การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2550
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3011 กฎหมายลักษณะพยาน
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน จำนวน 3 ข้อ
ข้อ 1 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันก่อเหตุ ในวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยขับรถยนต์คันดังกล่าวด้วยความประมาทในขณะที่ร่างกายอ่อนเพลีย มีอาการหลับใน ไม่สามารถบังคับรถยนต์ได้ เป็นเหตุให้รถยนต์ที่จำเลยขับพุ่งเข้าชนโจทก์ซึ่งเดินอยู่บนบาทวิถี ได้รับอันตรายสาหัส ขดให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินรวม 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์ตามฟ้อง ในวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยไม่ได้ขับรถด้วยความประมาท ถนนบริเวณที่เกิดเหตุมีหลุมมีบ่อหลายแห่ง จำเลยขับรถยนต์ตามฟ้องมาพบหลุมขนาดใหญ่กลางถนนซึ่งสำนักงานเขตไม่ได้ติดตั้งสัญญาณเตือนภัยไว้ จำเลยต้องหักหลบหลุมดังกล่าวโดยกะทันหันเป็นเหตุให้รถยนต์ที่จำเลยขับเสียหลักขึ้นไปบนบาทวิถีและเฉี่ยวชนโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์เสียหายเป็นเงิน 500,000 บาท จริงหรือไม่ จำเลยไม่ทราบ ไม่รับรอง โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับ และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาขอให้ยกฟ้อง
ในวันชี้สองสถาน ทนายโจทก์และทนายจำเลย จำเลย แถลงร่วมกันว่า จำเลยเป็นเจ้าของรถยนต์คันก่อเหตุตามฟ้อง แต่ขณะเกิดเหตุ จำเลยไม่ได้เป็นผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าว
ให้วินิจฉัยว่า คดีนี้มีประเด็นแห่งคดีที่ฟังเป็นยุติและประเด็นข้อพิพาทประการใด และฝ่ายใดมีหน้าที่นำสืบ
ธงคำตอบ
มาตรา 84 วรรคแรก ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใดๆ เพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนให้หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง
มาตรา 177 วรรคสอง ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น
มาตรา 437 วรรคแรก บุคคลใดครอบครองหรือควบคุมดูแลยานพาหนะอย่างใดๆอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลบุคคลนั้นจะต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง
มาตรา 438 ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้น ให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
วินิจฉัย
ประเด็นแห่งคดี หมายถึง ข้ออ้างหรือข้อต่อสู้ระหว่างโจทก์หรือจำเลยหรือคู่ความฝ่ายอื่นๆ ซึ่งปรากฏในคำฟ้องหรือในคำให้การหรือคำคู่ความอื่นๆ (ถ้ามี)
กรณีตามอุทาหรณ์ โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะเป็นผู้ครอบครองหรือควบคุมดูแลยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลตาม ป.พ.พ. มาตรา 437 แม้จำเลยให้การต่อสู้คดี แต่ก็มีประเด็นแห่งคดีที่คู่ความฟังได้เป็นยุติ ดังนี้
1 ประเด็นตามฟ้องที่ว่า จำเลยเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันก่อเหตุหรือไม่ แม้จำเลยให้การปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์คันก่อเหตุตามฟ้อง แต่จำเลยก็ไม่ได้ให้เหตุแห่งการปฏิเสธ กรณีต้องถือว่าจำเลยยอมรับในประเด็นที่ว่า จำเลยครอบครองควบคุมดูแลรถยนต์ตามฟ้องในขณะเกิดเหตุ แม้ในวันชี้สองสถานทนายโจทก์และทนายจำเลยได้แถลงร่วมกันว่าขณะเกิดเหตุจำเลยไม่ได้เป็นผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าวก็ตาม แต่คำแถลงของคู่ความนี้ไม่ก่อให้เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท (ฎ. 862/2510) คดีจึงฟังเป็นยุติตามคำให้การที่ถือว่ารับของจำเลย ส่วนปัญหาที่ว่าจำเลยเป็นเจ้าของรถยนต์ตามฟ้องหรือไม่ แม้จำเลยให้การปฏิเสธก็ไม่มีผลกระทบต่อผลแพ้ชนะของคดี จึงไม่เป็นประเด็นที่ศาลต้องวินิจฉัย
