การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2551
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 ก อธิบายความแตกต่างของหน่วยภาษีที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร กรณีกิจการร่วมค้าตามมาตรา 39 และห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ใช่นิติบุคคล
ข บริษัท A เป็นบริษัทจำกัด จดทะเบียนขึ้นตามกฎหมายประเทศญี่ปุ่น มีสำนักงานสาขาที่จังหวัดชลบุรีหากในรอบระยะเวลาบัญชี 2551 บริษัท A มีรายได้จากการประกอบกิจการในประเทศไทยจำนวน 50 ล้านบาท และมีรายได้จากสำนักงานอื่นๆทั่วโลกอีก 150 ล้านบาท จงวินิจฉัยว่า บริษัท A มีภาระภาษีเงินได้ในประเทศไทยหรือไม่ จากฐานใด และหากมีภาระภาษีการคำนวณรายได้คิดตามกฎหมายอย่างไรจากจำนวนเท่าใด
ธงคำตอบ
มาตรา 39 ในหมวดนี้ เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น
(2) กิจการร่วมค้า ซึ่งได้แก่กิจการที่ดำเนินการร่วมกันเป็นทางค้าหรือหากำไรระหว่างบริษัทกับบริษัท บริษัทกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือระหว่างบริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับบุคคลธรรมดา คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือนิติบุคคลอื่น
มาตรา 66 วรรคสอง บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศและกระทำกิจการในที่อื่นๆรวมทั้งในประเทศไทย ให้เสียภาษีในกำไรสุทธิจากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในประเทศไทยในรอบระยะเวลาบัญชีและการคำนวณกำไรสุทธิให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับมาตรา 65 และมาตรา 65 ทวิ แต่ถ้าไม่สามารถจะคำนวณกำไรสุทธิดังกล่าวแล้วได้ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการประเมินภาษีตามมาตรา 71(1) มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ก อธิบาย
กิจการร่วมค้า คือ กิจการที่ดำเนินการร่วมกันเป็นทางการค้าหรือหากำไร อันเป็นการค้าโดยสัญญาระหว่างคู่ค้าที่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นนิติบุคคลเสมอ ได้แก่ กิจการที่ดำเนินการร่วมกันเป็นทางการค้าหรือหากำไร ระหว่างบริษัทกับบริษัท บริษัทกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือระหว่างบริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับบุคคลธรรมดา คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือนิติบุคคลอื่น
ส่วนห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล คือ การที่บุคคลธรรมดาตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปตกลงหุ้นกันไม่ว่าจะเป็นเงิน แรงงาน ทรัพย์สิน ฯลฯ เพื่อกระทำกิจการร่วมกันโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะแบ่งผลกำไรที่ได้แต่กิจการนั้น โดยที่หุ้นส่วนทั้งหมดต้องมีสภาพเป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้น ไม่มีนิติบุคคล
ข วินิจฉัย
บริษัท A เป็นบริษัทจำกัด จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายประเทศญี่ปุ่นมีสำนักงานสาขาที่จังหวัดชลบุรี กรณีเช่นนี้ ถือว่าบริษัท A เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ และกระทำกิจการในที่อื่นๆรวมทั้งประเทศไทย ซึ่งบริษัท A มีภาระภาษีในประเทศจากฐานกำไรสุทธิโดยคำนวณจากรายได้ที่ได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ทำในประเทศไทย ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 66 วรรคสอง
ดังนั้น จำนวนเงินที่บริษัท A ต้องนำมารวมคำนวณ คือ 50 ล้านบาท ที่ได้จากสำนักงานสาขาในประเทศไทยเท่านั้น
สรุป บริษัท A มีภาระภาษีในประเทศไทยจากฐานกำไรสุทธิโดยคำนวณจากรายได้ที่ได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ทำในประเทศไทย คือ จำนวน 50 ล้านบาท
ข้อ 2 นายสมชัยและนางนงเยาว์เป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายและอยู่ร่วมกันตลอดปีภาษี ในปีภาษี 2550 นายสมชัยมีเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(1) จำนวน 1,500,000 บาท นางนงเยาว์ภริยามีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) จำนวน 1,000,000 บาท และมีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2) จำนวน 1,000,000 บาท นายสมชัยและนางนงเยาว์ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด.91) ในเดือนมีนาคม 2551 โดยนายสมชัยได้นำเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2) ของนางนงเยาว์มารวมยื่นเป็นเงินได้พึงประเมินในแบบรายการภาษีของตน