การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2551
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 นายวินัยมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษี 2551 ดังนี้
1 รายได้จากการให้คำปรึกษาในประเทศไทยหนึ่งล้านบาท แต่ได้รับเงินได้ดังกล่าวในต่างประเทศและ
2 เงินปันผลจำนวนเจ็ดแสนบาทโดยบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายในประเทศไทย หากในปีภาษี 2551 นายวินัยอยู่ในประเทศไทยไม่ถึง 180 วัน จงวินิจฉัยพร้อมยกมาตราประกอบคำอธิบายของท่านว่า
(ก) นายวินัยมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้พึงประเมินทั้งสองรายการในประเทศไทยหรือไม่
(ข) หากนายวินัยต้องเสียภาษีจากกรณีเงินปันผล นายวินัยมีสิทธิได้รับเครดิตตามประมวลรัษฎากรหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 41 วรรคแรก และวรรคสาม ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในประเทศไทย หรือเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทยต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้ ไม่ว่าเงินได้นั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ
ผู้ใดอยู่ในประเทศไทยชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะ รวมเวลาทั้งหมดถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวันในปีภาษีใด ให้ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย
มาตรา 47 ทวิ ให้ผู้มีเงินได้ตามมาตรา 40(4)(ข) ซึ่งได้รับจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ได้รับเครดิตในการคำนวณภาษี โดยให้นำอัตราภาษีเงินได้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นต้องเสียหารด้วยผลต่างของหนึ่งร้อยลบด้วยอัตราภาษีเงินได้ดังกล่าวนั้นได้ผลลัพธ์เท่าใดให้คูณด้วยจำนวนเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับ ผลลัพธ์ที่ได้เป็นเครดิตในการคำนวณภาษี ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้จ่ายเงินได้ประกอบกิจการที่ต้องเสียภาษีเงินได้หลายอัตรา ผู้จ่ายเงินได้ต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้ชัดเจนว่าเงินได้ที่จ่ายนั้นจำนวนใดได้มาจากกิจการที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราใด
เครดิตภาษีที่คำนวณได้ตามความในวรรคหนึ่งให้นำมารวมคำนวณเป็นเงินได้พึงประเมินเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามเกณฑ์ในมาตรา 48 เป็นเงินภาษีทั้งสิ้นเท่าใด ให้นำเครดิตภาษีที่คำนวณได้ดังกล่าวหักออกจากภาษีที่ต้องเสีย ถ้ายังขาดหรือเหลือเท่าใด ให้ผู้มีเงินได้เสียภาษีสำหรับจำนวนที่ขาด หรือมีสิทธิได้รับเงินจำนวนที่เหลือนั้นคืน
ความในวรรคหนึ่งและวรรคสองมิให้ใช้บังคับแก่ผู้มีเงินได้ซึ่งมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยและมิได้เป็นผู้อยุ่ในประเทศไทย
(2) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(3) และ (4) ให้คำนวณหักตามอัตราภาษีเงินได้ เว้นแต่
(จ) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ข) ให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ 10.0 ของเงินได้
วินิจฉัย
(ก) นายวินัยมีหน้าที่ต้องนำเงินได้จากการให้คำปรึกษาในประเทศไทยจำนวน 1 ล้านบาทมาเสียภาษีในประเทศไทย เพราะเงินได้ดังกล่าวเกิดจากแหล่งเงินได้ในประเทศไทย เนื่องจากหน้าที่งานที่เกิดในประเทศไทย แม้เงินได้นั้นจะได้รับในต่างประเทศก็ต้องเสียภาษีให้ประเทศไทย ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 41 วรรคแรก
ส่วนเงินปันผลจำนวน 7 แสนบาท ที่จ่ายโดยบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย นายวินัยต้องนำเงินได้ดังกล่าวมาเสียภาษีในประเทศไทยโดยบริษัทผู้จ่ายเป็นผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายโดยให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ 10 ของเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 50(2)(จ)
