การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2545
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน จำนวน 3 ข้อ
ข้อ 1 ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง โจทก์กับจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันให้จำเลยผ่อนชำระหนี้เดือนละ 100,000 บาท เป็นเวลา 2 ปี ศาลพิพากษาตามยอม ต่อมาโจทก์มาขอออกหมายบังคับคดีอ้างว่า จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความถูกต้องมาโดยตลอด ศาลจึงนัดไต่สวนคำร้องของจำเลย ในชั้นไต่สวนจำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยาน แต่จะขออ้างตัวจำเลยเองเป็นพยาน โจทก์คัดค้านว่า จำเลยไม่มีสิทธิอ้างตนเป็นพยาน ให้วินิจฉัยว่า จำเลยจะมีสิทธินำสืบตัวเองเป็นพยานหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 88 วรรคแรก เมื่อคู่ความฝ่ายใดมีความจำนงที่จะอ้างอิงเอกสารฉบับใดหรือคำเบิกความของพยานคนใด หรือมีความจำนงที่จะให้ศาลตรวจบุคคล วัตถุ สถานที่ หรืออ้างความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ศาลตั้ง เพื่อเป็นพยานหลักฐานสนับสนุนข้ออ้าง หรือข้อเถียงของตน ให้คู่ความฝ่ายนั้นยื่นต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าเจ็ดวันซึ่งบัญชีระบุพยานโดยแสดงหรือสภาพของเอกสารที่จะอ้าง และรายชื่อที่อยู่ของบุคคล วัตถุ หรือสถานที่ซึ่งคู่ความฝ่ายนั้นระบุอ้างเป็นพยาน หรือขอให้ศาลไปตรวจ หรือขอให้ตั้งผู้เชี่ยวชาญแล้วแต่กรณี พร้อมทั้งสำเนาบัญชีระบุพยานดังกล่าวในจำนวนที่เพียงพอ เพื่อให้คู่ความฝ่ายอื่นมารับไปจากเจ้าพนักงานศาล
วินิจฉัย
สำหรับบทบัญญัติเรื่องการยื่นบัญชีระบุพยานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 88 ดังกล่าวนั้น ใช้บังคับเฉพาะการสืบพยานหลักฐานเพื่อสนับสนุนข้ออ้างข้อเถียงในประเด็นแห่งคดีตามคำฟ้องคำให้การเท่านั้น ไม่ใช้บังคับกับการไต่สวนคำร้องคำขอเพื่อสนับสนุนข้ออ้างในคำร้องคำขอที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี (ฎ. 4276/2532) นอกจากนี้ ในการไต่สวนคำร้องคำขอก็ไม่มีวันนัดสืบพยาน มีแต่วันไต่สวนซึ่งไม่ใช่วันสืบพยาน ดังนั้น โดยสภาพจึงเห็นได้ว่าในการไต่สวนคำร้องคำขอปลีกย่อยจึงไม่อยู่ในบังคับตาม ป.วิ.พ. มาตรา 88 ถึงแม้ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้ก็นำพยานหลักฐานเข้าสืบในชั้นไต่สวนคำร้องคำขอได้ (ฎ. 3341/2529)
จำเลยจะมีสิทธินำสืบตัวเองเป็นพยานได้หรือไม่ เห็นว่า การไต่สวนคำร้องของจำเลยที่อ้างว่าได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอมแล้วนั้น เป็นการไต่สวนเพื่อให้ทราบว่าจำเลยปฏิบัติผิดข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้ต่อศาลหรือไม่ ไม่ใช่เป็นการสืบพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้ออ้างหรือข้อเถียงในประเด็นแห่งคดีที่พิพาทกันตาม ป.วิ.พ. มาตรา 88 วรรคแรก (ฎ. 421/2532) ดังนั้น จำเลยจึงมีสิทธินำสืบตัวเองเป็นพยานได้ โดยไม่ต้องยื่นบัญชีระบุพยาน
สรุป จำเลยจึงมีสิทธินำสืบตัวเองเป็นพยานได้
