การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3012 กฎหมายปกครอง
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 บริการสาธารณะคืออะไร มีกี่ประเภท จงอธิบายตามที่ได้ศึกษามา
ธงคำตอบ
บริการสาธารณะ (Public Service) หมายถึง กิจการที่อยู่ในความอำนวยการหรือในกำกับดูแลของฝ่ายปกครองที่จัดทำเพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชน
กิจกรรมที่จะถือว่าเป็นบริการสาธารณะนั้นจะต้องประกอบด้วยเงื่อนไข 2 ประการ คือ
1) จะต้องเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับบุคคลในกฎหมายมหาชนหรือนิติบุคคลมหาชน ซึ่งหมายถึง นิติบุคคลมหาชนเป็นผู้ประกอบกิจกรรมด้วยตนเอง อันได้แก่ กิจกรรมที่รัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือรัฐวิสาหกิจเป็นผู้ดำเนินการ และยังหมายความรวมถึงกรณีที่รัฐมอบกิจกรรมของรัฐบางประเภทให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการ โดยฝ่ายปกครองใช้อำนาจกำกับดูแลบางประการและอยู่ภายใต้ระบบพิเศษด้วย
2) จะต้องเป็นกิจกรรมที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สาธารณะและตอบสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชน
1 ประเภทของบริการสาธารณะ
บริการสาธารณะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆดังนี้ คือ
1) บริการสาธารณะปกครอง
บริการสาธารณะปกครอง คือ กิจการรมที่โดยสภาพแล้วเป็นงานในหน้าที่ของฝ่ายปกครองที่จะต้องจัดทำเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องการดูแลความปลอดภัยและความสงบสุขของชุมชน ที่รัฐหรือฝ่ายปกครองจัดทำให้ประชาชนโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทน และนอกจากนี้ เนื่องจากเนื้อหาของบริการสาธารณะทางปกครองจะเป็นเรื่องที่เป็นหน้าที่เฉพาะของฝ่ายปกครองที่ต้องอาศัยเทคนิคพิเศษ รวมทั้งอำนาจพิเศษของฝ่ายปกครองตามกฎหมายมหาชนในการจัดทำบริการสาธารณะด้วย ดังนั้นบริการสาธารณะประเภทนี้ ฝ่ายปกครองจึงไม่สามารถมอบให้องค์กรอื่นหรือเอกชนเข้ามาดำเนินการแทนได้
ตัวอย่างบริการสาธารณะทางปกครองดังกล่าวข้างต้น เช่น กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความสงบภายใน การป้องกันประเทศ การสาธารณสุข การอำนวยความยุติธรรม การต่างประเทศ และการคลัง เป็นต้น ซึ่งแต่เดิมนั้น บริการสาธารณะทุกประเภทจัดว่าเป็นบริการสาธารณะทางปกครองทั้งสิ้น แต่ต่อมาเมื่อกิจกรรมเหล่านี้มีมากขึ้น และมีรูปแบบและวิธีการในการจัดทำที่แตกต่างกันออกไป จึงเกิดประเภทใหม่ๆของบริการสาธารณะขึ้นมาอีก
2) บริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม
บริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม คือ บริการสาธารณะที่เน้นทางด้านการผลิต การจำหน่าย การให้บริการ และมีการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ได้รับดังเช่นกิจการของเอกชน (วิสาหกิจเอกชน) ซึ่งมีความแตกต่างกับบริการสาธารณะทางปกครองอยู่ด้วยกัน 4 ประการ คือ
(1) วัตถุแห่งบริการ บริการสาธารณะทางปกครองจะมีวัตถุแห่งบริการเพื่อสนองความต้องการของประชาชนในประเทศแต่เพียงอย่างเดียว ส่วนบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมนั้น มีวัตถุแห่งบริการด้านเศรษฐกิจเหมือนกับวิสาหกิจเอกชน คือ เน้นทางด้านการผลิต การจำหน่าย การให้บริการ และมีการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ได้รับดังเช่นกิจการของเอกชน
