจึงได้ไปส่งหมายเรียกและสําเนาคําฟ้อง ให้แก่จําเลย ณ ภูมิลําเนาของจําเลยตามฟ้อง เมื่อเจ้าพนักงานศาลไปถึงบ้านของจําเลยตามภูมิลําเนา ปรากฏว่า บ้านปิดประตูล็อคกุญแจไว้ ไม่พบบุคคลใดอยู่ในบ้าน เจ้าพนักงานศาลจึงทํารายงาน เสนอศาลว่า บ้านจําเลยปิดประตูล็อคกุญแจ ไม่พบบุคคลใดอยู่ในบ้าน จึงไม่สามารถส่งหมายเรียก และสําเนาคําฟ้องให้แก่จําเลยได้ ศาลมีคําสั่งในรายงานการเดินหมายว่า “รอโจทก์แถลงรายละเอียด ปรากฏตามรายการเดินหมาย ดังนั้น ให้นักศึกษาในฐานะทนายความโจทก์ ยื่นคําแถลงต่อศาลขอให้ปิดหมายเรียกและสําเนา คําฟ้องโดยคัดสําเนาแบบรับรองรายการทะเบียนราษฎรของจําเลยแนบท้ายคําแถลงด้วย เพื่อยืนยัน ภูมิลําเนาของจําเลย ให้เรียบเรียงเฉพาะเนื้อหาของคําแถลง ทั้งนี้ โดยไม่ต้องคํานึงถึงแบบพิมพ์ คําแถลงของศาล
ธงคําตอบ
คําแถลงขอให้ปิดหมาย
ข้อ 1. คดีนี้ อยู่ในระหว่างนําส่งหมายเรียกและสําเนาคําฟ้องให้แก่จําเลยแล้ว แต่ปรากฏว่า ส่งหมายเรียกและสําเนาคําฟ้องให้แก่จําเลยไม่ได้เพราะบ้านจําเลยปิดประตูล็อคกุญแจไว้ ไม่พบบุคคลใดอยู่ในบ้าน รายละเอียดปรากฏตามรายงานการเดินหมายในสํานวนแล้วนั้น
โจทก์ขอประทานกราบเรียนต่อศาลว่า จําเลยมีภูมิลําเนาตามฟ้องโจทก์ทุกประการ รายละเอียด ปรากฏตามรายการทะเบียนราษฎร เอกสารที่แนบท้ายคําแถลงนี้ จึงขอศาลได้โปรดมีคําสั่งให้ส่งหมายเรียกและ สําเนาคําฟ้องให้แก่จําเลยอีกครั้ง หากครั้งนี้ไม่พบจําเลยและไม่มีผู้ใดรับหมายเรียกและสําเนาคําฟ้องไว้แทนจําเลยโดยชอบ ขอศาลได้โปรดมีคําสั่งให้ปิดหมายเรียกของศาลและสําเนาคําฟ้องของโจทก์ ณ ภูมิลําเนาของจําเลยด้วย ขอศาลได้โปรดอนุญาต
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
ลงชื่อ ……. (ลายมือชื่อนักศึกษา)……… ผู้แถลง
คําแถลงฉบับนี้ ข้าพเจ้า………. (ชื่อนักศึกษา)……. ทนายโจทก์เป็นผู้เรียงและเขียน
ลงชื่อ……… (ลายมือชื่อนักศึกษา)……….. ผู้เรียงและเขียน
* หมายเหตุ ที่ใช้คําว่า “ผู้เรียงและเขียน” นั้น เพราะนักศึกษา “เขียน” คําตอบส่งท่านอาจารย์ ไม่ได้ “ พิมพ์” คําตอบแต่อย่างใด ท่านอาจารย์บรรยายโดยให้ใช้คําว่าเขียน)
ข้อ 3. เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2560 เวลาประมาณ 15.00 นาฬิกา นายสมคิดได้ไปที่บ้านของนายสมศักดิ์ที่แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร แล้วนําพระเครื่องสมเด็จวัดระฆังบอกขายให้แก่ นายสมศักดิ์ในราคา 200,000 บาท โดยแจ้งว่าเป็นพระสมเด็จวัดระฆังของแท้ นายสมศักดิ์หลงเชื่อ ว่าเป็นพระสมเด็จวัดระฆังจึงตกลงซื้อในราคาดังกล่าว ครั้นต่อมาวันที่ 25 สิงหาคม 2560 นายสมศักดิ์ ได้นําพระเครื่องสมเด็จวัดระฆังดังกล่าวไปให้เซียนพระดู จึงทราบว่าพระเครื่องสมเด็จวัดระฆังดังกล่าว ไม่ใช่พระเครื่องสมเด็จวัดระฆัง แต่เป็นพระเครื่องที่ทําปลอมขึ้นไม่มีราคาแต่อย่างใด นายสมศักดิ์ เห็นว่าตนถูกหลอกจนเสียเงินจํานวน 200,000 บาท จึงไปจ้างทนายความเพื่อให้ฟ้องร้องดําเนิน คดีอาญากับนายสมคิดในข้อหาฉ้อโกง
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งและโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง…….ผู้นั้นกระทําความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษ….
ให้นักศึกษาในฐานะทนายความเรียงคําฟ้องคดีฉ้อโกงให้นายสมศักดิ์เป็นโจทก์ฟ้องนายสมคิดต่อไป โดยให้เรียงเฉพาะเนื้อหาคําฟ้องเท่านั้น
ธงคําตอบ
ในฐานะทนายความของนายสมศักดิ์ ข้าพเจ้าจะเรียงคําฟ้องในคดีฉ้อโกงนี้เพื่อฟ้องร้อง ดําเนินคดีอาญากับนายสมคิดในข้อหาฉ้อโกง ดังนี้
คําฟ้องคดีอาญา
ข้อ1 . เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2560 เวลากลางวัน จําเลยนี้โดยทุจริตหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า พระเครื่องสมเด็จวัดระฆังที่นํามาบอกขายให้แก่โจทก์ในราคา 200,000 บาท (สองแสน บาทถ้วน) นั้น เป็นพระสมเด็จวัดระฆังของแท้ โดยการหลอกลวงของจําเลยดังกล่าว ทําให้โจทก์หลงเชื่อว่าเป็น พระสมเด็จวัดระฆังจึงตกลงซื้อในราคาดังกล่าว จําเลยจึงได้รับเงินจากโจทก์ผู้ถูกหลอกลวงไป ซึ่งโจทก์มาทราบ ในภายหลังว่าโจทก์ถูกหลอกลวง เพราะความจริงพระเครื่องสมเด็จวัดระฆังดังกล่าวไม่ใช่พระเครื่องสมเด็จวัดระฆัง แต่เป็นพระเครื่องที่ทําปลอมขึ้นไม่มีราคาแต่อย่างใด
เหตุเกิดที่แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร
ข้อ 2. การกระทําของจําเลยทําให้โจทก์ได้รับความเสียหายดังกล่าวมาแล้วตามความข้างต้น โจทก็ไม่มีทางอื่นใดจะบังคับเอากับจําเลยได้ จึงต้องนําคดีมาสู่ศาล ขอศาลโปรดออกหมายเรียกจําเลยมาไต่สวน มูลฟ้อง เพื่อพิจารณาพิพากษาลงโทษจําเลยต่อไป
อนึ่ง คดีนี้โจทก์มิได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน เพราะโจทก์ประสงค์จะดําเนินคดีเอง