การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3012 กฎหมายปกครอง
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 นายแดงเป็นชาวเขาบริเวณชายแดนจังหวัดเชียงรายได้รับโอนสัญชาติไทย ต่อมานายแดงถูกตำรวจจับโดยข้อหาว่าค้ายาบ้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ. สัญชาติฯจึงมีคำสั่งเพิกถอนสัญชาติของนายแดง ดังนี้ นายแดงจะอุทธรณ์คำสั่งของรัฐมนตรีดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ
ธงคำตอบ
ตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539
มาตรา 44 วรรคแรก ภายใต้บังคับมาตรา 48 ในกรณีที่คำสั่งทางปกครองใดไม่ได้ออกโดยรัฐมนตรี และไม่มีกฎหมายกำหนดขั้นตอนอุทธรณ์ในฝ่ายปกครองไว้เป็นการเฉพาะ ให้คู่กรณีอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองนั้นโดยยื่นต่อเจ้าหน้าที่ผู้ทำคำสั่งทางปกครองในสิบห้าวัน นับแต่วันที่ตนได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าว
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ สัญชาติฯได้มีคำสั่งเพิกถอนสัญชาติของนายแดงนั้น ถือว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งทางปกครอง ตามนัยของมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 เพราะเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ดังนั้น กา รที่นายแดงจะอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองดังกล่าวของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้หรือไม่ จึงต้องพิจารณาตามหลักเกณฑ์เรื่องการอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองของเจ้าหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44 แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539
ซึ่งตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 44 วรรคแรกนั้นได้บัญญัติหลักไว้ว่า คู่กรณีสามารถอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองของเจ้าหน้าที่ได้ ก็เฉพาะคำสั่งทางปกครองที่ไม่ได้ออกโดยรัฐมนตรี และไม่มีกฎหมายกำหนดขั้นตอนอุทธรณ์ภายในฝ่ายปกครองเป็นการเฉพาะ
แต่เมื่อข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์นั้น คำสั่งทางปกครองที่ให้เพิกถอนสัญชาติของนายแดง เป็นคำสั่งทางปกครองที่ออกโดยรัฐมนตรีว่าการกระททรวงมหาดไทย ดังนั้น แม้นายแดงจะไม่พอใจในคำสั่งของรัฐมนตรีฯ นายแดงก็จะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อรัฐมนตรีหาได้ไม่ เพราะต้องห้ามตามมาตรา 44 วรรคแรก ดังกล่าวข้างต้น นายแดงได้แต่ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของรัฐมนตรีฯ ได้ต่อศาลปกครองโดยตรงเท่านั้น
สรุป นายแดงจะอุทธรณ์คำสั่งเพิกถอนสัญชาติของรัฐมนตรีดังกล่าวไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามมาตรา 44 วรรคแรก แห่งพ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539
ข้อ 2 นายขาวได้รับบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนในหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง ต่อมานายขาวถูกศาลตัดสินให้เป็นบุคคลล้มละลาย ดังนี้ ผู้บังคับบัญชาจะสั่งให้นายขาวออกจากราชการทันที และเรียกเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนที่ได้รับอยู่ก่อนมีคำสั่งให้ออกนั้นได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551
มาตรา 67 ผู้ได้รับบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งใดตามมาตรา 53 วรรคหนึ่ง มาตรา 55 มาตรา 56 มาตรา 63 มาตรา 64 และมาตรา 65 หากภายหลังปรากฏว่าขาดคุณสมบัติทั่วไปหรือมีลักษณะต้องห้ามโดยไม่ได้รับการยกเว้นตามมาตรา 36 ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 สั่งให้ผู้นั้นออกจากราชการโดยพลัน แต่ทั้งนี้ไม่กระทบกระเทือนถึงการใดที่ผู้นั้นได้ปฏิบัติไปตามอำนาจและหน้าที่ และการรับเงินเดือนหรือผลประโยชน์อื่นใดที่ได้รับหรือมีสิทธิจะได้รับจากทางราชการก่อนมีคำสั่งให้ออกนั้น
มาตรา 36 ข(6) ผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนต้องมีคุณสมบัติทั่วไป และไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้
ข. ลักษณะต้องห้าม
(6) เป็นบุคคลล้มละลาย
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายขาวได้รับบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนในหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง และต่อมานายขาวได้ถูกศาลตัดสินให้เป็นบุคคลล้มละลายนั้น กรณีดังกล่าวเข้าลักษณะตามบทบัญญัติมาตรา 67 ประกอบกับมาตรา 36 ข(6) กล่าวคือนายขาวเป็นผู้ที่ได้รับบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ แล้วต่อมาภายหลังปรากฏว่านายขาวมีลักษณะต้องห้ามคือเป็นบุคคลล้มละลายและไม่ได้รับการยกเว้น ดังนั้น ผู้บังคับบัญชาจึงสั่งให้นายขาวออกจากราชการทันทีได้
แต่อย่างไรก็ตาม การสั่งให้นายขาวออกจากราชการได้ทันทีนั้น ตามมาตรา 67 ได้บัญญัติไว้ว่า จะไม่กระทบกระเทือนถึงการใดที่นายขาวได้ปฏิบัติไปตามอำนาจและหน้าที่และการรับเงินเดือนหรือผลประโยชน์อื่นใด ที่ได้รับหรือมีสิทธิจะได้รับจากทางราชการก่อนมีคำสั่งให้ออกนั้น ดังนั้น ผู้บังคับบัญชาจะเรียกเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนที่ได้รับอยู่ก่อนมีคำสั่งให้ออกนั้นไม่ได้
สรุป ผู้บังคับบัญชาจะสั่งให้นายขาวออกจากราชการทันทีได้ แต่จะเรียกเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนที่ได้รับอยู่ก่อนมีคำสั่งให้ออกนั้นไม่ได้
ข้อ 3 บริการสาธารณะคืออะไร มีกี่ประเภท จงอธิบายตามที่ได้ศึกษามา
ธงคำตอบ
บริการสาธารณะ (Public Service) หมายถึง กิจการที่อยู่ในความอำนวยการหรือในกำกับดูแลของฝ่ายปกครองที่จัดทำเพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชน
กิจกรรมที่จะถือว่าเป็นบริการสาธารณะนั้นจะต้องประกอบด้วยเงื่อนไข 2 ประการ คือ
1) จะต้องเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับบุคคลในกฎหมายมหาชนหรือนิติบุคคลมหาชน ซึ่งหมายถึง นิติบุคคลมหาชนเป็นผู้ประกอบกิจกรรมด้วยตนเอง อันได้แก่ กิจกรรมที่รัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือรัฐวิสาหกิจเป็นผู้ดำเนินการ และยังหมายความรวมถึงกรณีที่รัฐมอบกิจกรรมของรัฐบางประเภทให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการ โดยฝ่ายปกครองใช้อำนาจกำกับดูแลบางประการและอยู่ภายใต้ระบบพิเศษด้วย
2) จะต้องเป็นกิจกรรมที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สาธารณะและตอบสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชน
1 ประเภทของบริการสาธารณะ
บริการสาธารณะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆดังนี้ คือ
1) บริการสาธารณะปกครอง
บริการสาธารณะปกครอง คือ กิจการรมที่โดยสภาพแล้วเป็นงานในหน้าที่ของฝ่ายปกครองที่จะต้องจัดทำเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องการดูแลความปลอดภัยและความสงบสุขของชุมชน ที่รัฐหรือฝ่ายปกครองจัดทำให้ประชาชนโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทน และนอกจากนี้ เนื่องจากเนื้อหาของบริการสาธารณะทางปกครองจะเป็นเรื่องที่เป็นหน้าที่เฉพาะของฝ่ายปกครองที่ต้องอาศัยเทคนิคพิเศษ รวมทั้งอำนาจพิเศษของฝ่ายปกครองตามกฎหมายมหาชนในการจัดทำบริการสาธารณะด้วย ดังนั้นบริการสาธารณะประเภทนี้ ฝ่ายปกครองจึงไม่สามารถมอบให้องค์กรอื่นหรือเอกชนเข้ามาดำเนินการแทนได้
ตัวอย่างบริการสาธารณะทางปกครองดังกล่าวข้างต้น เช่น กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความสงบภายใน การป้องกันประเทศ การสาธารณสุข การอำนวยความยุติธรรม การต่างประเทศ และการคลัง เป็นต้น ซึ่งแต่เดิมนั้น บริการสาธารณะทุกประเภทจัดว่าเป็นบริการสาธารณะทางปกครองทั้งสิ้น แต่ต่อมาเมื่อกิจกรรมเหล่านี้มีมากขึ้น และมีรูปแบบและวิธีการในการจัดทำที่แตกต่างกันออกไป จึงเกิดประเภทใหม่ๆของบริการสาธารณะขึ้นมาอีก
2) บริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม
บริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม คือ บริการสาธารณะที่เน้นทางด้านการผลิต การจำหน่าย การให้บริการ และมีการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ได้รับดังเช่นกิจการของเอกชน (วิสาหกิจเอกชน) ซึ่งมีความแตกต่างกับบริการสาธารณะทางปกครองอยู่ด้วยกัน 4 ประการ คือ
(1) วัตถุแห่งบริการ บริการสาธารณะทางปกครองจะมีวัตถุแห่งบริการเพื่อสนองความต้องการของประชาชนในประเทศแต่เพียงอย่างเดียว ส่วนบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมนั้น มีวัตถุแห่งบริการด้านเศรษฐกิจเหมือนกับวิสาหกิจเอกชน คือ เน้นทางด้านการผลิต การจำหน่าย การให้บริการ และมีการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ได้รับดังเช่นกิจการของเอกชน
(2) วิธีปฏิบัติงาน บริการสาธารณะทางปกครองจะมีวิธีปฏิบัติงานที่รัฐสร้างขึ้นมาเป็นแบบเดียวกัน มีระบบบังคับบัญชาซึ่งใช้กับผู้ปฏิบัติงานทุกคน ในขณะที่บริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมจะมีวิธีปฏิบัติงานที่สร้างขึ้นมาเองแตกต่างไปจากบริการสาธารณะที่มีลักษณะทางปกครอง ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและเหมาะสมในการดำเนินการ
(3) แหล่งที่มาของเงินทุน บริการสาธารณะทางปกครองจะมีแหล่งที่มาของเงินทุนจากรัฐแต่เพียงอย่างเดียว โดยรัฐจะเป็นผู้รับผิดชอบเงินทุนทั้งหมดที่นำมาใช้จ่ายในการดำเนินการ ส่วนบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมนั้น แหล่งรายได้ส่วนใหญ่จะมาจากค่าตอบแทนการบริการของผู้ใช้บริการ
(4) ผู้ใช้บริการ สถานภาพของผู้ใช้บริการสาธารณะทางปกครองนั้นจะถูกกำหนดโดยกฎข้อบังคับทั้งหมด ซึ่งรวมตั้งแต่การกำหนดองค์กร การจัดองค์กร และการปฏิบัติงาน ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้บริการกับผู้ให้บริการสาธารณะประเภทนี้จึงมีลักษณะเป็นนิติกรรมที่มีเงื่อนไขและไม่เท่าเทียมกัน ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้บริการของบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมจะมีลักษณะเสมอภาคกัน เพราะถูกกำหนดโดยสัญญาตามกฎหมายเอกชน
3) บริการสาธารณะทางสังคมและวัฒนธรรม
บริการสาธารณะทางสังคมและวัฒนธรรม คือ บริการสาธารณะที่เป็นการให้บริการทางสังคมและวัฒนธรรมที่ต้องการความอิสระคล่องตัวในการทงานโดยไม่มุ่นเน้นการแสวงหากำไร เช่น การแสดงนาฏศิลป์ พิพิธภัณฑ์ การกีฬา การศึกษาวิจัยฯ
ข้อ 4 เมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ.2554 นายเอกและราษฎรในเขตพื้นที่ตำบลยางชุม อำเภอสูงเนิน ได้ทราบว่าได้มีการประกาศบังคับใช้พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินอำเภอสูงเนินให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ.2554 นายเอกและประชาชนในเขตพื้นที่ดังกล่าวเห็นว่าพระราชกฤษฎีกาฯฉบับนี้ ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเป็นการกระทบต่อการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะและจะส่งผลกระทบต่อราษฎรฯ ผู้ขอออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินต่อทางราชการเพราะจะทำให้ราษฎรฯไม่สามารถขอออกหนังสือแสดงสิทธิต่อทางราชการได้ ต่อมาวันที่ 20 มีนาคม 2555 นายเอกและราษฎรฯเห็นว่ากรณีเพื่อเป็นการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะและคุ้มครองสิทธิของตน จึงได้ยื่นฟ้องกรณีนี้เป็นคดีต่อศาลปกครองฯ เพื่อขอให้ศาลปกครองฯ เพิกถอนพระราชกฤษฎีกาฯดังกล่าว ดังนี้ หากท่านเป็นศาลปกครองฯ ท่านจะรับฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณาหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
มาตรา 49 “การฟ้องคดีปกครองจะต้องยื่นฟ้องภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี หรือนับแต่วันที่พ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือร้องขอต่อหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดและไม่ได้รับหนังสือชี้แจงจากหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือได้รับแต่เป็นคำชี้แจงที่ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าไม่มีเหตุผลแล้วแต่กรณี เว้นแต่จะได้มีบทกฎหมายเฉพาะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น”
มาตรา 52 “การฟ้องคดีปกครองที่เกี่ยวกับการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะหรือสถานะของบุคคลจะยื่นฟ้องคดีเมื่อใดก็ได้
การฟ้องคดีปกครองที่ยื่นเมื่อพ้นกำหนดเวลาการฟ้องคดีแล้ว ถ้าศาลปกครองเห็นว่าคดีที่ยื่นฟ้องนั้นจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมหรือมีเหตุจำเป็นอื่นโดยศาลเห็นเองหรือคู่กรณีมีคำขอ ศาลปกครองจะรับไว้พิจารณาก็ได้”
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว การฟ้องคดีปกครองต่อศาลปกครองจะต้องยื่นฟ้องภายใน 90 วันนับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี (มาตรา 49) ซึ่งตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกและราษฎรในเขตพื้นที่ตำบลยางชม อำเภอสูงเนินได้ทราบว่าได้มีการประกาศบังคับใช้พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินอำเภอสูงเนินให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. 2554 เมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ.2554 ซึ่งนายเอกและราษฎรในพื้นที่ดังกล่าวเห็นว่าพระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับนี้ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเป็นการกระทบต่อการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะฯ ดังนั้นเพื่อเป็นการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะและคุ้มครองสิทธิของตน นายเอกและราษฎรฯ จึงได้ยื่นฟ้องเป็นคดีต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้ศาลปกครองเพิกถอนพระราชกฤษฎีกาฯ ดังกล่าว เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2555
กรณีตามอุทาหรณ์ จะเห็นได้ว่านายเอกและราษฎรฯ ได้ยื่นฟ้องคดีดังกล่าวเมื่อพ้นกำหนดเวลาการฟ้องคดีตามมาตรา 49 แล้ว และกรณีดังกล่าวก็ไม่ใช่เป็นคดีที่เกี่ยวกับการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ ตามมาตรา 52 วรรคหนึ่ง ที่ผู้ฟ้องคดีจะยื่นฟ้องเมื่อใดก็ได้ ดังนั้นโดยหลักแล้วศาลปกครองจะไม่รับฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณา
แต่อย่างไรก็ดี ตามข้อเท็จจริงในคดีนี้ถือได้ว่าเป็นคดีที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม และจะเป็นการคุ้มครองสิทธิของราษฎรตามมาตรา 52 วรรคสอง ซึ่งศาลปกครองมีอำนาจที่จะรับฟ้องไว้พิจารณาได้ ดังนั้น ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลปกครอง ข้าพเจ้าจะรับฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณา
สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลปกครองจะรับฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณาตามมาตรา 52 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ พ.ศ.2542