2 ประเด็นตามฟ้องที่ว่า จำเลยต้องรับผิดในการเสียหายที่เกิดขึ้นหรือไม่ ในกรณีดังกล่าวจำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธว่า โจทก์ไม่ได้เสียหายจากรถยนต์ที่จำเลยขับ กรณีต้องถือว่าจำเลยยอมรับว่าโจทก์ได้รับการเสียหายจากรถยนต์ซึ่งเป็นยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลที่จำเลยเป็นผู้ครอบครองควบคุมดูแล โจทก์จึงได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 437 วรรคแรก จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์เพื่อการเสียหายนี้ เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเพราะความผิดของโจทก์ผู้เสียหายนั้นเอง แต่เมื่อจำเลยไม่ได้ให้การยกเหตุสุดวิสัยหรือเหตุเกิดเพราะความผิดของโจทก์ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวเป็นข้อต่อสู้ ดังนั้น จึงไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบได้ คดีจึงฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยต้องรับผิดในการเสียหายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์ (เทียบ ฎ. 762/2517)
3 ประเด็นที่จำเลยต่อสู้ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ในกรณีดังกล่าวจำเลยให้การเพียงยกถ้อยคำตามกฎหมายมาอ้างโดยไม่ได้บรรยายว่าฟ้องโจทก์ไม่ชัดแจ้งอย่างไร กรณีจึงถือว่าคำให้การของจำเลยแสดงเหตุการณ์ปฏิเสธไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง ดังนั้น จึงไม่มีประเด็นให้ศาลวินิจฉัย คดีจึงฟังได้เป็นยุติว่า คดีของโจทก์ไม่เคลือบคลุม (ฎ .913/2509, ฎ. 48/2536)
ดังนั้น คดีจึงมีประเด็นแห่งคดีที่ฟังเป็นยุติ ดังนี้
1 จำเลยเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันเกิดเหตุ
2 จำเลยต้องรับผิดในทางเสียหายที่เกิดขึ้น
3 ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
สำหรับประเด็นข้อพิพาท มีดังนี้
1 โจทก์เสียหายเพียงใด
2 โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยสำหรับค่าเสียหายในอัตราร้อยละสิบห้ามต่อปีหรือไม่
ส่วนหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์นั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84 วรรคแรก ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด ผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบ ซึ่งแยกพิจารณาตามประเด็นได้ดังนี้
1 ประเด็นข้อพิพาทที่ว่า โจทก์เสียหายเพียงใดนั้น ในกรณีดังกล่าวแม้จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์เสียหายเป็นเงิน 500,000 บาท จริงหรือไม่ จำเลยไม่ทราบไม่รับรอง กรณีก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยยอมรับว่าโจทก์เสียหายเป็นเงิน 500,000 บาท กรณีเช่นนี้ โจทก์ยังคงมีหน้าที่ต้องนำสืบให้ได้ความตามจำนวนค่าเสียหายที่ฟ้องมา แต่หากโจทก์ไม่นำสืบหรือนำสืบไม่ได้ตามฟ้อง ศาลก็มีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ได้เองตามสมควร โดยพิจารณาจากพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 438 วรรคแรก
2 ประเด็นข้อพิพาทที่ว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีหรือไม่นั้น ประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวถือว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลวินิจฉัยได้เอง คู่ความไม่ต้องนำสืบ
สรุป
คดีจึงมีประเด็นแห่งคดีที่ฟังเป็นยุติ ดังนี้
1 จำเลยเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันเกิดเหตุ
2 จำเลยต้องรับผิดในทางเสียหายที่เกิดขึ้น
3 ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม
คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทและหน้าที่นำสืบ ดังนี้
1 โจทก์เสียหายเพียงใด โจทก์มีหน้าที่นำสืบ
2 โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายคู่ความไม่ต้องนำสืบ ศาลวินิจฉัยได้เอง
ข้อ 2 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2550 นายจูมงชาวเกาหลีใต้ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่าถูกคนทำร้ายชิงเอาทรัพย์ไป นายแดงเห็นเหตุการณ์คนร้ายคือนายดำ แต่นายจูมงจะต้องเดินทางกลับประเทศของตนโดยด่วน พนักงานสอบสวนจึงเสนอเรื่องต่อพนักงานอัยการให้ร้องขอต่อศาลขอสืบนายจูมงเป็นพยานไว้ก่อน โดยยังจับนายดำไม่ได้ ดังนี้ พนักงานอัยการจะยื่นคำร้องขอสืบนายจูมงไว้ก่อนฟ้องได้หรือไม่ และถ้าจับนายดำมาฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลแล้ว นายแดงถูกทำร้ายอาจถึงแก่ความตายได้ก่อนวันนัดสืบพยานโจทก์ พนักงานอัยการโจทก์จะขอสืบนายแดงไว้ล่วงหน้าก่อนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ได้หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 173/2 วรรคสอง
ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม เมื่อศาลเห็นสมควรหรือคู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดร้องขอ ศาลจะมีคำสั่งให้สืบพยานหลักฐานที่เกี่ยวกับประเด็นสำคัญในคดีไว้ล่วงหน้าก่อนถึงวันกำหนดนัดสืบพยานก็ได้
มาตรา 237 ทวิ วรรคแรก ก่อนฟ้องคดีต่อศาลเมื่อมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าพยานบุคคลจะเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หรือเป็นบุคคลมีถิ่นที่อยู่ห่างไกลจากศาลที่พิจารณาคดี หรือมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะมีการยุ่งเหยิงกับพยานนั้นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม หรือมีเหตุจำเป็นอื่นอันเป็นการยากแก่การนำพยานนั้นมาสืบในภายหน้า พนักงานอัยการโดยตนเองได้รับคำร้องขอจากผู้เสียหายหรือเจ้าพนักงานสอบสวน จะยื่นคำร้องโดยระบุการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าผู้ต้องหาได้กระทำผิดต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้สืบพยานนั้นไว้ทันทีก็ได้ ถ้ารู้ตัวผู้กระทำความผิด และผู้นั้นถูกควบคุมอยู่ในอำนาจพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ ให้พนักงานอัยการนำตัวผู้นั้นมาศาล หากถูกควบคุมอยู่ในอำนาจของศาล ให้ศาลเบิกตัวผู้นั้นมาพิจารณาต่อไป
วินิจฉัย
นายจูมงเป็นผู้เสียหายจากการกระทำของนายดำผู้ต้องหาในความผิดฐานชิงทรัพย์ กรณีนี้จึงถือว่านายจูมงเป็นพยานสำคัญในคดี เมื่อได้ความว่าก่อนฟ้องคดีต่อศาลมีเหตุที่นายจูมงพยานบุคคลจะเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร โดยนายจูมงเป็นบุคคลมีถิ่นที่อยู่ห่างไกลจากศาลที่พิจารณาคดีทั้งมีเหตุจำเป็นอื่นอันเป็นการยากแก่การนำพยานนั้นมาสืบในภายหน้า ดังนั้น เมื่อพนักงานสอบสวนเสนอคำร้องต่อพนักงานอัยการ พนักงานอัยการจึงสามารถยื่นคำร้องขอต่อศาลขอสืบนายจูมงไว้ก่อนฟ้องได้ โดยระบุการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่านายดำผู้ต้องหาได้กระทำผิดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 237 ทวิ วรรคแรก ทั้งนี้ แม้จะยังจับตัวนายดำผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดไม่ได้ก็ตาม (ฎ. 2980/2547)
ส่วนกรณีนายแดงซึ่งเป็นพยานที่เห็นเหตุการณ์ (ประจักษ์พยาน) พนักงานอัยการโจทก์จะขอสืบนายแดงไว้ล่วงหน้าก่อนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ได้หรือไม่นั้น เห็นว่า หากนายแดงถึงแก่ความตายโดยไม่มีการสืบพยานไว้ก่อนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อผลของคดีได้ เพราะนายแดงประจักษ์พยานซึ่งถือว่าเป็นพยานที่สำคัญกรณีจึงถือว่ามีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ที่ต้องมีการสืบนายแดงซึ่งเป็นพยานอันเกี่ยวกับประเด็นสำคัญในคดีไว้ล่วงหน้าก่อนถึงกำหนดวันนัดสืบพยาน ดังนั้น พนักงานอัยการโจทก์จึงสามารถขอสืบนายแดงพยานไว้ล่วงหน้าก่อนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 173/2 วรรคสอง
สรุป พนักงานอัยการจึงสามารถยื่นคำร้องขอต่อศาลขอสืบนายจูมงไว้ก่อนฟ้องได้ และสามารถขอสืบนายแดงพยานไว้ล่วงหน้าก่อนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ได้เช่นกัน
ข้อ 3 โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยตามหนังสือสัญญากู้เงินจำนวน 80,000 บาท จำเลยให้การว่าไม่ได้กู้เป็นเรื่องการเล่นแชร์กัน แล้วนำสืบนายแดงเป็นพยานว่าจำเลยเล่นแชร์กับโจทก์และจำเลยประมูลแชร์ได้ โจทก์ซึ่งเป็นนายวงแชร์ให้จำเลยทำสัญญากู้เงินเพื่อเป็นประกันว่าจำเลยจะส่งชำระค่าแชร์ในงวดที่เหลือต่อไปและต่อมาการเล่นแชร์สิ้นสุดลงโดยจำเลยส่งชำระค่าแชร์ให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว ซึ่งเป็นการนำสืบตามที่จำเลยให้การต่อสู่ ดังนี้ การนำสืบพยานของจำเลยดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 94 เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี
(ก) ขอสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสาร เมื่อไม่สามารถนำเอกสารมาแสดง
(ข) ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่งว่า เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่า ยังมีข้อความเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก
แต่ว่าบทบัญญัติแห่งมาตรานี้ มิให้ใช้บังคับในกรณีที่บัญญัติไว้ในอนุมาตรา (2) แห่งมาตรา 93 และมิให้ถือว่าเป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่า พยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด หรือแต่บางส่วน หรือสัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์ หรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ย่อมต้องห้ามมิให้นำพยานบุคคลมาสืบแทนพยานเอกสาร ในเมื่อไม่สามารถนำเอกสารมาแสดง หรือขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่ายังมีข้อความเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก เว้นแต่กรณีอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ที่สามารถนำสืบพยานบุคคลหักล้างพยานเอกสารได้ คือ
1 กรณีต้นฉบับเอกสารสูญหาย หรือถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัย หรือไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่น
2 พยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอม
3 พยานเอกสารที่แสดงนั้นไม่ถูกต้องทั้งหมดหรือบางส่วน
4 สัญญาหรือหนี้ที่ระบุไว้ในเอกสารไม่สมบูรณ์
5 คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด
การนำสืบพยานของจำเลยดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยนำสืบนายแดงเป็นพยานตามคำให้การต่อสู้ว่า ไม่ได้กู้เป็นเรื่องการเล่นแชร์กันซึ่งจำเลยเล่นแชร์กับโจทก์และจำเลยประมูลแชร์ได้ โจทก์ซึ่งเป็นนายวงแชร์ให้จำเลยทำสัญญากู้เงินเพื่อเป็นประกันว่าจำเลยจะส่งชำระค่าแชร์ในงวดที่เหลือต่อไป และต่อมาการเล่นแชร์สิ้นสุดลงโดยจำเลยส่งชำระค่าแชร์ให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว การนำสืบพยานจำเลยดังกล่าวเป็นการสืบถึงมูลเหตุที่มาของการทำสัญญากู้ เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าสัญญากู้เงินตามฟ้องไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยจะต้องรับผิดใช้เงินแก่โจทก์ เพราะจำเลยส่งชำระค่าแชร์ให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว เท่ากับเป็นการนำสืบว่าสัญญาหรือหนี้ที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 วรรคท้าย จำเลยจึงมีสิทธินำพยานบุคคลเข้าสืบได้ หาใช่เป็นการนำสืบถึงการชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคสอง อันจะต้องห้ามมิให้นำสืบพยานบุคคลไม่ (ฎ. 5292/2548)
สรุป การนำสืบพยานของจำเลยดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย