การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2546
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน จำนวน 3 ข้อ
ข้อ 1 คดีแพ่งโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไปจำนวน 1,000,000 บาท ครบกำหนดชำระหนี้คืนแล้ว โจทก์ทวงถามแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินกู้ยืมจำนวน 1,000,000 บาทแก่โจทก์ จำเลยให้การว่าได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ตามฟ้องจริง แต่เลยได้ชำระหนี้คืนโจทก์แล้วเป็นเงิน 500,000 บาท จำเลยยังคงค้างชำระเงินโจทก์เพียง 500,000 บาทเท่านั้น
ระหว่างการสืบพยานโจทก์ โจทก์ได้เบิกความตอบทนายโจทก์ว่าจำเลยยังไม่เคยชำระหนี้เงินยืมให้แก่โจทก์เลย จำเลยจึงนำจดหมายของโจทก์ที่เขียนถึงจำเลย โดยมีข้อความว่า “ตามที่จำเลยส่งเช็คสั่งจ่ายเงินจำนวน 500,000 บาท มาชำระหนี้ให้นั้นโจทก์ได้รับไว้แล้ว” มาถามโจทก์ว่าเป็นจดหมายของโจทก์หรือไม่ โจทก์รับว่าเป็นจดหมายที่โจทก์เขียนไปถึงจำเลยจริง แต่โจทก์ไม่ได้รับเงินเนื่องจากเช็คถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน และจำเลยไม่มีสิทธิอ้างจดหมายดังกล่าวเป็นพยานเนื่องจากจำเลยไม่ได้อ้างไว้ในบัญชีระบุพยาน หากข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์อ้าง ให้วินิจฉัยว่าศาลจะรับฟังจดหมายดังกล่าวเป็นพยานจำเลยได้หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 87 ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานใดเว้นแต่
(2) คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานหลักฐานได้แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานนั้นดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 88 และ 90 แต่ถ้าศาลเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอนุมาตรานี้ ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้
วินิจฉัย
หลักการยื่นบัญชีระบุพยาน ถ้าคู่ความฝ่ายใดไม่ยื่นบัญชีระบุพยานรวมทั้งยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานแล้ว แต่ศาลไม่อนุญาต กรณีย่อมมีผลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87(2) คือ ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานนั้น
หากข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามโจทก์อ้างศาลจะรับฟังจดหมายดังกล่าวเป็นพยานจำเลยได้หรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยนำจดหมายของโจทก์มาซักค้านโจทก์ในคดีนี้ถือเป็นการพิสูจน์ต่อพยานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 120 ถ้าโจทก์ยอมรับความถูกต้องแท้จริงของเอกสาร ข้อเท็จจริงตามเอกสารนั้นย่อมยุติ ศาลย่อมรับฟังเอกสารนั้นเป็นพยานได้โดยไม่จำต้องระบุไว้ในบัญชีระบุพยานกรณีถือเป็นข้อยกเว้นของการยื่นบัญชีระบุพยาน
แต่เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้ แม้โจทก์จะยอมรับว่าจดหมายที่จำเลยนำมาซักค้านเป็นจดหมายของโจทก์ก็ตาม แต่โจทก์ก็ปฏิเสธว่าเช็คถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน ข้อเท็จจริงที่จำเลยต้องการพิสูจน์ว่าโจทก์ได้รับเงิน 500,000 บาท ไปแล้วจึงยังไม่ยุติ เมื่อจำเลยมิได้ระบุจดหมายดังกล่าวไว้ในบัญชีระบุพยาน จำเลยจึงไม่มีสิทธิอ้างเป็นพยานได้ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87(2) ข้ออ้างของโจทก์ฟังขึ้น
สรุป ศาลไม่อาจรับฟังจดหมายเป็นพยานจำเลยได้
