การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3011 กฎหมายลักษณะพยาน 

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  โจทก์ฟ้องว่า  วันเกิดเหตุ  จำเลยที่  1  เป็นลูกจ้างของจำเลยที่  2  และขับรถยนต์บรรทุกคันก่อเหตุไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่  2  จำเลยที่  2  เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวในเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง  จำเลยที่  1  ขับรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวด้วยความประมาทในขณะเมาสุราจนไม่สามารถบังคับรถยนต์ได้  เป็นเหตุให้รถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวพุ่งชนโจทก์ซึ่งเดินอยู่บนบาทวิถี  ได้รับอันตรายสาหัส  ขอให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินรวม  500,000  บาท  พร้อมดอกเบี้ย

จำเลยทั้งสองให้การว่า  จำเลยที่  2  ไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกตามฟ้อง  จำเลยที่  1  ไม่ได้ขับรถยนต์บรรทุกตามฟ้องด้วยความประมาท  ไม่ได้เมาสุราในขณะขับรถ  แต่จำเลยที่  1  หักพวงมาลัยรถยนต์โดยกะทันหันเพื่อหลบหลุมขนาดใหญ่กลางถนนเป็นเหตุให้รถยนต์บรรทุกเสียหลักแล่นขึ้นไปบนบาทวิถีและเฉี่ยวชนโจทก์  จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิด  คดีของโจทก์ขาดอายุความแล้วเพราะมิได้ฟ้องมาภายในกำหนดอายุความตามกฎหมาย  โจทก์ไม่ได้รับอันตรายสาหัสตามฟ้อง  ค่าเสีย

หายตามฟ้องสูงเกินความจริง  ขอให้ยกฟ้อง

ในวันชี้สองสถาน  ทนายความของจำเลยแถลงว่า  จากการตรวจสอบ  ปรากฏว่าในวันเกิดเหตุจำเลยที่  1  เป็นเพียงผู้มาสมัครงานเป็นผู้ขับรถยนต์ของจำเลยที่  2  และเหตุเกิดในขณะที่จำเลยที่  1  กำลังทดสอบการขับรถยนต์บรรทุก  จำเลยที่  2  จึงไม่ได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่  1  ขอให้ศาลกำหนดประเดนข้อพิพาทตามคำแถลงนี้ด้วย

ให้วินิจฉัยว่า  คดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทและภาระการพิสูจน์ประการใด  และถ้าไม่มีการสืบพยาน  คู่ความฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายแพ้คดี

ธงคำตอบ

มาตรา  84/1  คู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคำคู่ความของตนให้คู่ความฝ่ายนั้นมีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น  แต่ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายหรือมีข้อสันนิษฐานที่ควรจะเป็นซึ่งปรากฏจากสภาพปกติธรรมดาของเหตุการณ์เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด  คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว

มาตรา  177  วรรคสอง  ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า  จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน  รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น

มาตรา  437  วรรคแรก  บุคคลใดครอบครองหรือควบคุมดูแลยานพาหนะอย่างใดๆอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลบุคคลนั้นจะต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้น  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัย  หรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง

มาตรา  448  สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดนั้น  ท่านว่าขาดอายุความเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน  หรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่วันทำละเมิด

แต่ถ้าเรียกร้องค่าเสียหายในมูลอันเป็นความผิดมีโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา  และมีกำหนดอายุความทางอาญายาวกว่าที่กล่าวมานั้นไซร้  ท่านให้เอาอายุความที่ยาวกว่านั้นมาบังคับ

วินิจฉัย

ประเด็นข้อพิพาท  หมายถึง  ข้ออ้างข้อเถียงในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างในคำคู่ความ  และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ  ดังนั้นปัญหาข้อใดที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งรับแล้ว  ย่อมไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท

โจทก์ฟ้องเรียกให้จำเลยที่  1  รับผิดในฐานะที่เป็นผู้ควบคุมดูแลยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังจักรกลตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  437  วรรคแรก ซึ่งบัญญัติให้จำเลยที่  1  ต้องรับผิดเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้น  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดเพราะความผิดของโจทก์ผู้ต้องเสียหายนั้นเอง  แต่จำเลยที่  1  ไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดเพราะความผิดของโจทก์ผู้ต้องเสียหายนั้นเอง  ดังนั้น  จำเลยไม่มีประเด็นนำสืบเพื่อให้พ้นความรับผิด  จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามบทกฎหมายดังกล่าว  (เทียบ  ฎ. 762/2517)

ส่วนที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่  2  ร่วมรับผิดในฐานะที่เป็นนายจ้างของจำเลยที่  1  ซึ่งกระทำละเมิดต่อโจทก์ในทางการที่จ้างนั้น  จำเลยที่ 2  ไม่ได้ให้การปฏิเสธข้อเท็จจริงส่วนนี้ไว้ในคำให้การ  กรณีจึงถือว่าจำเลยที่  2  ให้การรับข้อเท็จจริงในส่วนนี้แล้ว  จึงฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติตามฟ้องได้  ในวันเกิดเหตุจำเลยที่  2  เป็นนายจ้างของจำเลยที่  1  ซึ่งขับรถยนต์บรรทุกตามฟ้องไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่  2 ดังนั้น  การที่ทนายความของจำเลยทั้งสองแถลงในวันชี้สองสถานปฏิเสธข้อเท็จจริงในส่วนนี้ไม่ทำให้ข้อเท็จจริงยุติแล้วกลับมาเป็นประเด็นข้อพิพาทได้อีก  เพราะประเด็นข้อพิพาทนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็แต่โดยคำฟ้องและคำให้การเท่านั้น  คำแถลงของคู่ความไม่อาจก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทขึ้นได้  ฎ. 862/2510)

คำให้การของจำเลยทั้งสองที่ปฏิเสธว่า  จำเลยที่  2  ไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกตามฟ้องนั้นไม่มีผลกระทบต่อผลคดี  จึงไม่เป็นประเด็นที่ต้องศาลวินิจฉัย  และไม่ต้องกำหนดเป็นประเด็นพิพาท

สำหรับคำให้การของจำเลยทั้งสองที่ว่า  คดีของโจทก์ขาดอายุความนั้น  เนื่องจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองโดยอาศัยมูลละเมิด  ที่จำเลยทั้งสองให้การว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความตามกฎหมายย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  448  จึงเป็นคำให้การที่แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธไว้โดยชัดแจ้งแล้วตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  177  วรรคสอง  ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาท

ดังนั้น  คดีตามอุทาหรณ์จึงมีประเด็นข้อพิพาทดังนี้

1       คดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่

2       โจทก์เสียหายตามฟ้องหรือไม่เพียงใด

สำหรับหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์นั้นตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84/1  ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า  ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด  ผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบ  ซึ่งแยกพิจารณาตามประเด็นได้ดังนี้

ประเด็นแรก  แม้จำเลยจะเป็นฝ่ายที่กล่าวอ้างประเด็นข้อนี้ขึ้นมา  แต่ศาลฎีกาวางบรรทัดฐานไว้ว่า  การที่โจทก์ฟ้องคดีนั้นสันนิษฐานว่าเป็นการฟ้องภายในกำหนดอายุความ  เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธ  โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบให้ปรากฏว่าคดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ  (ฎ. 3042/2548, ฎ. 4610/2547)

ประเด็นที่สอง  โจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริง  จำเลยให้การปฏิเสธข้อเท็จจริงตามฟ้องของโจทก์โดยไม่ได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่  ดังนั้น  ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่โจทก์

และหากคดีนี้ไม่มีการสืบพยาน  ฝ่ายโจทก์จะเป็นฝ่ายแพ้คดี  เพราะคดีนี้ภาระการพิสูจน์ตกอยู่แก่โจทก์  ซึ่งเป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่ามีการกระทำผิดตามฟ้องเกิดขึ้น

สรุป  คดีมีประเด็นข้อพิพาท  คือ

1       คดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่

2       โจทก์เสียหายตามฟ้องหรือไม่เพียงใด

และถ้าไม่มีการสืบพยาน  โจทก์จะเป็นฝ่ายแพ้คดี

 