ข้อ 2 คดีแพ่งเรื่องหนึ่ง โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเบี้ยประกันภัยที่ค้างชำระเป็นเงิน 7,000,000 บาท จำเลยยื่นคำให้การว่า โจทก์ตกลงทำสัญญาประกันภัยโดยตกลงลดเบี้ยประกันภัยให้แก่จำเลยในอัตราร้อยละ 70 ของเบี้ยประกันภัยทั้งหมดเป็นเงิน 7,000,000 บาท จำเลยได้ชำระเบี้ยประกันภัยไปอัตราร้อยละ 30 ของเบี้ยประกันภัยทั้งหมดเป็นเงิน 3,000,000 บาท และโจทก์ได้มอบกรมธรรม์ประกันภัยให้จำเลยแล้ว ถือว่าจำเลยชำระเบี้ยประกันภัยครบถ้วน ตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ.2535 มาตรา 7 แล้ว จำเลยจึงไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ขอให้ยกฟ้องโจทก์ ศาลกำหนดให้โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน เมื่อโจทก์นำนายซื่อสัตย์เข้าเบิกความถึงเรื่องที่จำเลยค้างชำระเบี้ยประกันภัยเป็นเงิน 7,000,000 บาท เสร็จแล้วจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายที่นำสืบหลังได้นำจดหมายที่โจทก์เขียนถึงจำเลยซึ่งมีข้อความตอนหนึ่งว่า “โจทก์ตกลงลดเบี้ยประกันภัยให้แก่จำเลยในอัตราร้อยละ 70 ของเบี้ยประกันภัยทั้งหมด คิดเป็นเงิน 7,000,000 บาท และท้ายจดหมายดังกล่าวได้ลงลายมือชื่อโจทก์ไว้ มานำสืบตามที่จำเลยให้การไว้ แต่ขณะที่จำเลยนำสิบถึงจดหมายดังกล่าว โจทก์โต้แย้งว่า “ขณะที่โจทก์นำนายซื่อสัตย์เข้าเบิกความ จำเลยไม่ได้ซักค้านพยานโจทก์ไว้ถึงข้อเท็จจริงที่ว่า โจทก์ตกลงลดเบี้ยประกันภัยให้อัตราร้อยละ 70 ของเบี้ยประกันภัยทั้งหมด ถือว่าเป็นการจู่โจมทางพยานหลักฐานและอาเปรียบโจทก์ ศาลจะรับฟังมาวินิจฉัยเป็นผลร้ายแก่โจทก์มิได้ ต้องห้ามมิให้รับฟังตามกฎหมายลักษณะพยาน”
ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่าข้อโต้แย้งของโจทก์รับฟังได้หรือไม่ อย่างไร
ธงคำตอบ
มาตรา 89 ถ้าคู่ความฝ่ายใดอันมีหน้าที่นำพยานมาสืบภายหลัง ประสงค์จะสืบพยานของตน (ก) เพื่อหักล้าง หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขถ้อยคำพยานของฝ่ายที่นำสืบก่อนในข้อความทั้งหลายซึ่งพยานเช่นว่านั้นเป็นผู้รู้เห็น หรือ (ข) เพื่อพิสูจน์ข้อความอย่างใดอย่างหนึ่งอันเกี่ยวด้วยการกระทำ หรือถ้อยคำ หรือหนังสือซึ่งพยานเช่นว่านั้นได้กระทำขึ้น แม้ถึงว่าพยานเช่นว่านั้นจะมิได้เบิกความถึงข้อเหล่านี้ก็ดี ให้คู่ความฝ่ายที่ต้องนำพยานมาสืบภายหลัง ถามค้านพยานเช่นว่านั้นเสียในเวลาที่พยานเบิกความ เพื่อให้พยานมีโอกาสอธิบายถึงข้อความเหล่านั้น
ถ้าคู่ความฝ่ายใดมิได้ถามค้านพยานของคู่ความฝ่ายที่นำสืบก่อนดังกล่าวมาข้างต้นแล้ว ต่อมานำพยานมาสืบถึงข้อความดังกล่าวข้างต้น คู่ความฝ่ายที่สืบพยานก่อนชอบที่จะคัดค้านได้ และในกรณีเช่นว่านี้ ให้ศาลปฏิเสธไม่ยอมรับฟังคำพยานเช่นว่ามานั้น
แต่ถ้าคู่ความฝ่ายที่นำมาสืบภายหลัง แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลว่าเมื่อเวลาพยานเบิกความนั้นตนไม่รู้ หรือไม่มีเหตุอันควรรู้ถึงข้อความดังกล่าวมาแล้ว หรือถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นต้องสืบพยานเช่นว่านี้ ศาลจะยอมรับฟังคำพยานเช่นว่านี้ก็ได้ แต่ในกรณีเช่นนี้ คู่ความที่ได้นำพยานสืบก่อนจะเรียกพยานที่เกี่ยวข้องมาสืบอีกก็ได้ หรือเมื่อศาลเห็นสมควรจะเรียกมาสืบเองก็ได้
วินิจฉัย
ในกรณีคู่ความซึ่งมีหน้าที่นำพยานมาสืบภายหลังต้องถามค้านพยานของคู่ความฝ่ายที่นำสืบก่อนในเวลาที่พยานเบิกความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 89 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่คู่ความฝ่ายที่มีหน้าที่นำสืบภายหลังประสงค์จะสืบพยานของตนเพื่อหักล้าง หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำพยานฝ่ายที่นำสืบก่อนในข้อความทั้งหลาย ซึ่งพยานของฝ่ายนำสืบก่อนเป็นผู้รู้เห็นด้วย หรือเพื่อพิสูจน์ข้อความอย่างใดอย่างหนึ่งอันเกี่ยวด้วยการกระทำ หรือถ้อยคำหรือหนังสือซึ่งพยานเช่นว่านั้นได้กระทำขึ้นโดยเฉพาะ กฎหมายจึงบัญญัติให้ผู้นำสืบพยานภายหลังถามค้านไว้ก่อน เพื่อให้พยานผู้นั้นอธิบายข้อความที่ตนรู้เห็นในข้อที่ฝ่ายหลังนั้นนำสืบไว้เสียก่อน เพื่อป้องกันมิให้ฝ่ายหลังเอาเปรียบโดยนำสืบหักล้างมิให้ฝ่ายแรกรู้ตัว ไม่มีโอกาสเสนอพยานหลักฐานครบถ้วนเป็นการเสียความยุติธรรม
แต่อย่างไรก็ตามถ้าจำเลยยกข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การแล้ว จำเลยก็มีสิทธินำสืบตามประเด็นที่ให้การได้โดยไม่ต้องถามค้านพยานโจทก์ตามมาตรา 89 ไว้อีก ทั้งนี้เพราะวัตถุประสงค์ของการถามค้านพยานตามมาตรา 89 ก็เพื่อไม่ให้คู่ความฝ่ายที่นำสืบพยานภายหลังจู่โจมในทางพยานหลักฐานโดยที่ฝ่ายแรกไม่รู้ตัว เป็นการเอาเปรียบกันในเชิงคดี แต่การที่จำเลยยกข้อต่อสู้ในประเด็นใดไว้ในคำให้การแล้ว โจทก์ย่อมรู้ล่วงหน้าแล้วว่าจำเลยจะสืบพยานในเรื่องใด ไม่เป็นการเอาเปรียบกัน จำเลยจึงไม่จำต้องถามค้านไว้แต่อย่างใด (ฎ. 3892/2540 ฎ. 2099/2514)
ข้อโต้แย้งของโจทก์รับฟังได้หรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคดีนี้รับฟังได้ว่า จำเลนนำจดหมายมาสืบหักล้างพยานโจทก์โดยไม่ได้ถามค้านพยานโจทก์ไว้ ไม่ใช่เป็นการจู่โจมทางพยานหลักฐานหรือเอาเปรียบโจทก์ เพราะเป็นการที่จำเลยนำสืบหักล้างพยานโจทก์โดยตรงไปตามคำให้การของจำเลยแล้วว่า โจทก์ได้ตกลงลดเบี้ยประกันภัยให้แก่จำเลยอัตราร้อยละ 70 ของเบี้ยประกันภัยทั้งหมด คิดเป็นเงิน 7,000,000 บาท โจทก์ไม่เสียเปรียบ กรณีไม่ต้องด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 89 วรรคสอง ศาลรับฟังพยานเช่นว่านั้น ข้อโต้แย้งของโจทก์จึงรับฟังไม่ได้ (ฎ. 1201/2541)
สรุป ข้อโต้แย้งของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ข้อ 3 โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายนิติเป็นผู้มีอำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์ เมื่อปี 2533 โจทก์ได้มอบที่ดินพิพาทให้จำเลยครอบครองทำประโยชน์ต่างดอกเบี้ยเงินกู้ซึ่งโจทก์ได้กู้ยืมไปจากจำเลย ต่อมาเมื่อปี 2544 โจทก์ได้ชำระเงินกู้คืนให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นแล้ว และทวงถามให้จำเลยส่งมอบที่ดินพิพาทคืน แต่จำเลยปฏิเสธ ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์
จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยไม่เคยรู้จักนายนิติมาก่อน จึงไม่ขอรับรองการมอบอำนาจของโจทก์ จำเลยไม่ได้ครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อทำประโยชน์ต่างดอกเบี้ย แต่จำเลยได้ซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์และได้ชำระเงินค่าที่ดินครบถ้วนแล้วโจทก์จึงมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทขอให้ยกฟ้อง
ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า คดีมีประเด็นข้อพิพาทและหน้าที่นำสืบอย่างไร
ธงคำตอบ
มาตรา 84 วรรคแรก ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใดๆ เพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนให้หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง
มาตรา 177 วรรคสอง ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น
วินิจฉัย
ประเด็นข้อพิพาท หมายถึง ข้ออ้างข้อเถียงในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างในคำคู่ความ และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ ดังนั้นปัญหาข้อใดที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งรับแล้ว ย่อมไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท
ดังนี้ ประเด็นข้อพิพาทตามอุทาหรณ์จึงมีเพียงว่า จำเลยต้องส่งมอบที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์หรือไม่ (หากตอบว่าประเด็นข้อพิพาทมีว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อทำประโยชน์ต่างดอกเบี้ยตามฟ้องหรือไม่ หรือจำเลยได้ซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์หรือไม่ ก็อนุโลมว่าถูกต้องพอใช้ได้)
ส่วนการที่จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยรู้จักนายนิติมาก่อน จึงไม่ขอรับรองการมอบอำนาจของโจทก์นั้น เป็นคำให้การที่ปฏิเสธไม่ชัดแจ้งและมิได้อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง จึงไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาท ข้อเท็จจริงจึงรับฟังยุติว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายนิติเป็นผู้ฟ้องคดีแทนโจทก์จริง(ฎ. 2307/2533)
สำหรับหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์นั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84 วรรคแรก (ปัจจุบันคือ มาตรา 84/1) ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใดผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบ ซึ่งตามข้อเท็จจริงดังกล่าวโจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าส่งมอบที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยครอบครองทำประโยชน์ต่างดอกเบี้ย การที่จำเลยให้การปฏิเสธชัดแจ้งโดยยกข้อต่อสู้ว่าโจทก์ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยแล้ว เท่ากับจำเลยให้การปฏิเสธข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทในฐานะทำกินต่างดอกเบี้ย แต่จำเลยครอบครองอย่างเป็นเจ้าของเนื่องจากได้ซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์แล้ว ดังนั้นประเด็นที่ว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทต่างดอกเบี้ยหรือไม่ จึงยังคงมีอยู่ เพราะยังไม่ถือว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงแล้ว เมื่อโจทก์กล่าวอ้าง จำเลยปฏิเสธโจทก์มีหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนข้ออ้างตามคำฟ้องของโจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84 วรรคแรก (ปัจจุบันคือมาตรา 84/1)
ส่วนที่จำเลยอ้างว่าจำเลยได้ซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์และได้ชำระราคาครบถ้วนแล้ว เป็นเพียงการให้เหตุผลประกอบการปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ตามฟ้องเท่านั้น มิใช่เป็นข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นต่อสู้หรือกล่าวอ้างขึ้นใหม่ โจทก์จึงยังมีหน้าที่นำสืบอยู่ (ฎ. 5400/2537)
สรุป คดีมีประเด็นข้อพิพาท คือ จำเลยต้องส่งมอบที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์หรือไม่ และหน้าที่นำสืบตามประเด็นข้อพิพาทตกแก่โจทก์