ข้อ 2 โจทก์ฟ้องว่าเมื่อระหว่างปี 2542 – 2545 โจทก์และจำเลยได้อยู่กินฉันสามีภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน และได้ร่วมกันซื้อที่ดิน 1 แปลง เนื้อที่ 1 ไร่ โดยได้จดทะเบียนกรรมสิทธิ์เป็นชื่อของจำเลยเพียงผู้เดียว ตามสำเนาโฉนดที่ดินท้ายฟ้อง เมื่อปลายปี 2545 โจทก์กับจำเลยตกลงแยกทางกัน โจทก์ขอให้จำเลยจดทะเบียนให้โจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินครึ่งหนึ่งแต่จำเลยไม่ยินยอม ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนให้โจทก์มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินดังกล่าว จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า เงินที่ซื้อที่ดินแปลงพิพาทเป็นเงินส่วนตัวของจำเลยเพียงผู้เดียว โจทก์ไม่ได้ร่วมออกเงินด้วย ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการสืบพยาน โจทก์อ้างว่าตนเองเป็นพยานเบิกความว่า เงินที่นำมาซื้อที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นเงินที่ได้มาจากการที่โจทก์และจำเลยร่วมกันทำธุรกิจ แต่ได้จดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นชื่อจำเลยเพียงผู้เดียวก่อน จำเลยแถลงโต้แย้งว่าศาลจะรับฟังคำเบิกความดังกล่าวของโจทก์ไม่ได้ เนื่องจากเป็นการสืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในโฉนดที่ดินพิพาท ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ให้วินิจฉัยว่าข้ออ้างของจำเลยฟังขึ้นหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 94 เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี
(ข) ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่งว่า เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่า ยังมีข้อความเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก
มาตรา 1373 ถ้าทรัพย์สินเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดไว้ในทะเบียนที่ดิน ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง
วินิจฉัย
ในกรณีที่ห้ามมิให้นำสืบพยานบุคคลแก้ไขเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสารนั้นตาม
ป.วิ.พ. มาตรา 94 บัญญัติมิให้รับฟังพยานบุคคลเฉพาะที่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงเท่านั้น ส่วนในกรณีที่ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง กรณีเช่นนี้ คู่สัญญาก็อาจนำพยานบุคคลมาสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงพยานเอกสารได้ ไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 แต่ประการใด
ข้อพิพาทในคดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินพิพาทกับจำเลยโดยมีกรรมสิทธิ์คนละครึ่ง จะเห็นได้ว่า ข้อพิพาทดังกล่าวจึงมิใช่กรณีที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสาร กล่าวคือ ไม่ใช่กรณีที่กฎหมายบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือ หรือทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญแต่ประการใด
ดังนั้น ระหว่างการสืบพยาน การที่โจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่าเงินที่นำมาซื้อที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นเงินที่ได้มาจากการที่โจทก์และจำเลยร่วมกันทำธุรกิจ แต่ได้จดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นชื่อจำเลยเพียงผู้เดียวก่อน เป็นกรณีโจทก์อ้างว่ามีส่วนเป็นเจ้าของรวมในที่ดิน กรณีเช่นนี้ โจทก์จึงมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบสนับสนุนข้ออ้างของตนได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 (ฎ. 12/2538)
ส่วนการที่จำเลยมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาท ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของกฎหมาย ว่าจำเลยมีกรรมสิทธิ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373 เท่านั้น แต่ก็มิใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาด โจทก์จึงมีสิทธิที่จะอ้างตนเองเป็นพยานเพื่อนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวได้ ไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94(ข) เพราะมิใช่การนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในโฉนดที่ดิน (ฎ. 800/2510)
สรุป ข้ออ้างของจำเลยฟังไม่ขึ้น โจทก์มีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบสนับสนุนข้ออ้างของตนได้