(2) วิธีปฏิบัติงาน บริการสาธารณะทางปกครองจะมีวิธีปฏิบัติงานที่รัฐสร้างขึ้นมาเป็นแบบเดียวกัน มีระบบบังคับบัญชาซึ่งใช้กับผู้ปฏิบัติงานทุกคน ในขณะที่บริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมจะมีวิธีปฏิบัติงานที่สร้างขึ้นมาเองแตกต่างไปจากบริการสาธารณะที่มีลักษณะทางปกครอง ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและเหมาะสมในการดำเนินการ
(3) แหล่งที่มาของเงินทุน บริการสาธารณะทางปกครองจะมีแหล่งที่มาของเงินทุนจากรัฐแต่เพียงอย่างเดียว โดยรัฐจะเป็นผู้รับผิดชอบเงินทุนทั้งหมดที่นำมาใช้จ่ายในการดำเนินการ ส่วนบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมนั้น แหล่งรายได้ส่วนใหญ่จะมาจากค่าตอบแทนการบริการของผู้ใช้บริการ
(4) ผู้ใช้บริการ สถานภาพของผู้ใช้บริการสาธารณะทางปกครองนั้นจะถูกกำหนดโดยกฎข้อบังคับทั้งหมด ซึ่งรวมตั้งแต่การกำหนดองค์กร การจัดองค์กร และการปฏิบัติงาน ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้บริการกับผู้ให้บริการสาธารณะประเภทนี้จึงมีลักษณะเป็นนิติกรรมที่มีเงื่อนไขและไม่เท่าเทียมกัน ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้บริการของบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมจะมีลักษณะเสมอภาคกัน เพราะถูกกำหนดโดยสัญญาตามกฎหมายเอกชน
3) บริการสาธารณะทางสังคมและวัฒนธรรม
บริการสาธารณะทางสังคมและวัฒนธรรม คือ บริการสาธารณะที่เป็นการให้บริการทางสังคมและวัฒนธรรมที่ต้องการความอิสระคล่องตัวในการทงานโดยไม่มุ่นเน้นการแสวงหากำไร เช่น การแสดงนาฏศิลป์ พิพิธภัณฑ์ การกีฬา การศึกษาวิจัยฯ
ข้อ 2 นายแดงเป็นข้าราชการพลเรือน กระทำความผิดอาญาโดยเจตนา และศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก 5 ปี ดังนี้ ตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 จะดำเนินการทางวินัย ตลอดจนลงโทษทางวินัยต่อนายแดงได้หรือไม่ อย่างไร ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ
ธงคำตอบ
ตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551
มาตรา 85 การกระทำผิดวินัยในลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง
(6) กระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุกหรือโทษที่หนักกว่าโทษจำคุก โดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก หรือให้รับโทษที่หนักกว่าโทษจำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
มาตรา 97 ภายใต้บังคับวรรคสอง ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้ลงโทษปลดออกหรือไล่ออกตามความร้ายแรงแห่งกรณี ถ้ามีเหตุอันควรลดหย่อนจะนำมาประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได้ แต่ห้ามมิให้ลดโทษลงต่ำกว่าปลดออก
ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนหรือผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 93 วรรคหนึ่ง หรือผู้มีอำนาจตามมาตรา 94 เห็นว่าข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 ส่งเรื่องให้ อ.ก.พ. จังหวัด อ.พ.ก. กรม หรือ อ.ก.พ. กระทรวงวึ่งผู้ถูกกล่าวหาสังกัดอยู่ แล้วแต่พิจารณา เมื่อ อ.ก.พ. ดังกล่าวมีมติเป็นประการใด ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 สั่งหรือปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้น ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎ ก.พ.
ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือน กระทำความผิดอาญาโดยเจตนา และศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเป็นเวลา 5 ปี และเมื่อความผิดนั้นมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หรือเป็นความผิดลหุโทษ ดังนั้น ตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มาตรา 85(6) ถือว่า นายแดงได้กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ซึ่งผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 สามารถดำเนินการทางวินัยตลอดจนลงโทษทางวินัยต่อนายแดงฐานกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงได้ตามมาตรา 97 โดยให้ลงโทษปลดออกหรือไล่ออกตามความร้ายแรงแห่งกรณี
ซึ่งการลงโทษทางวินัยต่อนายแดงนั้น ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 ส่งเรื่องให้ อ.ก.พ. จังหวัด อ.ก.พ. กรม หรือ อ.ก.พ. กระทรวง ซึ่งนายแดงสังกัดอยุ่แล้วแต่กรณี เมื่อ อ.ก.พ. มีมติเป็นประการใดระหว่างลงโทษปลดออกหรือไล่ออก ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 สั่งหรือปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้น ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎ ก.พ.
สรุป ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 สามารถดำเนินการทางวินัยและลงโทษทางวินัยต่อนายแดงได้ โดยปฏิบัติตามมาตรา 97 ดังกล่าวข้างต้น
ข้อ 3 นายดำได้ก่อสร้างต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ก่อน อันเป็นการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร พ.ศ.2552 เจ้าหน้าที่มาพบเข้าจึงมีคำสั่งให้นายดำรื้อถอนในส่วนที่ต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นเสีย ในกรณีดังกล่าว หากนายดำฝ่าฝืนไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จะดำเนินมาตรการบังคับทางปกครองได้หรือไม่ อย่างไร ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ
ธงคำตอบ
ตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 มาตรา 58 บัญญัติว่า
คำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้กระทำหรือละเว้นกระทำ ถ้าผู้อยู่ในบังคับของคำสั่งทางปกครองฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม เจ้าหน้าที่อาจใช้มาตรการบังคับทางปกครองอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
(1) เจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการด้วยตนเอง หรือมอบหมายให้บุคคลอื่นกระทำการแทน โดยผู้อยู่ในบังคับบัญชาของคำสั่งทางปกครอง จะต้องชดใช้ค่าใช้จ่าย และเงินเพิ่มในอัตราร้อยละยี่สิบห้าต่อปีของค่าใช้จ่ายดังกล่าวแก่เจ้าหน้าที่
(2) ให้มีการชำระค่าปรับทางปกครองตามจำนวนที่สมควรแก่เหตุ แต่ต้องไม่เกินสองหมื่นบาทต่อวัน
ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ การที่เจ้าหน้าที่ได้มีคำสั่งให้นายดำรื้อถอนสิ่งก่อสร้างต่อเติมอาคารที่นายดำได้ทำการก่อสร้างต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น คำสั่งดังกล่าวของเจ้าหน้าที่เป็นคำสั่งทางปกครองและเป็นคำสั่งที่มีลักษณะให้กระทำการ เมื่อนายดำซึ่งเป็นผู้อยู่ในบังคับของคำสั่งทางปกครองนั้นฝ่าฝืนไม่ยอมปฏิบัติตาม ดังนี้เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินมาตรการบังคับทางปกครองแก่นายดำได้ตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 มาตรา 58 กล่าวคือ
