การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2545
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน จำนวน 3 ข้อ
ข้อ 1 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้ยืมเงิน 50,000 บาท ปรากฏตามสำเนาสัญญากู้ ซึ่งแนบท้ายฟ้องแล้วไม่ยอมชำระคืน จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กู้ ชั้นพิจารณาโจทก์ยื่นบัญชีระบุพยาน แต่ไม่ได้ระบุต้นฉบับสัญญากู้ในบัญชีระบุพยาน ดังนี้ โจทก์จะนำสืบต้นฉบับสัญญากู้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 87 ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานใดเว้นแต่
(1) พยานหลักฐานนั้นเกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในคดีจะต้องนำสืบ และ
(2) คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานหลักฐานได้แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานนั้นดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 88 และ 90 แต่ถ้าศาลเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอนุมาตรานี้ ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้
วินิจฉัย
หลักการยื่นบัญชีระบุพยาน ถ้าคู่ความฝ่ายใดไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยาน ป.วิ.พ. มาตรา 88 รวมทั้งยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานแล้ว แต่ศาลไม่อนุญาต ย่อมมีผลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87(2) คือ ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานนั้น
โจทก์จะนำสืบต้นฉบับสัญญากู้ได้หรือไม่ เห็นว่า แม้ในขณะที่โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานโจทก์จะไม่ได้ระบุต้นฉบับสัญญากู้ในบัญชีระบุพยานก็ตาม แต่การที่โจทก์ได้แนบสำเนาสัญญากู้มาท้ายคำฟ้อง ถือว่าสำเนาเอกสารนั้นเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง อันแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์ว่าจำนงจะอ้างอิงพยานเอกสารนั้นสนับสนุนข้ออ้างในคำฟ้องของตนแล้วตาม ป.วิ.พ. มาตรา 88 ทั้งกรณีเช่นนี้จำเลยก็มีโอกาสได้เห็นสัญญากู้แล้วแต่แรก ดังนั้นโจทก์จึงไม่จำเป็นต้องระบุต้นฉบับสัญญากู้ในบัญชีระบุพยานอีก และกรณีไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ โจทก์สามารถนำสืบต้นฉบับสัญญากู้ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87(2) (ฎ. 901/2493)
สรุป โจทก์สามารถนำสืบต้นฉบับสัญญากู้ได้
ข้อ 2 เข็มทองฟ้องคดีการกู้ยืมเงิน 500,000 บาท จากปอฝ้าย ในคำฟ้องอ้างเอกสารสัญญากู้เงินเป็นหลักฐานและอ้างหลักฐานการกู้เงินเป็นจดหมายระหว่างเข็มทองและปอฝ้าย ซึ่งต้นฉบับเอกสารดังกล่าว ปอฝ้ายเป็นฝ่ายเก็บไว้ โดยที่เข็มทองมีแต่เพียงสำเนาทั้งสัญญากู้เงินและจดหมายโต้ตอบการกู้ยืมเงิน หลังจากยื่นบัญชีระบุพยานแล้ว เข็มทองได้ยื่นคำขอเป็นคำร้องขอให้ปอฝ้ายส่งต้นฉบับเอกสารทั้งหลักฐานการกู้ยืมเงินและจดหมายโต้ตอบการกู้ยืมเงิน แต่ปรากฏว่าปอฝ้ายยกเหตุว่า เข็มทองส่งสำเนาพยานเอกสารให้แก่ตน จึงไม่ขอส่งต้นฉบับเอกสารทั้งหมดให้แก่ศาล อยากทราบว่าข้ออ้างของปอฝ้ายรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบายพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน
ธงคำตอบ
มาตรา 90 วรรคแรก วรรคสามและวรรคห้า ให้คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงเอกสารเป็นพยานหลักฐานเพื่อสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อเถียงของตนตามมาตา 88 วรรคหนึ่ง ยื่นต่อศาลและส่งให้คู่ความฝ่ายอื่นซึ่งสำเนาเอกสารนั้นก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน
คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงพยานหลักฐานไม่ต้องยื่นสำเนาเอกสารต่อศาล และไม่ต้องส่งสำเนาเอกสารให้คู่ความฝ่ายอื่นในกรณีดังต่อไปนี้
(2) เมื่อคู่ความฝ่ายใดอ้างอิงเอกสารฉบับเดียวหรือหลายฉบับที่อยู่ในความครอบครองของคู่ความฝ่ายอื่นหรือของบุคคลภายนอก