(ข) นายวินัยต้องเสียภาษีจากเงินปันผลโดยบริษัทผู้จ่ายมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 10 ของเงินได้ แต่นายวินัยไม่มีสิทธิได้รับเครดิตภาษีเงินปันผลตามประมวลรัษฎากร เพราะผู้ที่มีสิทธิได้รับเครดิตเงินปันผลจะต้องเป็นผู้ที่มีภูมิลำเนาในประเทศไทยและเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย ตามมาตรา 47 ทวิวรรคสามประกอบมาตรา 41 วรรคสามแห่งประมวลรัษฎากร แต่กรณีตามอุทาหรณ์ นายวินัยอยู่ในประเทศไทยไม่ถึง 180 วัน ถือว่านายวินัยไม่ได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะได้รับเครดิตภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 47 ทวิ วรรคสาม
สรุป
(ก) นายวินัยมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้พึงประเมินทั้ง 2 รายการในประเทศไทย
(ข) นายวินัยไม่มีสิทธิได้รับเครดิตภาษีตามประมวลรัษฎากร
ข้อ 2 นายสมชายและนางสมศรีเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ทั้งสองมีบุตรซึ่งอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูด้วยกันหนึ่งคนคือ นายน้อย อายุ 22 ปี เป็นคนวิกลจริต นายสมชายเปิดร้านขายเครื่องไฟฟ้าในปี พ.ศ.2550 มีเงินได้จากการขายเครื่องไฟฟ้าตลอดทั้งปีเป็นเงินจำนวน 500,000 บาท ส่วนนางสมศรีเปิดร้านขายเสื้อผ้าอยู่หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง ในปี พ.ศ.2550 มีเงินได้จากการขายเสื้อผ้าตลอดทั้งปีเป็นเงินจำนวน 400,000 บาท ทั้งสองได้อยู่ร่วมกันตลอดปีภาษี สิ้นปีนายสมชายและนางสมศรีจะต้องยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี แต่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการคำนวณภาษีจึงไปปรึกษานายแดงซึ่งมีร้านค้าอยู่ใกล้เคียงกัน นายแดงได้ให้คำปรึกษาแก่นายสมชายว่าการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี (ภ.ง.ด.90) ให้นายสมชายและนางสมศรีต่างคนต่างยื่นแบบแสดงรายการคนละฉบับ และต่างคนต่างคำนวณภาษีของตนเอง ส่วนบุตรชายให้ทั้งสองนำมาหักลดหย่อนได้คนละกึ่งหนึ่ง เพราะนายน้อยเป็นบุตรที่อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของบุคคลทั้งสอง
ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า คำปรึกษาของนายแดงที่ให้แก่นายสมชายถูกต้องตามที่ประมวลรัษฎากรบัญญัติไว้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 40 เงินได้พึงประเมินนั้น คือเงินได้ประเภทต่อไปนี้ รวมตลอดถึงเงินค่าภาษีอาการที่ผู้จ่ายเงิน หรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่างๆดังกล่าว ไม่ว่าในทอดใด
(8) เงินได้จากการธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง หรือการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ใน
(1) ถึง (7) แล้ว
มาตรา 47 เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 เมื่อได้หักตามมาตรา 42 ทวิถึงมาตรา 46 แล้ว เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษี ให้หักลดหย่อนภาษีได้อีกดังต่อไปนี้
(1) ลดหย่อนให้สำหรับ
(ค) บุตรชอบด้วยกฎหมายหรือบุตรบุญธรรมของผู้มีเงินได้รวมทั้งบุตรชอบด้วยกฎหมายของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ด้วย คนละ 15,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่เกินสามคน
การหักลดหย่อนสำหรับบุตร ให้หักได้เฉพาะบุตรซึ่งมีอายุไม่เกินยี่สิบปีและยังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยหรือชั้นอุดมศึกษา หรือซึ่งเป็นผู้เยาว์ หรือศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถอันอยู่ในอุปการะเลี้ยงดู แต่มิให้หักลดหย่อนสำหรับบุตรดังกล่าวที่มีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วตั้งแต่ 15,000 บาทขึ้นไป โดยเงินได้พึงประเมินนั้นไม่เข้าลักษณะตามมาตรา 42
มาตรา 57 เบญจ วรรคแรก ถ้าภริยามีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว ไม่ว่าจะมีเงินได้พึงประเมินอื่นด้วยหรือไม่ ภริยาจะแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีเฉพาะส่วนที่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) โดยมิให้ถือว่าเป็นเงินได้ของสามีตามมาตรา 57 ตรีก็ได้
วินิจฉัย
โดยหลักในการเก็บภาษีเงินได้จากสามีและภริยานั้น ถ้าสามีและภริยาอยู่ร่วมกันตลอดปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว ให้ถือเอาเงินได้พึงประเมินของภริยาเป็นเงินได้ของสามี และให้สามีมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการยื่นรายการและเสียภาษี
