การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2550
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3012 กฎหมายปกครอง
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (ข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 ตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ได้บัญญัติหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัย ตลอดจนการลงโทษทางวินัยอย่างไร เมื่อข้าราชการพลเรือนถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง
ธงคำตอบ
ในกรณีที่ข้าราชการพลเรือนถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงนั้น ในเบื้องต้นผู้บังคับบัญชาต้องดำเนินการสืบสวนเสียก่อนตาม พ.ร.บ. ระเบียบราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 99 วรรคห้า ซึ่งมีหลักว่า “เมื่อมีการกล่าวหาโดยปรากฏให้ผู้บังคับบัญชารีบดำเนินการสืบสวนหรือ
พิจารณาในเบื้องต้นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัยหรือไม่ ถ้าเห็นว่ากรณีไม่มีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยจึงจะยุติเรื่องได้ ถ้าเห็นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยก็ให้ดำเนินการทางวินัยทันที”
และเมื่อผู้บังคับบัญชาสืบสวนแล้วปรากฏว่า กรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ก็ให้ดำเนินการสอบสวนตามวิธีการที่ผู้บังคับบัญชาเห็นสมควร กล่าวคือ ผู้บังคับบัญชาจะทำการสอบสวนด้วยตนเอง หรือจะแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นทำการสอบสวนก็ได้ ตามมาตรา 102 ที่ว่า “การดำเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการพลเรือนสามัญ ซึ่งมีกรณีอันมีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัย ให้สอบสวนเพื่อให้ได้ความจริงและยุติธรรมโดยไม่ชักช้า
การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ถ้าเป็นกรณีกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ให้ดำเนินการตามวิธีการที่ผู้บังคับบัญชาเห็นสมควร”
และเมื่อได้ดำเนินการ ตามมาตรา 102 ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ถ้ายังฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดวินัย ก็ให้ยุติเรื่อง แต่ถ้าฟังได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำผิดวินัยก็ให้ดำเนินการสั่งลงโทษ ภาคทัณฑ์ตัดเงินเดือน หรือลดขั้นเงินเดือนตามควรแก่กรณี ตามมาตรา 103 ซึ่งมีหลักว่า “ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ให้ผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน หรือลดขั้นเงินเดือนตามควรแก่กรณีให้เหมาะสมกับความผิด ถ้ามีเหตุอันควรลดหย่อนจะนำมาประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได้ แต่สำหรับการลงโทษภาคทัณฑ์ให้ใช้เฉพาะกรณีกระทำผิดวินัยเล็กน้อย หรือมีเหตุอันควรลดหย่อนซึ่งยังไม่มีถึงกับจะต้องถูกลงโทษตัดเงินเดือน ถ้าผู้บังคับบัญชาเห็นว่าผู้นั้นจะต้องได้รับโทษสูงกว่าที่ตนมีอำนาจสั่งลงโทษ ให้รายงานต่อผู้บังคับบัญชาของผู้นั้นที่มีอำนาจเพื่อให้พิจารณาดำเนินการเพื่อลงโทษตามควรแก่กรณี
ในกรณีกระทำผิดวินัยเล็กน้อยและมีเหตุอันควรงดโทษ จะงดโทษให้โดยให้ทำทัณฑ์บนเป็นหนังสือหรือว่ากล่าวตักเตือนก็ได้
ข้อ 2 “คำสั่งทางปกครอง” ตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 หมายถึงอะไรและในการออกคำสั่งทางปกครองของเจ้าหน้าที่ต้องระบุเหตุผลเสมอไปหรือไม่ อย่างไร ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ
ธงคำตอบ
ตาม พ.ร.บ. วิธีพิจารณาราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 5 “คำสั่งทางปกครอง” หมายความว่า
(1) การใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว เช่น การสั่งการ การอนุญาต การอนุมัติ การวินิจฉัย อุทธรณ์ การรับรอง และการรับจดทะเบียน แต่ไม่ไหมายความรวมถึงการออกกฎ
(2) การอื่นที่กำหนดในกระทรวง
คำสั่งทางปกครองที่ทำเป็นหนังสืออย่างน้อยต้องมีรายการตามที่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 36 กล่าวคือ อย่างน้อยต้องระบุ
1 วัน เดือน และปีที่ทำคำสั่ง
2 ชื่อ และตำแหน่งของเจ้าหน้าที่ผู้ทำคำสั่ง และ
3 มีลายมือชื่อของเจ้าหน้าที่ผู้ทำคำสั่งนั้น
และตามมาตรา 37 วรรคแรก ได้บัญญัติหลักไว้ว่า คำสั่งทางปกครองที่ทำเป็นหนังสือจะต้องจัดให้มีเหตุผลไว้ด้วย แต่อย่างไรก็ตามคำสั่งทางปกครองที่ทำเป็นหนังสืออาจไม่จำต้องระบุเหตุผลของคำสั่งดังกล่าวเสมอไปก็ได้ ถ้าเข้าข้อยกเว้นตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 37 วรรคสาม ซึ่งบัญญัติว่า
“บทบัญญัติตามวรรคหนึ่งไม่ใช้บังคับกับกรณีดังต่อไปนี้
(1) เป็นกรณีที่มีผลตรงตามคำขอและไม่กระทบสิทธิและหน้าที่ของบุคคลอื่น
(2) เหตุผลนั้นเป็นที่รู้กันอยู่แล้วโดยไม่จำต้องระบุอีก
(3) เป็นกรณีที่ต้องรักษาไว้เป็นความลับตามมาตรา 32
(4) เป็นการออกคำสั่งทางปกครองด้วยวาจาหรือเป็นกรณีเร่งด่วนแต่ต้องให้เหตุผลเป็นลายลักษณ์อักษรในเวลาอันควรหากผู้อยู่ในบังคับของคำสั่งนั้นร้องขอ”
ข้อ 3 เงื่อนไขในการฟ้องคดีปกครองมีอะไรบ้าง จงอธิบายมาตามที่ได้ศึกษามา
ธงคำตอบ
เงื่อนไขในการฟ้องคดีปกครองมีอยู่ด้วยกัน 6 ประการ คือ
1 คำฟ้องต้องมีเนื้อหาครบถ้วนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
2 ผู้ฟ้องคดีต้องเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีและมีความสามารถในการฟ้องคดี
3 ก่อนการฟ้องคดี ในกรณีที่มีกฎหมายกำหนดไว้ ผู้มีสิทธิฟ้องคดีจะต้องดำเนินการโต้แย้งคัดค้านต่อเจ้าหน้าที่หรือคณะกรรมการของฝ่ายบริหารให้ครบขั้นตอนตามที่กฎหมายกำหนดเสียก่อน จึงจะนำคดีมาฟ้องศาลปกครองได้
4 การฟ้องคดีที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล ผู้ฟ้องคดีต้องชำระค่าธรรมเนียมศาลให้ครบถ้วน
5 คำฟ้องต้องยื่นภายในกำหนดระยะเวลาการฟ้องคดี
6 ต้องไม่เป็นการฟ้องซ้อน ฟ้องซ้ำ หรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ
คำอธิบาย
1 คำฟ้องต้องมีเนื้อหาครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดไว้
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ มาตรา 45 วรรคแรก บัญญัติว่า
“คำฟ้องให้ใช้ถ้อยคำสุภาพและต้องมี
(1) ชื่อและที่อยู่ของผู้ฟ้องคดี
(2) ชื่อหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องอันเป็นเหตุแห่งการฟ้องคดี
(3) การกระทำทั้งหลายที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดี พร้อมทั้งข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ตามสมควรเกี่ยวกับการกระทำดังกล่าว
(4) คำขอของผู้ฟ้องคดี
(5) ลายมือชื่อของผู้ฟ้องคดี ถ้าเป็นการยื่นฟ้องคดีแทนผู้อื่น จะต้องแนบใบมอบฉันทะให้ฟ้องคดีมาด้วย”
การทำคำฟ้องในคดีปกครองนั้นไม่มีแบบฟอร์มกำหนดไว้ตายตัว กฎหมายกำหนดไว้แต่เพียงว่าจะต้องจัดทำคำฟ้องเป็นหนังสือ ซึ่งจะเขียนด้วยลายมือหรือพิมพ์ก็ได้ แต่จะฟ้องคดีด้วยวาจาหรือฟ้องคดีทางโทรศัพท์ไม่ได้ ในการเขียนคำฟ้องนั้น ต้องใช้ถ้อยคำที่สุภาพ และในคำฟ้องจะต้องมีรายงานครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดไว้
2 ผู้ฟ้องคดีต้องเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีและมีความสามารถในการฟ้องคดี
(ก) ผู้มีสิทธิฟ้องคดี
หลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดให้ศาลปกครองใช้ในการพิจารณาในเรื่องนี้นั้น กำหนดไว้ในมาตรา 42 วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ใดได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้” ซึ่งจะเห็นได้ว่า หลักเกณฑ์ที่ศาลปกครองจะใช้ในการพิจารณากว้างกว่าการพิจารณาเฉพาะเรื่อง “สิทธิ” ของผู้นำคดีมาฟ้อง โดยต้องถือเกณฑ์เรื่อง “ประโยชน์เกี่ยวข้องหรือส่วนได้เสีย” เป็นหลักว่า เมื่อใดมีการกระทบกระเทือนต่อประโยชน์เกี่ยวข้องหรือส่วนได้เสีย ก็ฟ้องคดีได้และระดับของ “ประโยชน์เกี่ยวข้องหรือส่วนได้เสีย” นั้นก็ยืดหยุ่นตามลักษณะของคดีที่จะนำมาฟ้องต่อศาล
(ข) ความสามารถในการฟ้องคดี
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ มิได้มีบทบัญญัติเรื่องความสามารถในการฟ้องคดีไว้ให้ชัดเจน ที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นที่เข้าใจว่า กฎหมายประสงค์ที่จะให้เป็นไปตามหลักปกติที่มีการใช้กันอยู่คือ ความสามารถในการฟ้องคดีแพ่ง และต้องพิจารณากฎหมายที่กำหนดหลักเกณฑ์ในเรื่องนี้ไว้เป็นการเฉพาะแล้วสำหรับเรื่องทางปกครอง คือ มาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539
3 ผู้ฟ้องคดีต้องได้ดำเนินการขอรับการแก้ไขความเดือดร้อนต่อองค์กรของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายบริหารครบขั้นตอนตามที่กำหมายได้กำหนดไว้แล้ว จึงจะนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองได้
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ บัญญัติเงื่อนไขข้อนี้ไว้ในมาตรา 42 วรรคสอง ดังนี้
“ในกรณีที่มีกฎหมายกำหนดขั้นตอนหรือวิธีการสำหรับการแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหายในเรื่องใดไว้โดยเฉพาะ การฟ้องคดีปกครองในเรื่องนั้นจะกระทำได้ต่อเมื่อมีการดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีการดังกล่าว และได้มีการสั่งการตามกฎหมายนั้น หรือมิได้มีการสั่งการภายในเวลาอันสมควรหรือภายในเวลาที่กฎหมายนั้นกำหนด”
4 คำฟ้องต้องยื่นภายในกำหนดระยะเวลาการฟ้องคดี
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ บัญญัติเรื่องกำหนดเวลาในการฟ้องคดีปกครองไว้ในมาตรา 49 มาตรา 51 และมาตรา 52 ดังนี้
มาตรา 49 “การฟ้องคดีปกครองจะต้องยื่นฟ้องภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี หรือนับแต่วันที่พ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือร้องขอต่อหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดและไม่ได้รับหนังสือชี้แจงจากหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือได้รับแต่เป็นคำชี้แจงที่ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าไม่มีเหตุผลแล้วแต่กรณี เว้นแต่จะได้มีบทกฎหมายเฉพาะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น”
มาตรา 51 “การฟ้องคดีตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) หรือ (4) ให้ยื่นฟ้องภายในหนึ่งปี นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีแต่ไม่กินสิบปีนับแต่วันที่มีเหตุแห่งการฟ้องคดี”
มาตรา 52 “การฟ้องคดีปกครองที่เกี่ยวกับการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะหรือสถานะของบุคคลจะยื่นฟ้องคดีเมื่อใดก็ได้
การฟ้องคดีปกครองที่ยื่นเมื่อพ้นกำหนดเวลาการฟ้องคดีแล้ว ถ้าศาลปกครองเห็นว่าคดีที่ยื่นฟ้องนั้นจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมหรือมีเหตุจำเป็นอื่นโดยศาลเห็นเองหรือคู่กรณีมีคำขอ ศาลปกครองจะรับไว้พิจารณาก็ได้”
5 ผู้ฟ้องคดีต้องชำระค่าธรรมเนียมศาลให้ครบถ้วน ถ้าเป็นคดีที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ มาตรา 45 วรรคสี่ บัญญัติว่า
“การฟ้องคดีไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล เว้นแต่การฟ้องคดีขอให้สั่งให้ใช้เงินหรือส่งมอบทรัพย์สินอันสืบเนื่องจากคดีตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) หรือ (4) ให้เสียค่าธรรมเนียมศาลตามทุนทรัพย์ในอัตราตามที่ระบุไว้ในตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง สำหรับคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้” (คืออัตราร้อยละ 2.5 ของทุนทรัพย์ แต่ไม่เกินสองแสนบาท)
6 การฟ้องคดีต้องไม่เป็นการฟ้องซ้อน ฟ้องซ้ำ หรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ
ข้อ 36 วรรคหนึ่ง แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543 กำหนดว่า
“นับแต่เวลาที่ได้ยื่นต่อศาลแล้ว คดีนั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณา และผลแห่งคดีนี้
(1) ห้ามมิให้ผู้ฟ้องยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่นอีก”
ข้อ 97 แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543 กำหนดว่า
“คดีที่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีถึงที่สุดแล้ว ห้ามมิให้คู่กรณีเดียวกันฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน”
ข้อ 4 เทศบาลเมืองพัทลุงอาศัยอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด ได้กำหนดจุดสร้างสะพานลอยคนเดินข้ามถนนในเขตเทศบาลฯ และได้นำป้ายประกาศมาปักไว้หน้าโรงเรียนพัทลุง โดยแจ้งให้ทราบว่าเทศบาลได้กำหนดจุดก่อสร้างสะพานลอยคนเดินข้ามถนนหน้าโรงเรียนพัทลุง และจะทำการก่อสร้างสะพานลอยตรงจุดที่กำหนดนั้น เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากบริเวณนี้มีอุบัติเหตุรถชนนักเรียนหลายครั้งในเวลาเลิกเรียน นายสมยศเจ้าของร้านอาหาร “ยศเลิศรส” ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโรงเรียนดังกล่าวพิจารณาแล้วเห็นว่าตนได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากแนวบันไดขึ้นลงสะพานจะพาดผ่านและบดบังหน้าร้านของตน ทำให้การเข้าออกไม่สะดวกและแสงแดดไม่สามารถผ่านเข้ามาในร้านได้ตามปกติ นอกจากนั้นยังอาจทำให้ตนขาดรายได้จากการค้าขายเพราะจะทำให้ลูกค้ามารับประทานอาหารน้อยลง ดังนั้นนายสมยศจึงมาปรึกษาท่านเพื่อจะฟ้องเทศบาลพัทลุงเป็นคดีต่อศาลปกครอง ดังนี้ท่านจะให้คำปรึกษาแก่นายสมยศในกรณีนี้อย่างไร
ธงคำตอบ
พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ 2542
มาตรา 9 “ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้
(1) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คำสั่งหรือการกระทำอื่นใด เนื่องจากการกระทำโดยไม่มีอำนาจ หรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น หรือโดยไม่สุจริตหรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็น หรือสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร หรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ”
มาตรา 42 “ผู้ใดได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย จากการกระทำ หรือการงดเว้นการกระทำของหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้นั้นมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครอง”
มาตรา 72 “ในการพิพากษาคดี ศาลปกครองมีอำนาจกำหนดคำบังคับอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
(1) สั่งให้เพิกถอนกฎหรือคำสั่ง หรือสั่งห้ามกระทำทั้งหมด หรือบางส่วน ในกรณีที่มีการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 9 (1)”
วินิจฉัย
–การโต้แย้งการกำหนดจุดสร้างสะพานลอยของเทศบาลฯ ถือเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเป็นการกระทำอื่นใดโดยไม่สุจริตหรือมีลักษณะใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบตามมาตรา 9 วรรคแรก (1) (เทียบคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 144/2545)
–นายสมยศซึ่งเป็นผู้เดือดร้อนหรือเสียหาย ตามมาตรา 42 สามารถฟ้องเป็นคดีต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งห้ามกระทำทั้งหมดหรือบางส่วนตามมาตรา 72(1) ได้