และนางนงเยาว์ได้นำเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) ในส่วนของตนไปแยกยื่นแบบรายการภาษีเอง ส่วนการหักค่าใช้จ่ายนั้นนางนงเยาว์นำค่าใช้จ่ายสำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) และ (2) ซึ่งหักได้ร้อยละ 40 แต่รวมกันไม่เกิน 60,000 บาท ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 42 ทวิ ไปหักในแบบรายการภาษีของตนทั้งจำนวน 60,000 บาท สำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2) ที่นำไปยื่นในแบบรายการภาษีของนายสมชัยไม่มีการหักค่าใช้จ่ายใดๆ เจ้าพนักงานประเมินเห็นว่าการยื่นแบบรายการภาษีของนายสมชัยและนางนงเยาว์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยเฉพาะในส่วนเกี่ยวกับการหักค่าใช้จ่ายสำหรับเงินได้ของนางนงเยาว์จะต้องถัวเฉลี่ยค่าใช้จ่ายตามสัดส่วนของเงินได้เพื่อไปหักทั้งในแบบรายการภาษีของนายสมชัยและนางนงเยาว์ ดังนั้น อยากทราบว่าข้ออ้างของเจ้าพนักงานประเมินดังกล่าวรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 40 เงินได้พึงประเมินนั้น คือ เงินได้ประเภทดังต่อไปนี้รวมตลอดถึงเงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่างๆดังกล่าว ไม่ว่าในทอดใด
(1) เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง โบนัส เบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ เงินค่าเช่าบ้าน เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่นายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า เงินที่นายจ้างจ่ายชำระหนี้ใดๆซึ่งลูกจ้างมีหน้าที่ต้องชำระ และเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์ใดๆบรรดาที่ได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน
(2) เงินได้เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ หรือจากการรับทำงานให้ ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า ค่าส่วนลด เงินอุดหนุนในงานที่ทำ เบี้ยประชุม บำเหน็จ โบนัส เงินค่าเช่าบ้าน เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่ผู้จ่ายเงินได้ให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า เงินที่ผู้จ่ายเงินได้จ่ายชำระหนี้ใดๆซึ่งผู้มีเงินได้มีหน้าที่ต้องชำระ และเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ใดๆบรรดาที่ได้เนื่องจากน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ หรือจากการรับทำงานให้นั้นไม่ว่าหน้าที่ หรือตำแหน่งงาน หรืองานที่รับทำให้นั้นจะเป็นการประจำหรือชั่วคราว
มาตรา 42 ทวิ วรรคแรก เงินได้พึงประเมินตามความในมาตรา 40(1) และ (2) ยอมให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 40 แต่รวมกันต้องไม่เกิน 60,000 บาท
มาตรา 57 ตรี วรรคแรก ในการเก็บภาษีเงินได้จากสามีและภริยานั้น ถ้าสามีและภริยาอยู่ร่วมกันตลอดปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว ให้ถือเอาเงินได้พึงประเมินของภริยาเป็นเงินได้ของสามี และให้สามีมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษี แต่ถ้าภาษีค้างชำระและภริยาได้รับแจ้งล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วันแล้ว ให้ภริยาร่วมรับผิดในการเสียภาษีที่ค้างชำระนั้นด้วย
มาตรา 57 เบญจ วรรคแรก ถ้าภริยามีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว ไม่ว่าจะมีเงินได้พึงประเมินอื่นด้วยหรือไม่ ภริยาจะแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีเฉพาะส่วนที่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) โดยมิให้ถือว่าเป็นเงินได้ของสามีตามมาตรา 57 ตรีก็ได้
วินิจฉัย
ในการเก็บภาษีเงินได้จากสามีและภริยานั้น ถ้าสามีและภริยาอยู่ร่วมกันตลอดปีภาษีที่ล่วงมาแล้วให้ถือเอาเงินได้พึงประเมินของภริยาเป็นเงินได้ของสามีมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการยื่นรายการและเสียภาษี ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 57 ตรี วรรคแรก แต่ในส่วนเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) นั้น ภริยาจะแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีเฉพาะส่วนที่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) โดยมิให้ถือเป็นเงินได้ของสามีตามมาตรา 57 ตรีได้ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 57 เบญจ วรรคแรก ดังนั้น การที่นางนงเยาว์นำเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) ของตนไปแยกยื่นรายการภาษีต่างหากจากนายสมชัยจึงเป็นไปโดยถูกต้องแล้ว