กรณีตาม (2) ให้คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงเอกสารขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกเอกสารนั้นมาจากผู้ครอบครองตามมาตรา 123 โดยต้องยื่นคำร้องต่อศาลภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง แล้วแต่กรณี และให้คู่ความฝ่ายนั้นมีหน้าที่ติดตามเพื่อให้ได้เอกสารดังกล่าวมาภายในเวลาที่ศาลกำหนด
มาตรา 123 วรรคแรก ถ้าต้นฉบับเอกสารซึ่งคู่ความฝ่ายหนึ่งอ้างอิงเป็นพยานหลักฐานนั้นอยู่ในความครอบรองของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง คู่ความฝ่ายที่อ้างจะยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลขอให้สั่งคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งส่งต้นฉบับเอกสารแทนการที่ตนจะต้องส่งสำเนาเอกสารนั้นก็ได้ ถ้าศาลเห็นว่าเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานสำคัญ และคำร้องนั้นฟังได้ ให้ศาลมีคำสั่งให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งยื่นต้นฉบับเอกสารต่อศาลภายในเวลาอันสมควรแล้วแต่ศาลจะกำหนด ถ้าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมีต้นฉบับเอกสารอยู่ในครอบครองไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเช่นว่านั้นให้ถือว่าข้อเท็จจริงแห่งข้ออ้างที่ผู้ขอจะต้องนำสืบโดยเอกสารนั้น คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้ยอมรับแล้ว
วินิจฉัย
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 90 วรรคแรกดังกล่าว ได้กำหนดให้คู่ความที่ได้ระบุพยานเอกสารไว้ในยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกตาม ป.วิ.พ. มาตรา 88 วรรคแรก ต้องส่งสำเนาพยานเอกสารนั้นล่วงหน้าก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วัน ให้แก่ศาลและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ทั้งนี้ก็มีข้อยกเว้นไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 90 วรรคสามให้คู่ความไม่ต้องส่งสำเนาเอกสารล่วงหน้าดังกล่าวได้ หากปรากฏว่า (2) ต้นฉบับเอกสารอยู่ในความครอบครองของคู่ความฝ่ายอื่นหรือของบุคคลภายนอก เพราะโดยสภาพแล้ว สำเนาต้องทำจากต้นฉบับ แต่เมื่อคู่ความฝ่ายที่อ้างอิงเอกสารไม่มีต้นฉบับก็ไม่สามารถจัดการทำสำเนาส่งต่อศาลหรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้ กรณีจึงต้องปฏิบัติตาม
ป.วิ.พ. มาตรา 90 วรรคห้า ประกอบมาตรา 123 วรรคแรก คือ ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งยื่นต้นฉบับเอกสารต่อศาลแทนการที่ตนจะต้องส่งสำเนาเอกสารนั้นต่อไป
ข้ออ้างของปอฝ้ายรับฟังได้หรือไม่ เห็นว่าภายหลังจากที่เข็มทองได้ยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกตาม ป.วิ.พ. มาตรา 88 วรรคแรกแล้ว เข็มทองได้ยื่นคำขอเป็นคำร้องขอให้ปอฝ้ายส่งต้นฉบับเอกสารหลักฐานการกู้ยืมเงินและจดหมายโต้ตอบการกู้ยืมเงิน จึงเป็นกรณีที่ต้นฉบับเอกสารนั้นอยู่ในความครอบครองของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นข้อยกเว้นที่ไม่ต้องส่งสำเนาเอกสารนั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 90 วรรคสาม
และเมื่อได้ความว่า ปอฝ้ายไม่ยอมส่งต้นฉบับเอกสารให้แก่เข็มทองตามที่เข็มทองขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกเอกสารนั้นมาจากปอฝ้ายตาม ป.วิ.พ. มาตรา 90 วรรคห้า กรณีเช่นนี้ ต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่เข็มทองจะนำสืบโดยเอกสาร คือข้อความที่ปรากฏในหลักฐานการกู้ยืมเงินและจดหมายโต้ตอบการกู้ยืมเงินนั้น ปอฝ้ายได้ยอมรับว่ามีอยู่ตามฟ้องแล้วตาม ป.วิ.พ. มาตรา 123 วรรคแรก โดยไม่ต้องอาศัยพยานหลักฐานเลย ข้ออ้างของปอฝ้ายที่ว่าเข็มทองมิได้ส่งสำเนาพยานเอกสารให้จึงรับฟังไม่ได้ (เทียบ ฎ. 183 – 185/2597 ฎ. 2016/2517)
สรุป ข้ออ้างของปอฝ้ายรับฟังไม่ได้
ข้อ 3 ในคดีอาญา หากปรากฏว่าจำเลยได้ยอมรับว่ากระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องไว้จริง ศาลสามารถพิพากษาลงโทษจำเลยได้โดยมิต้องสืบพยานได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย พร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบ
ธงคำตอบ
อธิบาย
เนื่องจากในคดีอาญานั้น บุคคลทุกคนรวมทั้งผู้ต้องหาจะได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาว่าเป็นผู้กระทำความผิด ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของโจทกี่จะต้องนำสืบข้อเท็จจริงในคดี โดยนำพยานหลักฐานมาสืบต่อศาลว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรจนกว่าศาลจะพอใจว่าจำเลยกระทำผิดจริง จึงจะพิพากษาลงโทษจำเลยได้
แต่อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณา ศาลอาจลงโทษจำเลยโดยไม่จำต้องสืบพยานหลักฐานดังกล่าวก็ได้ ทั้งนี้ตามที่ ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคแรก บัญญัติไว้ กล่าวคือ
“ในชั้นพิจารณาถ้าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานต่อไปก็ได้ เว้นแต่ คดีที่มีข้อหาในความผิดที่จำเลยรับสารภาพนั้น กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไป หรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น ศาลจะต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยกระทำผิดจริง”
จากหลักกฎหมายดังกล่าว ทำให้เห็นว่าในคดีที่จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณาอาจแยกพิจารณาได้ 2 กรณี คือ
1 คดีที่จำเลยให้การรับสารภาพว่ากระทำผิดตามฟ้องไม่ได้กำหนดอัตราโทษจำคุกอย่างต่ำไว้ หรือมีกำหนดอัตราโทษจำคุกอย่างต่ำน้อยกว่า 5 ปี
ในคดีอาญาใดที่กฎหมายไม่ได้กำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ เช่น ความผิดฐานลักทรัพย์กำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 6,000 บาท จะเห็นว่ากฎหมายไม่ได้กำหนดโทษจำคุกขั้นต่ำไว้เลย เพียงแต่กำหนดขั้นสูงว่าไม่เกิน 3 ปี หรือในกรณีที่อัตราโทษอย่างต่ำน้อยกว่า 5 ปี เช่น ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ถึง 20 ปี ถือว่ามีอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป ถ้าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ มีผลเท่ากับว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องฟังเป็นยุติตามคำรับสารภาพของจำเลย ศาลสามารถนำไปวินิจฉัยตัดสินคดีได้ โดยโจทก์ไม่ต้องสืบพยาน แต่อย่างไรก็ตามแม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ แต่ถ้ามีเหตุอันควรสงสัยว่าจำเลยมิได้กระทำตามที่รับสารภาพศาลจะให้คู่ความสืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ มิใช่ต้องฟ้องตามคำรับสารภาพของจำเลยเสมอไป
2 คดีที่จำเลยให้การรับสารภาพว่ากระทำผิดตามฟ้องมีอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป หรือโทษสถานอื่นที่หนักกว่านั้น
สำหรับกรณีนี้หมายถึง ข้อหาในความผิดซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพนั้น กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำจำคุกตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป เช่น ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ถึง 20 ปี หรือโทษสถานอื่นที่หนักกว่านั้น เช่น ความผิดที่มีโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือโทษประหารชีวิตสถานเดียว แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ กฎหมายก็บังคับให้ศาลต้องฟังพยานหลักฐานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง จึงจะพิพากษาลงโทษจำเลยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคแรก
แต่อย่างไรก็ตามก็มิได้หมายความว่า หากจำเลยรับสารภาพแล้ว ศาลจะต้องพิพากษาลงโทษจำเลยเสมอไป เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดจริง หรือการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด หรือมีเหตุตามกฎหมายที่จำเลยไม่ควรต้องรับโทษ ศาลย่อมพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้