ข้อ 3 โจทก์ฟ้องเรียกให้จำเลยชำระราคาสินค้าที่จำเลยซื้อไปจากโจทก์หลายครั้งแล้วยังไม่ชำระ จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ชำระราคาเพราะสินค้าที่โจทก์ส่งมอบไม่มีคุณภาพ จำเลยนำไปใช้แล้วเกิดความเสียหาย ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา และคดีของโจทก์ขาดอายุความแล้วเพราะมิได้ฟ้องคดีภายในกำหนด 2 ปี นับแต่วันส่งมอบ ขอให้ยกฟ้อง
เช่นนี้ คดีมีประเด็นพิพาทและหน้าที่นำสืบประการใด และถ้าคู่ความต่างแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ศาลจะตัดสินให้ฝ่ายใดเป็นฝ่ายชนะคดี
ธงคำตอบ
มาตรา 84 วรรคแรก ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใดๆ เพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนให้หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง
วินิจฉัย
ประเด็นข้อพิพาท หมายถึง ข้ออ้างข้อเถียงในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างในคำคู่ความ และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ ดังนั้นปัญหาข้อใดที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งรับแล้ว ย่อมไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากคำฟ้องและคำให้การของโจทก์จำเลยแล้ว ประเด็นข้อพิพาทจึงมีดังนี้
1 จำเลยต้องชำระราคาตามฟ้องหรือไม่
2 คดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่
ส่วนที่จำเลยให้การว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมนั้น จำเลยให้การเพียงแต่ยกถ้อยคำตามกฎหมายอ้างโดยไม่ได้บรรยายฟ้องว่าฟ้องอขงโจทก์ไม่ชัดแจ้งอย่างไร คำให้การของจำเลยจึงแสดงเหตุแห่งการปฏิเสธไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง ดังนั้น จึงไม่มีประเด็นให้ศาลวินิจฉัย คดีจึงฟังได้เป็นยุติว่า คดีของโจทก์ไม่เคลือบคลุม (ฎ. 913/2509 ฎ. 48/2536)
สำหรับหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์นั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84 วรรคแรก (ปัจจุบันคือมาตรา 84/1) ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด ผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบ ซึ่งแยกพิจารณาตามประเด็นได้ดังนี้
ประเด็นแรก ที่ว่า จำเลยต้องชำระราคาตามฟ้องหรือไม่ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยซื้อสินค้าไปจากโจทก์แล้วไม่ชำระ จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้ซื้อสินค้าไจปากโจทก์ตามฟ้อง ถือว่าจำเลยให้การรับว่าจำเลยได้ซื้อสินค้าไปจากโจทก์ตามฟ้อง แต่กล่าวข้อเท็จจริงขึ้นใหม่เรื่องสินค้าไม่มีคุณภาพขึ้นปฏิเสธ ความรับผิดเพื่อไม่ต้องชำระราคาสินค้า ดังนั้น จำเลยจึงมีหน้าที่นำสืบในประเด็นข้อนี้ (ฎ. 1719/2549)
ประเด็นที่สอง ที่ว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ แม้จำเลยจะเป็นฝ่ายกล่าวอ้างประเด็นข้อนี้ขึ้นมา แต่ศาลฎีกาก็ได้วางบรรทัดฐานไว้ว่า การที่โจทก์ฟ้องนั้นสันนิษฐานว่าเป็นการฟ้องภายในกำหนดอายุความ เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธ โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบให้ปรากฏว่าคดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ (ฎ. 3042/2548 ฎ. 4610/2547)
คดีนี้ ถ้าคู่ความต่างแถลงไม่ติดใจสืบพยาน โจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบในประเด็นข้อที่สอง ต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีในประเด็นข้อนี้ เพราะถือว่าคดีขาดอายุความแล้ว และเมื่อโจทก์เป็นฝ่ายฟ้องคดีโจทก์ย่อมแพ้คดีทั้งสำนวน ส่วนจำเลยแม้ไม่ได้สืบพยานตามที่มีหน้าที่นำสืบในประเด็นแรก ก็ยังเป็นฝ่ายชนะคดีได้
สรุป ประเด็นข้อพิพาท มีดังนี้
1 จำเลยต้องชำระราคาตามฟ้องหรือไม่ หน้าที่นำสืบข้อนี้ตกแก่จำเลย
2 คดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ หน้าที่นำสืบข้อนี้ตกแก่โจทก์
และถ้าคู่ความต่างแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ศาลจะตัดสินให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี