การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2548
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน จำนวน 3 ข้อ
ข้อ 1 นางโสภีมีบุตร 3 คน นายหนึ่ง นายสองและนายสาม นางโสภี นายหนึ่งและนายสองร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องนายสามว่าโจทก์ทั้งสามได้รับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรม แต่เข้าครอบครองที่ดินมี น.ส.3 ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกไม่ได้ เพราะจำเลยขัดขวาง จึงขอเรียกทรัพย์มรดก โดยกล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ที่ 1 กึ่งหนึ่ง อีกกึ่งหนึ่งเป็นมรดกของสามีโจทก์ที่ 1 ซึ่งตกได้แก่โจทก์ทั้งสามและจำเลยในฐานะทายาทส่วนละเท่าๆกัน นายสามซึ่งตกเป็นจำเลยต่อสู่ว่าที่ดินพิพาทจำเลยเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวตามข้อตกลงของทายาทและจำเลยมีชื่อใน น.ส.3 จำเลยครอบครองโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมากกว่า 10 ปีแล้ว จึงได้สิทธิครอบครอง หากในวันสืบพยาน คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ยอมนำพยานของตนเข้าสืบอยากทราบว่าคดีนี้ฝ่ายใดเป็นฝ่ายแพ้คดี
ธงคำตอบ
มาตรา 1373 ถ้าทรัพย์สินเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดไว้ในทะเบียนที่ดิน ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง
วินิจฉัย
ในเรื่องหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์ในคดีที่คู่ความพาทกันว่าทรัพย์สินเป็นของคู่ความฝ่ายใด ถ้าทรัพย์สินเป็นอสังหาริมทรัพย์จำพวกที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์เป็นโฉนดที่ดิน หรือทะเบียนสิทธิครอบครองเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 หรือ น.ส.3 ก.) บุคคลผู้มีชื่อในทะเบียนย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานว่าเป็นสิทธิครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373 และโฉนดที่ดิน น.ส.3 หรือ น.ส.3 ก. ก็เป็นเอกสารมหาชนที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้น ซึ่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 127 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้และถูกต้อง กรณีเช่นนี้ จึงต้องเป็นหน้าที่ของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งที่ต้องมีภาระการพิสูจน์หักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายนั้น
แต่อย่างไรก็ตาม ในคดีมรดกซึ่งโจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์มรดกซึ่งอยู่ที่จำเลยนั้น แม้ว่าจำเลยจะเป็นผู้ครอบครองทรัพย์นั้นอยู่ก็มิใช่ว่าจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานเสมอไป หากจำเลยรับว่าเป็นทรัพย์ของผู้ตายจริง แต่ผู้ตายได้ทำพินัยกรรมยกให้ผู้อื่นไปแล้ว หรือว่าได้มีการแบ่งมรดกกันแล้ว กรณีเช่นนี้ ถือว่าเป็นกรณีที่จำเลยกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ ดังนี้ ภาระการพิสูจน์ย่อมตกแก่จำเลย (ฎ.122/2490, ฎ. 596/2534)
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า หากในวันสืบพยาน คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ยอมนำพยานของตนเข้าสืบ คู่ความฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายแพ้คดี เห็นว่าคดีนี้ แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ซึ่งเป็นที่ดินพิพาท และได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373 ว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองก็ตาม แต่การที่จำเลยให้การรับว่าที่พิพาทเป็นมรดก และกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ว่า จำเลยมีชื่อใน น.ส.3 แต่ผู้เดียวตามข้อตกลงของทายาท จำเลยครอบครองโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมากกว่า 10 ปีแล้ว จึงได้สิทธิครอบครอง จำเลยจึงยังต้องมีภาระการพิสูจน์ให้เห็นว่า จำเลยได้รับส่วนแบ่งในที่ดินพิพาทอันเกิดเป็นมรดกตามข้อตกลงของทายาทโดยชอบ และได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการได้มาซึ่งสิทธิครอบครองดังกล่าวได้ครอบครองเพื่อตนและสุจริตอันเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นมาใหม่อีกด้วย ดังนั้นจำเลยจึงมีหน้าที่นำสืบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84 วรรคแรก (ปัจจุบันคือ มาตรา 84/1) เช่นนี้ หากในวันสืบพยาน คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ยอมนำพยานของตนเข้าสืบ จำเลยจะเป็นฝ่ายแพ้คดีเพราะไม่นำพยานเข้าสืบตามหน้าที่(ฎ. 5132/2539)