ข้อ  2  นายตี๋ใหญ่ถูกจับในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนซึ่งมีโทษถึงประหารชีวิต  พนักงานสอบสวนแจ้งนายตี๋ใหญ่ให้ทราบถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำผิดและแจ้งข้อหาให้ทราบ  แต่ก่อนเริ่มถามคำให้การ  พนักงานสอบสวนไม่ได้ถามนายตี๋ใหญ่ว่ามีทนายความหรือไม่  และไม่ได้แจ้งสิทธิตามกฎหมายให้นายตี๋ใหญ่ทราบ  นายตี๋ใหญ่ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนโดยสมัครใจว่า  นายตี๋ใหญ่ได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจริง  ส่วนอาวุธปืนที่ใช้ยิงนำไปซ่อนไว้ที่ห้องเช่า พนักงานสอบสวนนำหมายค้นไปค้นห้องเช่าพบอาวุธปืนยึดเป็นของกลาง  ชั้นศาลนายตี๋ใหญ่ให้การรับสารภาพตามที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องในข้อหาดังกล่าว  ดังนี้  ศาลจะรับฟังบันทึกคำให้การรับสารภาพของนายตี๋ใหญ่ในชั้นสอบสวน  อาวุธปืนของกลาง  และนายตี๋เล็กที่พนักงานสอบสวนกันไว้เป็นพยานซึ่งโจทก์นำมาเบิกความยืนยันกระทำผิดของนายตี๋ใหญ่ในชั้นศาลเป็นพยานหลักฐานของโจทก์เพื่อพิสูจน์ว่านายตี๋ใหญ่กระทำผิดประกอบคำให้การรับสารภาพของนายตี๋ใหญ่ในชั้นศาลได้หรือไม่ 

ธงคำตอบ

มาตรา  137/1  วรรคแรก  ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต  หรือในคดีที่ผู้ต้องหามีอายุไม่เกินสิบแปดปีในวันที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา  ก่อนเริ่มถามคำให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความหรือไม่  ถ้าไม่มีให้รัฐจัดหาทนายความให้

มาตรา  134/4  วรรคแรกและวรรคท้าย  ในการถามคำให้การผู้ต้องหา  ให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบก่อนว่า

(1) ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้  ถ้าผู้ต้องหาให้การ  ถ้อยคำที่ผู้ต้องหาให้การนั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้

(2) ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้  ถ้อยคำใดๆที่ผู้ต้องหาให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนก่อนมีการแจ้งสิทธิตามวรรคหนึ่ง  หรือก่อนที่จะดำเนินการตามมาตรา  134/1  มาตรา  134/2  และมาตรา  134/3  จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้นั้นไม่ได้

มาตรา  226  พยานวัตถุ  พยานเอกสาร  หรือพยานบุคคลซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมิผิดหรือบริสุทธิ์  ให้อ้างเป็นพยานหลักฐานได้  แต่ต้องเป็นพยานชนิดที่มิได้เกิดขึ้นจากการจูงใจ  มีคำมั่นสัญญา  ขู่เข็ญ  หลอกลวงหรือโดยมิชอบประการอื่น  และให้สืบตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นอันว่าด้วยการสืบพยาน

มาตรา  226/1  ในกรณีที่ความปรากฏแก่ศาลว่า  พยานหลักฐานใดเป็นพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยชอบแต่ได้มาเนื่องจากกระทำโดยมิชอบ  หรือเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยอาศัยข้อมูลที่เกิดขึ้นหรือได้มาโดยมิชอบ  ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานนั้น  เว้นแต่การรับฟังพยานหลักฐานนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสียอันเกิดจากผลกระทบต่อมาตรฐานของระบบงานยุติธรรมทางอาญาหรือสิทธิเสรีภาพของประชาชน

ในการใช้ดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐานตามวรรคหนึ่ง  ให้ศาลพิจารณาถึงพฤติการณ์ทั้งปวงแห่งคดี  โดยต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆดังต่อไปนี้ด้วย

(1) คุณค่าในเชิงพิสูจน์  ความสำคัญ  และความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานนั้น

(2) พฤติการณ์และความร้ายแรงของความผิดในคดี

(3) ลักษณะและความเสียหายที่เกิดจากการกระทำโดยมิชอบ

(4) ผู้ที่กระทำการโดยมิชอบอันเป็นเหตุให้ได้พยานหลักฐานมานั้นได้รับการลงโทษหรือไม่เพียงใด

มาตรา  232  ห้ามมิให้โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยาน

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิตหรือในคดีที่ผู้ต้องหามีอายุไม่เกิน  18  ปี  ในวันที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาก่อนเริ่มถามคำให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความหรือไม่  ถ้าไม่มีให้รัฐจัดหาทนายความให้  (ป.วิ.อ.  มาตรา  134/1  วรรคแรก) และหากพนักงานสอบสวนไม่แจ้งสิทธิดังกล่าวข้างต้นถ้อยคำใดๆที่ผู้ต้องหาให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้นั้นไม่ได้  (ป.วิ.อ.  มาตรา  134/4  วรรคท้าย)

กรณีตามอุทาหรณ์  บันทึกคำให้การรับสารภาพของนายตี๋ใหญ่ในชั้นสอบสวนแม้นายตี๋ใหญ่จะให้การรับโดยสมัครใจ  แต่เมื่อนายตี๋ใหญ่ถูกจับในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน  ซึ่งมีโทษถึงประหารชีวิตและพนักงานสอบสวนไม่ได้สอบถามนายตี๋ใหญ่ก่อนว่ามีทนายความหรือไม่  กรณีจึงไม่ชอบด้วย  ป.วิ.อ.  มาตรา  134/1  วรรคแรก  และก็ไม่ชอบด้วย  ป.วิ.อ.  มาตรา  134/4  วรรคแรกด้วย  เพราะไม่มีการแจ้งสิทธิตามกฎหมายให้นายตี๋ใหญ่ผู้ต้องหาทราบก่อนถามคำให้การ  จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของนายตี๋ใหญ่ไม่ได้ตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  134/4  วรรคท้าย

สำหรับอาวุธปืนของกลางเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยอาศัยข้อมูลที่เกิดขึ้นโดยมิชอบ  คือคำให้การรับสารภาพของนายตี๋ใหญ่ที่รับฟังไม่ได้ตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  134/4  วรรคท้าย  กรณีเช่นนี้  โดยหลักแล้ว  ย่อมต้องห้ามมิให้รับฟัง  แต่เมื่อคำนึงถึงคุณค่าในเชิงพิสูจน์  ความสำคัญ  ความน่าเชื่อถืออาวุธปืนของกลางซึ่งเป็นวัตถุพยาน  ประกอบพฤติการณ์และความร้ายแรงของความผิดในคดีแล้ว  น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสีย  จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของนายตี๋ใหญ่ได้ตาม  ป.วิ.อ. มาตรา  226/1

ส่วนนายตี๋เล็กที่พนักงานสอบสวนกันไว้เป็นพยานไม่ได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับนายตี๋ใหญ่ด้วย  จึงไม่ต้องห้ามตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  232  โจทก์จึงอ้างเป็นพยานโจทก์ได้  และคำเบิกความของนายตี๋เล็กที่ยืนยันว่านายตี๋ใหญ่กระทำความผิดตามฟ้องก็น่าจะพิสูจน์ได้ว่านายตี๋ใหญ่มีความผิด  โดยไม่ปรากฏว่านายตี๋เล็กเป็นพยานที่เกิดขึ้นจากการจูงใจ  มีคำมั่นสัญญา  ขู่เข็ญ  หลอกลวงหรือโดยมิชอบประการอื่น  ศาลจึงรับฟังคำเบิกความของนายตี๋เล็กเป็นพยานหลักฐานของโจทก์เพื่อพิสูจน์ความผิดของนายตี๋ใหญ่ได้ตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  226  (ฎ. 534/2512)

สรุป  ศาลรับฟังบันทึกให้การรับสารภาพของนายตี๋ใหญ่ในชั้นสอบสวนไม่ได้  ศาลรับฟังอาวุธปืนของกลางได้  และศาลรับฟังนายตี๋เล็กได้  เพราะไม่ได้ถูกฟ้องเป็นจำเลย

 


ข้อ  3  โจทก์จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดิน  และได้ยื่นคำขอจดทะเบียนไว้ต่อเจ้าพนักงานที่ดิน  เจ้าพนักงานที่ดินประกาศการซื้อขายตามระเบียบเป็นเวลา  30  วัน  ครบกำหนดตามประกาศไม่มีผู้ใดคัดค้าน  จำเลยไม่ไปจดทะเบียนโอนขายให้โจทก์  โจทก์จึงฟ้องให้บังคับจำเลยโอนทางทะเบียนและส่งมอบการครอบครองที่ดินแก่โจทก์  ในวันสืบพยานจำเลย  จำเลยนำพยานบุคคลมาสืบว่าความจริงเป็นการทำสัญญากู้เงินกัน  ไม่ใช่สัญญาซื้อขายที่ดิน  ต้องบังคับตามสัญญากู้เงิน  ดังนี้  จำเลยสามารถนำพยานบุคคลมาสืบตามข้อเท็จจริงที่กล่าวอ้างได้หรือไม่  เพราะเหตุใด 

ธงคำตอบ

มาตรา  94  เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้  แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี

(ก)  ขอสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสาร  เมื่อไม่สามารถนำเอกสารมาแสดง

(ข)  ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่งว่า  เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่า  ยังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก

แต่ว่าบทบัญญัติแห่งมาตรานี้  มิให้ใช้บังคับในกรณีที่บัญญัติไว้ในอนุมาตรา  (2)  แห่งมาตรา  93  และมิให้ถือว่าเป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่า  พยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด  หรือแต่บางส่วน  หรือสัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์  หรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ย่อมต้องห้ามมิให้นำพยานบุคคลมาสืบแทนพยานเอกสาร  ในเมื่อไม่สามารถนำเอกสารมาแสดง  หรือขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่ง  เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่ายังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก  เว้นแต่กรณีอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ที่สามารถนำสืบพยานบุคคลหักล้างพยานเอกสารได้  คือ

1       กรณีต้นฉบับเอกสารสูญหาย  หรือถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัย  หรือไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่น

2       พยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอม

3       พยานเอกสารที่แสดงนั้นไม่ถูกต้องทั้งหมดหรือบางส่วน

4       สัญญาหรือหนี้ที่ระบุไว้ในเอกสารไม่สมบูรณ์

5       คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด

จำเลยสามารถนำพยานบุคคลมาสืบตามข้อเท็จจริงที่กล่าวอ้างได้หรือไม่  เห็นว่า  การที่จำเลยประสงค์จะนำสืบว่าความจริงเป็นการทำสัญญากู้เงินกัน  ไม่ใช่สัญญาซื้อขายที่ดิน  กรณีถือเป็นการกล่าวอ้างว่าสัญญาจะซื้อจะขายเป็นนิติกรรมอำพรางนิติกรรมการกู้ยืมเงินหากเป็นความจริงตามที่จำเลยอ้างสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งเกิดจากการแสดงเจตนาลวงย่อมตกเป็นโมฆะ  ต้องบังคับตามนิติกรรมการกู้ยืมเงินที่ถูกอำพรางไว้  ฉะนั้น  การที่จำเลยขอนำสืบว่าความจริงเป็นการทำสัญญากู้ยืมเงินกันจึงมิใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารตาม 

ป.วิ.พ.  มาตรา  94(ข)  หากแต่เป็นการนำสืบหักล้างว่าสัญญาซื้อขายที่ดินไม่ถูกต้องสมบูรณ์ทั้งหมด  จำเลยจึงนำสืบได้  ไม่ต้องห้ามตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94  วรรคท้าย  (ฎ. 2976/2548)

สรุป  จำเลยสามารถนำพยานบุคคลมาสืบตามข้อเท็จจริงที่กล่าวอ้างได้ 

Advertisement