(1) เจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการด้วยตนเอง หรือมอบหมายให้บุคคลอื่นกระทำการแทน โดยนายดำจะต้องชดใช้ค่าใช้จ่าย และเงินเพิ่มในอัตราร้อยละยี่สิบห้าต่อปีของค่าใช้จ่ายดังกล่าวแก่เจ้าหน้าที่ หรือ
(2) ให้นายดำชำระค่าปรับทางปกครองตามจำนวนที่สมควรแก่เหตุ แต่ต้องไม่เกินสองหมื่นบาทต่อวัน อย่างใดอย่างหนึ่ง
แต่ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะใช้มาตรการบังคับทางปกครองตามมาตรา 58 ดังกล่าว เจ้าหน้าที่จะต้องมีคำเตือนเป็นหนังสือให้นายดำกระทำการรื้อถอนในส่วนที่ต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตตามคำสั่งนั้น ภายในระยะเวลาที่กำหนดตามสมควรแก่กรณีด้วย (มาตรา 59 วรรคหนึ่ง)
ข้อ 4 สภาองค์การบริหารส่วนตำบลสวนนก ได้มีมติให้นายเอกพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภา อบต.ฯ โดยเห็นว่ามีความประพฤติในทางที่เสื่อมเสียแก่องค์การบริหารส่วนตำบลฯ ต่อมานายเอกได้อุทธรณ์มติของสภา อบต.ฯ ต่อนายอำเภอ ซึ่งนายอำเภอได้อาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ. สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบลฯ มาตรา 47 ตรี ซึ่งบัญญัติให้นายอำเภอเป็นผู้มีอำนาจในการวินิจฉัยอุทธรณ์และให้คำวินิจฉัยของนายอำเภอเป็นที่สุด ทั้งนี้โดยนายอำเภอได้มีคำวินิจฉัยยืนยันตามมติของสภา อบต.ฯ ที่ให้นายเอกพ้นจากตำแหน่ง และได้แจ้งคำสั่งเป็นหนังสือให้นายเอกทราบ โดยมิได้แจ้งสิทธิในการฟ้องคดี วิธีพิจารณาคดี และระยะเวลาสำหรับยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ไว้ในคำสั่งเพื่อให้นายเอกทราบแต่อย่างใด ดังนั้นหากต่อมาอีก 4 เดือน นายเอกเห็นว่าคำสั่งฯของนายอำเภอที่ให้ตนพ้นจากตำแหน่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงได้มาปรึกษาท่านเพื่อจะฟ้องเพิกถอนคำสั่งฯของนายอำเภอ เป็นคดีต่อศาลปกครอง ท่านจะให้คำแนะนำแก่นายเอกในกรณีนี้อย่างไร
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย พ.ร.บ. สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537
มาตรา 47 ตรี วรรคหนึ่ง (8) บัญญัติหลักไว้ว่า
สมาชิกภาพของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลสิ้นสุดลงเมื่อ
(8) สภาองค์การบริหารส่วนตำบลมีมติให้พ้นจากตำแหน่ง โดยเห็นว่ามีความประพฤติในทางที่จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียหรือก่อความไม่สงบเรียบร้อยแก่องค์การบริหารส่วนตำบล หรือกระทำการอันเสื่อมเสียประโยชน์ของสภาองค์การบริหารส่วนตำบล
ในกรณีที่สมาชิกภาพของสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลผู้ใดสิ้นสุดลงตาม (8) ผู้นั้นอาจอุทธรณ์หรือโต้แย้งมติของสภาองค์การบริหารส่วนตำบลไปยังนายอำเภอได้ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่รับทราบมติของสภาองค์การบริหารส่วนตำบล และให้นายอำเภอสอบสวนและวินิจฉัยให้เสร็จสิ้นภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำอุทธรณ์หรือโต้แย้ง คำวินิจฉัยของนายอำเภอให้เป็นที่สุด
และตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
มาตรา 9 ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้
(1) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใด
มาตรา 49 การฟ้องคดีปกครองจะต้องยื่นฟ้องภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี
มาตรา 50 คำสั่งใดที่อาจฟ้องต่อศาลปกครองได้ ให้ผู้ออกคำสั่งระบุวิธีการยื่นคำฟ้องและระยะเวลาสำหรับยื่นคำฟ้องไว้ในคำสั่งนั้นด้วย
ในกรณีที่ปรากฏต่อผู้ออกคำสั่งใดในภายหลังว่า ตนมิได้ปฏิบัติตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้นั้นดำเนินการแจ้งข้อความซึ่งพึงระบุตามวรรคหนึ่งให้ผู้รับคำสั่งทราบโดยไม่ชักช้า
ถ้าไม่มีการแจ้งใหม่ตามวรรคสองและระยะเวลาสำหรับยื่นคำฟ้องมีกำหนดน้อยกว่าหนึ่งปี ให้ขยายระยะเวลาสำหรับยื่นคำฟ้องเป็นเวลาหนึ่งปีนับแต่ได้รับคำสั่ง
มาตรา 72 ในการพิพากษาคดี ศาลปกครองมีอำนาจกำหนดคำบังคับอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
(1) สั่งให้เพิกถอนกฎหรือคำสั่ง หรือสั่งห้ามการกระทำทั้งหมด หรือบางส่วน ในกรณีที่มีการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 9(1)
วินิจฉัย
จากข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ ประกอบกับหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น เมื่อนายเอกมาปรึกษาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่นายเอกดังนี้คือ
ประเด็นที่ 1 การที่สภาองค์การบริหารส่วนตำบลสวนนก ได้มีมติให้นายเอกพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภา อบต.ฯนั้น ถือว่าสมาชิกภาพสมาชิกสภา อบต.ฯ ของนายเอกสิ้นสุดลงตามมาตรา 47 ตรี (8) แห่ง พ.ร.บ. สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบลฯ แต่นายเอกอาจอุทธรณ์มติดังกล่าวต่อนายอำเภอได้ และเมื่อนายเอกได้อุทธรณ์มตินั้นไปยังนายอำเภอแล้ว นายอำเภอได้มีคำวินิจฉัยยืนยันตามมติของสภา อบต.ฯที่ให้นายเอกพ้นจากตำแหน่ง ดังนี้ ถือว่าคำวินิจฉัยของนายอำเภอให้เป็นที่สุด
แต่อย่างไรก็ตาม กรณีที่ถือว่า คำวินิจฉัยของนายอำเภอให้เป็นที่สุดนั้น หมายความว่าเป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่อาจอุทธรณ์ หรือโต้แย้งได้ต่อไปในฝ่ายปกครองเท่านั้น เมื่อนายเอกเห็นว่าคำสั่งทางปกครองดังกล่าว เป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย นายเอกก็สามารถฟ้องเป็นคดีต่อศาลปกครอง เพื่อให้ศาลปกครองสั่งให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองนั้นได้ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ มาตรา 9 วรรคหนึ่ง(1) ประกอบกับมาตรา 72(1)
ประเด็นที่ 2 การที่นายเอกจะฟ้องคดีต่อศาลปกครองนั้น นายเอกไม่ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเป็นหนังสือของนายอำเภอ ดังนี้นายเอกยังคงยื่นฟ้องต่อศาลปกครองได้หรือไม่ กรณีนี้เห็นว่าเมื่อนายอำเภอได้มีคำวินิจฉัย และได้แจ้งคำสั่งเป็นหนังสือให้นายเอกได้ทราบนั้น นายอำเภอไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรา 50 วรรคหนึ่ง คือ ไม่ได้แจ้งสิทธิในการฟ้องคดี วิธีการฟ้องคดี และระยะเวลาสำหรับยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองไว้ในคำสั่งเพื่อให้นายเอกทราบแต่อย่างใด และไม่ปรากฏว่าได้มีการแจ้งใหม่ตามวรรคสอง ดังนั้นตามมาตรา 50 วรรคสาม ได้กำหนดให้ขยายระยะเวลาสำหรับยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองเป็นเวลา 1 ปี นับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง จึงมีผลทำให้นายเอกสามารถฟ้องเพิกถอนคำสั่งฯ ของนายอำเภอ เป็นคดีต่อศาลปกครองได้ แม้จะเกิน 90 วันนับแต่วันที่ได้รับคำสั่งฯ ของนายอำเภอก็ตาม
สรุป ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่นายเอกว่า นายเอกสามารถฟ้องเพิกถอนคำสั่งฯ ของนายอำเภอเป็นคดีต่อศาลปกครองได้ ตามเหตุผลดังกล่าวข้างต้น