สรุป หากในวันสืบพยานคู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ยอมนำพยานของตนเข้าสืบ จำเลยจะเป็นฝ่ายแพ้คดี
ข้อ 2 พยานไม่ไปศาลในวันสืบพยาน ศาลจะปฏิบัติอย่างไร
ธงคำตอบ
อธิบาย
โดยหลักแล้ว ในกรณีที่พยานคนใดคู่ความได้บอกกล่าวความจำนงจะอ้างอิงคำเบิกความของพยานโดยชอบ ไม่ไปศาลในวันกำหนดสืบพยาน ถ้าศาลเห็นว่าคำเบิกความของพยานที่ไม่มานั้น ไม่เป็นข้อสำคัญในการวินิจฉัยคดี ศาลก็ชอบที่จะดำเนินการพิจารณาคดีต่อไปและชี้ขาดตัดสินคดีได้โดยไม่ต้องสืบพยาน (ป.วิ.พ. มาตรา 110)
แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับพยานที่ไม่มาศาลมีความสำคัญในการวินิจฉัยชี้ขาดคดี ศาลก็สามารถที่จะใช้ดุลพินิจในการสืบพยานนั้นได้ กล่าวคือ
1 ถ้าศาลเห็นว่า ข้ออ้างของพยานที่ไม่มาศาลมีข้อแก้ตัวอันควร เช่น เจ็บป่วย หรือมีเหตุจำเป็นอย่างอื่นที่รับฟังได้ ศาลก็อาจจะเลื่อนการนั่งพิจารณาคดีไปเพื่อให้พยานมาศาล หรือเพื่อสืบพยานนั้น ณ สถานที่และเวลาอันควรแก่พฤติการณ์ก็ได้
2 ถ้าศาลเห็นว่า พยานได้รับหมายเรียกโดยชอบแล้ว จงใจไม่ไปยังศาลนั้น หรือได้รับคำสั่งศาลให้รอคอยอยู่แล้วจงใจหลบเสีย กรณีเช่นนี้ ศาลก็อาจจะเลื่อนการนั่งพิจารณาคดีไปและออกหมายจับและเอาตัวพยานกักขังไว้จนกว่าพยานจะได้เบิกความตามวันที่ศาลเห็นสมควรก็ได้ ทั้งนี้ การไม่ไปศาลของพยานก็ยังคงเป็นความผิดฐานขัดขืนหมายเรียกของศาลให้มาเบิกความอยู่เช่นเดิม (ป.วิ.พ. มาตรา 111)
ข้อ 3 คดีแพ่งเรื่องหนึ่ง โจทก์นำสืบแสดงสำเนาใบส่งของต่อศาล จำเลยไม่ได้โต้แย้งว่าโจทก์มิได้ส่งต้นฉบับเอกสารแต่อย่างใด ศาลได้วินิจฉัยรับฟังตามสำเนาเอกสารดังกล่าว จำเลยฎีกาว่าการที่ศาลล่างรับฟังสำเนาเอกสารของโจทก์นั้น เป็นการรับฟังพยานเอกสารที่มิชอบด้วยกฎหมาย เพราะโจทก์มิได้ขออนุญาตศาลก่อนเพื่อนำสำเนาเอกสารดังกล่าวมาสืบ ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 93 การอ้างเอกสารเป็นพยานหลักฐานให้ยอมรับฟังได้เฉพาะต้นฉบับเอกสารเท่านั้น เว้นแต่
(2) ถ้าต้นฉบับเอกสารนำมาไม่ได้ เพราะถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัย หรือสูญหาย หรือไม่สามารถนำมาได้โดยประการอื่น อันมิใช่เกิดจากพฤติการณ์ที่ผู้อ้างต้องรับผิดชอบ หรือเมื่อศาลเห็นว่าเป็นกรณีจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะต้องสืบสำเนาเอกสารหรือพยานบุคคลแทนต้นฉบับเอกสารที่นำมาไม่ได้นั้น ศาลจะอนุญาตให้นำสำเนาหรือพยานบุคคลมาสืบก็ได้
วินิจฉัย
ตามมาตรา 93(2) กำหนดว่า ถ้าต้นฉบับเอกสารนำมาไม่ได้ เพราะถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัย หรือสูญหาย หรือไม่สามารถนำมาได้โดยประการอื่น อันมิใช่เกิดจากพฤติการณ์ที่ผู้อ้างต้องรับผิดชอบ หรือเมื่อศาลเห็นว่าเป็นกรณีจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะต้องสืบสำเนาเอกสารหรือพยานบุคคลแทนต้นฉบับเอกสารที่นำมาไม่ได้นั้น ศาลจะอนุญาตให้นำสำเนาหรือพยานบุคคลมาสืบก็ได้ ถ้อยคำในตัวบทที่ว่า “ศาลจะอนุญาตให้นำสำเนาหรือพยานบุคคลมาสืบก็ได้” มีลักษณะทำนองว่าจะต้องขออนุญาตต่อศาล กล่าวคือ หากมีเหตุตาม ป.วิ.พ. มาตรา 93(2) แล้ว ศาลย่อมอนุญาตให้นำสืบสำเนาเอกสารหรือพยานบุคคลแทนได้เสมอ หรือหากศาลยอมให้สืบสำเนาเอกสารหรือพยานบุคคลแทนไปเลย ก็ถือได้ว่าอนุญาตโดยปริยาย ไม่จำต้องขออนุญาตต่อศาลก่อน
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า การที่ศาลล่างทั้งสองศาลรับฟังสำเนาเอกสารของโจทก์นั้น เป็นการรับฟังที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์นำสืบแสดงสำเนาใบส่งของต่อศาล และจำเลยมิได้โต้แย้งว่าโจทก์มิได้ส่งต้นฉบับเอกสาร เมื่อศาลล่างได้วินิจฉัยรับฟังตามสำเนาเอกสารดังกล่าว ก็ถือได้ว่าศาลได้อนุญาตให้นำสำเนาเอกสารมาสืบได้ในกรณีไม่สามารถนำต้นฉบับเอกสารมาได้โดยประการอื่นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 93(2) แล้ว โดยโจทก์ไม่จำต้องขออนุญาตศาลก่อน ฎีกาของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น (ฎ. 5841/2545)
สรุป การที่ศาลล่างทั้งสองศาลรับฟังสำเนาเอกสารของโจทก์นั้น เป็นการรับฟังที่ชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น