คำปรึกษาของนายแดงที่ให้แก่นายสมชายไม่ถูกต้อง เพราะนายสมชายและนางสมศรีเป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย และได้อยู่ร่วมกันตลอดปีภาษี เมื่อนางสมศรีมีเงินได้จากการขายเสื้อผ้าซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 8 ตามมาตรา 40(8) นางสมศรีจึงต้องนำเงินได้จากการขายเสื้อผ้าไปยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีรวมกับนายสมชาย เพราะถือว่าเงินได้ของนางสมศรีเป็นเงินได้ของนายสมชาย และให้นายสมชายมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการยื่นรายการและเสียภาษีตามมาตรา 57 ตรี วรรคแรก
สำหรับการหักลดหย่อนบุตร การที่นายแดงให้คำปรึกษาว่าให้นายสมชายและนางสมศรีนำบุตรมาหักได้คลละกึ่งหนึ่ง เป็นการให้คำปรึกษาที่ไม่ถูกต้องเช่นกัน เพราะบุตรที่จะนำมาหักลดหย่อนได้จะต้องเป็นผู้เยาว์หรือบุตรที่อายุไม่เกิน 25 ปี และยังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย หรือคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารุและอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของผู้มีเงินได้เท่านั้น แต่นายน้อยแม้จะเป็นบุตรที่อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูแต่นายน้องก็เป็นเพียงคนวิกลจริตเท่านั้น เพราะศาลยังไม่ได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะนำมาหักลดหย่อนได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 47(1)(ค) วรรคแรกและวรรคสี่
สรุป คำปรึกษาของนายแดงที่ให้นายสมชายไม่ถูกต้องตามประมวลรัษฎากร
ข้อ 3 ในปี พ.ศ.2550 บริษัทไทยบริการ จำกัด ได้จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ประกอบกิจการโรงแรมในประเทศไทย และเปิดสาขา (Branch) ประกอบกิจการภัตตาคารในประเทศเวียดนาม บริษัทฯมีรายได้จากการประกอบกิจการในประเทศ 20 ล้านบาท และมีรายได้จากสาขาในประเทศเวียดนาม 7 ล้านบาท โดยรายได้จากกิจการภัตตาคารไม่ได้นำเข้ามาในประเทศไทย ดังนี้ ในรอบระยะเวลาบัญชี 2550 บริษัทไทยบริการ จำกัด จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรจากรายได้ดังกล่าวอย่างไร เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 66 วรรคแรก บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศและกระทำกิจการในประเทศไทย ต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยจะต้องนำรายได้จากทั่วโลก (Worldwide Income Basis) มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรโดยรวมสาขาในต่างประเทศทุกสาขา
บริษัทไทยบริการ จำกัด เป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ดังนั้น ในรอบระยะเวลาบัญชี 2550 บริษัทไทยบริการ จำกัด ต้องนำรายได้จากการประกอบการทั้งหมด กล่าวคือ รายได้จากการประกอบกิจการในประเทศไทย 20 ล้านบาท และรายได้จากสาขาในเวียดนาม 7 ล้านบาท เป็นจำนวนทั้งสิ้น 27 ล้านบาท มาคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร มาตรา 66 วรรคแรก
สรุป บริษัทไทยบริการ จำกัด ต้องนำรายได้จากการประกอบการทั้งหมด 27 ล้านบาท มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร
ข้อ 4 บริษัท Cambodia Herb จำกัด ตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศกัมพูชา มีวัตถุประสงค์ในการผลิตและจำหน่ายยาสมุนไพร ไม่มีสาขาหรือสถานประกอบการใดๆในประเทศไทย บริษัทต้องการที่จะเผยแพร่สูตรการผลิตยาสมุนไพรในประเทศไทย โดยผู้ที่ต้องการใช้สูตรในการผลิตยาสมุนไพรต่างๆสามารถติดต่อผ่านทางตัวแทน คือ นายเตียฮองซึ่งเป็นบุคคลสัญชาติกัมพูชา และมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย เมื่อตกลงกันได้แล้วบริษัทก็จะคิดค่าใช้สูตรในการผลิตโดยตรงจากผู้ที่ขอใช้สูตรดังกล่าว บริษัทเณรแอร์สมุนไพร จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทไทย มีความสนใจในสูตรการผลิตยาสมุนไพรดังกล่าวนี้ จึงได้ติดต่อผ่านทางนายเตียฮอง และต่อมาสามารถตกลงกันได้โดยบริษัทเณรแอร์ต้องจ่ายค่าสิทธิในการผลิตให้แก่ Cambodia Herb เป็นเงินจำนวน 10 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นการจ่ายตรงให้แก่ Cambodia Herb ไม่ผ่านทางนายเตียฮองแต่อย่างใด ดังนี้ อยากทราบว่าบริษัท Cambodia Herb จำกัด นายเตียฮอง และบริษัทเณรแอร์สมุนไพร จำกัด มีหน้าที่ต้องเสียภาษีหรือนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 40 เงินได้พึงประเมินนั้น คือ เงินได้ประเภทดังต่อไปนี้รวมตลอดถึงเงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่างๆดังกล่าว ไม่ว่าในทอดใด