ส่วนการหักค่าใช้จ่ายนั้น ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42 ทวิ ให้สิทธิแก่ผู้มีเงินได้พึงประเมินที่จะได้รับประโยชน์ในการที่จะหักค่าใช้จ่ายจากเงินได้ของตนทั้งเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(1) และเงินได้ตามมาตรา 40(2) โดยยอมให้หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ร้อยละ 40 แต่จะหักค่าใช้จ่ายจากเงินได้ทั้งสองประเภทดังกล่าวรวมกันได้ไม่เกิน 60,000 บาท โดยมิได้กำหนดหลักเกณฑ์และรายละเอียดว่าต้องหักจากเงินได้พึงประเมินประเภทใดในสัดส่วนเท่าใด หรือต้องถัวเฉลี่ยกันอย่างไร จึงมิใช่ว่ากรณีมีเงินได้พึงประเมินทั้งสองประเภทจะต้องถัวเฉลี่ยกันค่าใช้จ่ายกันดังที่เจ้าพนักงานประเมินกล่าวอ้างไม่ เมื่อกฎหมายเปิดช่องไว้เช่นนี้เท่ากับมอบอำนาจในการตัดสินใจให้แก่ผู้มีเงินได้พึงประเมินว่าควรจะเลือกหักค่าใช้จ่ายในเงินได้ประเภทใด อย่างไร ในกรณีที่ผู้มีเงินได้พึงประเมินที่อาจหักค่าใช้จ่ายได้ทั้งสองประเภท ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการบรรเทาภาระภาษีตามเจตนารมณ์ของกฎหมายในส่วนนี้ ดังเช่น กรณีที่นางนงเยาว์เลือกหักค่าใช้จ่ายจากเงินได้ตามมาตรา 40(1) อย่างเดียวเต็มจำนวน 60,000 บาท ในแบบรายการภาษีของตน ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 42 ทวิ วรรคแรก เพียงประเภทเดียว โดยไม่ประสงค์จะหักค่าใช้จ่ายตามมาตรา 40(2) ซึ่งนายสมชัยสามีมีหน้าที่ยื่นรายการและเสียภาษีในส่วนเงินได้พึงประเมินของนางนงเยาว์ผู้เป็นภริยาตามความในมาตรา 57 ตรี ข้ออ้างของเจ้าพนักงานประเมินดังกล่าวจึงไม่อาจรับฟังได้ (ฎ.6220/2549)
สรุป ข้ออ้างของเจ้าพนักงานประเมินดังกล่าวไม่อาจรับฟังได้
ข้อ 3 บริษัท ไทยก่อสร้าง จำกัด ได้จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในปี พ.ศ.2549 ปรากฏว่าในปี พ.ศ.2551 ได้ไปเปิดสาขา (Branch) ที่ประเทศลาว และประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้างโดยมีรายได้จำนวน 100 ล้านบาทและฝากไว้ที่ธนาคาร ณ ประเทศลาวเพื่อการลงทุนต่อไปไม่นำจำนวนเงินนั้นเข้ามาในประเทศไทย จงวินิจฉัยว่า ในการคำนวณกำไรสุทธิประจำรอบระยะเวลาบัญชี 2551 ตามประมวลรัษฎากร บริษัทไทยก่อสร้าง จำกัด ต้องนำยอดรายได้ 100 ล้านบาทดังกล่าว มารวมคำนวณกำไรสุทธิกับรายได้อื่นๆด้วยหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 66 วรรคแรก บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย หรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ และกระทำกิจการในประเทศไทยต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยจะต้องนำรายได้จากทั่วโลก (Worldwide Income Basis) มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรโดยรวมสาขาในต่างประเทศทุกสาขา ทั้งนี้ไม่คำนึงว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น จะนำเงินได้ดังกล่าวเข้ามาในประเทศไทยหรือไม่ก็ตาม
บริษัทไทยก่อสร้าง จำกัด เป็นบริษัทที่จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ดังนั้น ไม่ว่าจะมีรายได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการ ณ ที่ใด ก็ต้องนำยอดรายได้เหล่านั้นทั้งหมด (100 ล้านบาท) มาคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีตามประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ แม้จะไม่นำจำนวนเงินดังกล่าวเข้ามาในประเทศไทยก็ตาม
สรุป บริษัทไทยก่อสร้าง จำกัด ต้องนำยอดรายได้ 100 ล้านบาท ดังกล่าวมาคำนวณเพื่อเสียภาษีตามประมวลรัษฎากร
ข้อ 4 นายจอห์นเป็นชาวอเมริกัน ทำงานอยู่ที่บริษัทฟามาซีชิคอล จำกัด ซึ่งอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับเงินเดือนคอดเป็นเงินบาทเดือนละ 300,000 บาท บริษัทฯมีโรงงานผลิตยารักษาโรคต่างๆขายทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ บริษัทฯต้องการยาในประเทศไทย เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 บริษัทฯจึงได้ส่งนายจอห์นให้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพื่อเสนอขายยาของบริษัทฯให้กับร้านขายยาในประเทศไทย การเดินทางมาครั้งนี้ของนายจอห์นเพื่อมาทำงานให้กับบริษัทฯ นายจอห์นจะอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลา 1 เดือน ส่วนเงินเดือนที่ได้รับในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 จำนวน 300,000 บาท บริษัทฯได้โอนเข้าบัญชีของนายจอห์นที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และนายจอห์นได้นำเงินเดือนที่ได้รับในเดือนมกราคม 2552 ติดตัวเข้ามาจ่ายในประเทศไทยเป็นจำนวน 100,000 บาท ในระหว่างที่อยู่ในประเทศไทย นายจอห์นซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลและถูกรางวัลประจำงวดวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2552 เป็นจำนวนเงิน 50,000 บาท เมื่อนายจอห์นอยู่ครบกำหนดได้เดินทางกลับประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2552 ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่านายจอห์นจะต้องนำเงินได้ทั้งสามจำนวนดังกล่าวมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ประเทศไทยหรือไม่เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 41 ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในประเทศไทย หรือเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทยต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้ ไม่ว่าเงินได้นั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ
ผู้อยู่ในประเทศไทย มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในต่างประเทศ หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ ต้องเสียภาษีเงินได้ตามบทบัญญัติในส่วนนี้ เมื่อนำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทย
ผู้ใดอยู่ในประเทศไทยชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะ รวมเวลาทั้งหมดถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวันในปีภาษีใด ให้ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย
มาตรา 42 เงินได้พึงประเมินประเภทต่อไปนี้ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้
(11) รางวัลเพื่อการศึกษาหรือค้นคว้าในวิทยาการ รางวัลสลากกินแบ่งหรือสลากออมสินของรัฐบาล รางวัลที่ทางราชการจ่ายให้ในการประกวดหรือแข่งขัน ซึ่งผู้รับมิได้มีอาชีพในการประกวดหรือแข่งขัน หรือสินบนรางวัลที่ทางราชการจ่ายให้เพื่อประโยชน์ในการปราบปรามกระทำความผิด
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว ในกรณีที่แหล่งเงินได้เกิดขึ้นในประเทศไทย ผู้มีเงินได้จะต้องเสียภาษีเงินได้ให้กับประเทศไทย ต่อเมื่อเงินได้พึงประเมินนั้น เกิดเนื่องจากหน้าที่การงานที่ทำในประเทศไทย หรือกิจการที่ทำในประเทศไทยหรือกิจการของนายจ้างในประเทศไทย หรือทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย (มาตรา 41 วรรคแรก)
ส่วนในกรณีที่แหล่งเงินได้เกิดขึ้นนอกประเทศ ผู้มีเงินได้จะต้องเสียภาษีให้กับประเทศไทยต่อเมื่อผู้มีเงินได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย และมีเงินได้พึงประเมิน เนื่องจากหน้าที่การงานที่ทำในต่างประเทศหรือกิจการที่ทำในต่างประเทศหรือทรัพย์สินที่อยู่ต่างประเทศ และได้นำเงินได้นั้นเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีเดียวกับปีที่อยู่ในประเทศไทย (มาตรา 41 วรรคสองและวรรคสาม)
เงินเดือนที่นายจอห์นได้รับจากบริษัทฟามาซีซิคอล จำนวน 300,000 บาท ของเดือนกุมภาพันธ์ 2552 บริษัทฯได้โอนเข้าบัญชีของนายจอห์นที่ประเทศสหรัฐอเมริกา นายจอห์นต้องนำมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ประเทศไทย เพราะเป็นเงินได้เนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในประเทศไทย ไม่ว่าเงินเดือนที่ได้รับนั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 41 วรรคแรก
สำหรับเงินที่นายจอห์นนำเข้ามาใช้จ่ายจำนวน 100,000 บาท แม้จะเป็นเงินเดือนที่ได้รับในเดือนมกราคม 2552 เนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในต่างประเทศ และได้นำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทยตามประมวลรัษฎากร มาตรา 41 วรรคสอง แต่เมื่อนายจอห์นอยู่ในประเทศไทยเพียง 1 เดือน ซึ่งถือว่าไม่ถึง 180 วัน ในปีภาษี 2552 จึงไม่ต้องนำจำนวนเงินดังกล่าวมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ประเทศไทยเพราะไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 41 วรรคสองและวรรคสาม
ส่วนเงินได้จากการถูกสลากกินแบ่งรัฐบาล จำนวน 50,000 บาท นายจอห์นไม่ต้องนำมาเสียภาษีเพราะได้รับยกเว้น ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(11)
สรุป นายจอห์นต้องนำเงินได้มาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ประเทศไทยเฉพาะเงินเดือนที่นายจอห์นได้รับจากบริษัทฟามาซีซิคอล จำนวน 300,000 บาท ส่วนเงินที่นายจอห์นนำเข้ามาใช้จ่ายจำนวน 100,000 บาท และเงินได้จากการถูกสลากกินแบ่งรัฐบาล จำนวน 50,000 บาท ไม่ต้องนำจำนวนเงินดังกล่าวมาคำนวณเสียภาษี