(3) ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์หรือสิทธิอย่างอื่น เงินปี หรือเงินได้มีลักษณะเป็นเงินรายปีอันได้มาจากพินัยกรรม นิติกรรมอย่างอื่น หรือคำพิพากษาของศาล
มาตรา 70 วรรคแรก บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทยแต่ได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2)(3)(4)(5) หรือ (6) ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นเสียภาษี โดยให้ผู้จ่ายหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามอัตราภาษีเงินได้สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล แล้วนำส่งอำเภอท้องที่พร้อมกับยื่นรายการตามแบบที่อธิบดีกำหนดภายในเจ็ดวันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินได้พึงประเมินนั้น ทั้งนี้ให้นำมาตรา 54 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา 76 ทวิ วรรคแรก บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ มีลูกจ้าง หรือผู้ทำการแทน หรือผู้ทำการติดต่อ ในการประกอบกิจการในประเทศไทย ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย ให้ถือว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นประกอบกิจการในประเทศไทยและให้ถือว่าบุคคลผู้เป็นลูกจ้างหรือผู้ทำการแทน หรือผู้ทำการติดต่อเช่นว่านั้นไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล เป็นตัวแทนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ และให้บุคคลนั้นมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้ เฉพาะที่เกี่ยวกับเงินได้หรือผลกำไรที่กล่าวแล้ว
วินิจฉัย
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ และไม่มีสาขาในประเทศไทย หากมีลักษณะตามที่ประมวลรัษฎากร มาตรา 76 ทวิ วรรคแรก กำหนดไว้ให้ถือว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นประกอบกิจการในประเทศไทย ซึ่งมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
1 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ
2 มีลูกจ้างหรือผู้ทำการแทน หรือผู้ทำการติดต่อในประเทศไทย
3 ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินหรือผลกำไรในประเทศไทย
บริษัท Cambodia Herb จำกัด ไม่มีสาขาหรือสถานประกอบการใดๆในประเทศไทย แต่การที่บริษัทมีนายเตียฮองซึ่งเป็นตัวแทนในการประกอบกิจการในประเทศไทย ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินค่าสิทธิในการผลิตยาสมุนไพรอันเป็นเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย ถือว่า บริษัท Cambodia Herb จำกัด ประกอบกิจการในประเทศไทย นายเตียฮองซึ่งเป็นตัวแทนจึงมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีสำหรับเงินได้ดังกล่าว ดังนั้นบริษัท Cambodia Herb จำกัด จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทยโดยนายเตียฮองเป็นผู้มีหน้าที่ยื่นแบบรายการภาษีดังกล่าว ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 76 ทวิ วรรคแรก
สำหรับการที่บริษัทเณรแอร์สมุนไพร จำกัด ได้จ่ายเงินค่าสูตรในการผลิตสมุนไพรให้แก่บริษัท Cambodia Herb จำกัด แม้ว่าจะเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(3) ก็ตาม แต่เมื่อเป็นกรณีที่ถือว่า บริษัท Cambodia Herb จำกัด ประกอบกิจการในประเทศไทยซึ่งต้องเสียภาษีตามประมวลรัษฎากรมาตรา 76 ทวิ วรรคแรกแล้ว จึงไม่ต้องเสียภาษีตามมาตรา 70 วรรคแรกอีก บริษัทเณรแอร์สมุนไพร จำกัด จึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีนำส่งค่าสิทธิในการผลิตยาสมุนไพรที่จ่ายให้แก่บริษัท Cambodia Herb จำกัด แต่อย่างใด
สรุป บริษัท Cambodia Herb จำกัด มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทยโดยมีนายเตียฮองเป็นผู้มีอำนาจยื่นแบบรายการภาษีดังกล่าว สำหรับเงินค่าสูตรในการผลิตยา บริษัทเณรแอร์สมุนไพร จำกัด ไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษี