การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  โจทก์ฟ้องว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของโจทก์  โจทก์ขอรังวัดตรวจสอบแนวเขต  แต่จำเลยคัดค้าน  โจทก์ได้รับความเสียหาย  ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และห้ามจำเลยคัดค้านการรังวัดสอบเขต  จำเลยให้การว่า  โจทก์นำรังวัดไม่ถูกต้อง ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยเนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามโฉนดที่ดิน  เลขที่  5555  ซึ่งจำเลยซื้อมาจากพี่สาวของจำเลยตั้งแต่ปี  2540  และในปีเดียวกันนั้นเอง  จำเลยได้ให้น้องสาวปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินซึ่งส่วนหนึ่งเป็นที่ดินพิพาท  อย่างไรก็ดี  หากฟังว่าที่ดินพิพาทอยู่ในโฉนดที่ดินของโจทก์  จำเลยก็ได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลานานกว่า  10  ปี  จนจำเลยได้กรรมสิทธ์โดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว  ขอให้ยกฟ้อง  ให้วินิจฉัยว่า

(1) คดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทและภาระการพิสูจน์ประการใด  กับคู่ความฝ่ายใดควรมีหน้าที่นำสืบก่อน

(2) ถ้าในวันชี้สองสถาน  โจทก์และจำเลยแถลงร่วมกันต่อศาลชั้นต้นขอให้สั่งเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดทำแผนที่พิพาทโดยให้รังวัดตามหลักวิชาการ  หากผลการทำรังวัดปรากฏว่าบ้านของน้องสาวจำเลยปลูกอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์  จำเลยยอมแพ้  หากปลูกอยู่นอกเขตที่ดินของโจทก์  โจทก์ยอมแพ้  ต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินได้ทำการรังวัดทำแผนที่พิพาทด้วยวิธีการส่องกล้องถูกต้องตามหลักวิชาการแล้ว  มีความเห็นว่า  ที่ดินพิพาทน่าจะอยู่ในแนวเขตที่ดินของโจทก์แต่จำเลยอ้างว่า  การที่เจ้าพนักงานที่ดินให้ความเห็นว่า  น่าจะ  นั้นไม่เป็นไปตามคำท้า  ขอให้ศาลสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป  ดังนี้  ข้ออ้างของจำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  84  การวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในคดีใดจะต้องกระทำโดยอาศัยพยานหลักฐานในสำนวนคดีนั้น  เว้นแต่

(3) ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับหรือถือว่ารับกันแล้วในศาล

มาตรา  84/1  คู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคำคู่ความของตนให้คู่ความฝ่ายนั้นมีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น  แต่ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายหรือมีข้อสันนิษฐานที่ควรจะเป็นซึ่งปรากฏจากสภาพปกติธรรมดาของเหตุการณ์เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด  คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว

มาตรา  183  ข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างแต่คู่ความฝ่ายอื่นไม่รับและเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับประเด็นข้อพิพาทตามคำคู่ความให้ศาลกำหนดไว้เป็นประเด็นพิพาท  และกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดนำพยานหลักฐานมาสืบในประเด็นก่อนหรือหลังก็ได้

วินิจฉัย

(1) ประเด็นข้อพิพาท  หมายถึง  ข้ออ้างข้อเถียงในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างในคำคู่ความ  และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ  ดังนั้นปัญหาข้อใดที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งรับแล้ว  ย่อมไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท

กรณีตามอุทาหรณ์  คดีมีประเด็นข้อพิพาทอย่างไรนั้น  เห็นว่า  เมื่อโจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท  จำเลยให้การตอนแรกว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยซื้อมาจากพี่สาวของจำเลยตั้งแต่ปี  2540  ถือเป็นคำให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งพร้อมด้วยเหตุแห่งการปฏิเสธตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  177  วรรคสอง  คดีจึงมีประเด็นพิพาทที่ว่าที่ดินเป็นของโจทก์หรือไม่

ส่วนข้อที่จำเลยให้การในตอนท้ายว่า  หากฟังได้ว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์จำเลยที่  1  ก็ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์แล้วนั้น  เป็นคำให้การขัดแย้งกับคำให้การตอนแรก  ซึ่งอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยเพราะซื้อมา  จึงไม่มีประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1382  เพราะการครอบครองปรปักษ์จะมีได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น  (ฎ. 5473/2548)

นอกจากนี้ข้อที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ได้รับความเสียหายนั้น  เนื่องจากโจทก์ไม่ได้มีคำขอให้จำเลยชำระค่าเสียหายมาด้วย  จึงไม่มีประเด็นที่ศาลต้องวินิจฉัย  ไม่ต้องกำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาท

สำหรับภาระการพิสูจน์หรือหน้าที่นำสืบนั้นตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84/1  ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า  ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใดเพื่อสนับสนุนคำคู่ความของตน  ผู้นั้นมีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น  ดังนั้นเมื่อโจทก์กล่าวอ้างข้อเท็จจริงว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์  และจำเลยให้การปฏิเสธ  ภาระการพิสูจน์ย่อมตกแก่โจทก์ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว

อนึ่งหน้าที่นำสืบก่อนนั้น  เป็นหน้าที่ของคู่ความในการนำเสนอพยานหลักฐานตามลำดับก่อนหลังซึ่งเป็นกระบวนการหรือขั้นตอนการนำข้อเท็จจริงเข้าสู่สำนวนคดีของศาลเพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการดำเนินกระบวนพิจารณาตามมาตรา  183  บัญญัติให้ศาลกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดนำพยานหลักฐานมาสืบในประเด็นข้อพิพาทข้อใดก่อนหรือหลังก็ได้  กรณีตามอุทาหรณ์  เมื่อโจทก์มีภาระการพิสูจน์  ศาลก็สมควรสั่งให้โจทก์นำพยานหลักฐานเข้าสืบก่อนแล้วห้ำเลยสืบแก้

(2) คำท้า  คือ  การที่คู่ความแถลงว่าจะรับในข้อเท็จจริงอย่างใดอย่างหนึ่งถ้าอีกฝ่ายหนึ่งจะยอมดำเนินกระบวนการพิจารณาเพียงเท่าที่ท้ากันนั้นได้  ถ้าไม่ได้  อีกฝ่ายหนึ่งก็จะยอมรับข้อเท็จจริงตามที่ฝ่ายนั้นกล่าวอ้าง  กรณีนี้  เมื่อโจทก์และจำเลยตกลงท้ากันให้ถือเอาผลการรังวัดสอบเขตที่ดินพิพาทตามหลักวิชาการเป็นข้อชี้ขาดปัญหา  เมื่อเจ้าพนักงานที่ดินได้ดำเนินการรังวัดทำแผนที่พิพาทโดยถูกต้องตามหลักวิชาการแล้ว  ละให้ความเห็นว่า  ที่ดินพิพาทน่าจะอยู่ในแนวเขตที่ดินของโจทก์  ย่อมถือได้ว่าผลของการรังวัดสอบเขตสมความประสงค์ของคู่ความและตรงตามคำท้าของโจทก์และจำเลยที่ตกลงกันแล้วตามมาตรา  84(3)  การที่เจ้าพนักงานที่ดินให้ความเห็นว่า  น่าจะ  นั้น  เป็นเพราะความเห็นที่ให้นั้นเกิดจากข้อเท็จจริงที่พบเห็นจากพยานหลักฐานในขณะกำลังทำการรังวัด  หาใช่เป็นการไม่ยืนยันมั่นคงแต่อย่างใดไม่  จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า  ข้ออ้างของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย  จึงฟังไม่ขึ้น  (ฎ. 4476/2544, ฎ.5992/2545)

สรุป

(1) ประเด็นข้อพิพาทมีว่า  ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่  และภาระการพิสูจน์เป็นของโจทก์  ดังนั้นโจทก์จึงควรมีหน้าที่นำสืบก่อน

(2) ข้ออ้างของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ฟังไม่ขึ้น

 


ข้อ  2  คดีมีประเด็นข้อพิพาทว่า  จำเลยกู้เงินโจทก์ตามฟ้องหรือไม่  ชั้นพิจารณาโจทก์นำสืบมีตัวโจทก์  ทนายโจทก์  และผู้เขียนสัญญากู้เป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า  จำเลยกู้เงินโจทก์โดยลงชื่อในช่องผู้กู้เงินในสัญญากู้ที่อ้างส่งเป็นพยาน  ส่วนจำเลยนำสืบโดยอ้างว่าส่งรายงานความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ทำการตรวจพิสูจน์ลายเซ็นของจำเลยในช่องผู้กู้ในสัญญากู้เป็นพยาน  ซึ่งผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่า  ลายเซ็นของจำเลยในช่องผู้กู้ในสัญญากู้ไม่ใช่ลายเซ็นของจำเลย  แลละมาเบิกความประกอบความเห็นดังกล่าว  กับข้อเท็จจริงฟังได้อีกว่า  ลายเซ็นของจำเลยในใบรับหมายเรียกมีลักษณะการเขียนและขนาดของตัวหนังสือคล้ายคลึงกันกับลายเซ็นของจำเลยในช่องผู้กู้ในสัญญากู้ 

ให้วินิจฉัยว่า  พยานหลักฐานของฝ่ายใดมีน้ำหนักดีกว่ากัน

ธงคำตอบ

มาตรา  104  วรรคแรก  ให้ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบมานั้นจะเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอ  ให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่  แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้น

มาตรา  130  วรรคแรก  ผู้เชี่ยวชาญที่ศาลแต่งตั้งอาจแสดงความเห็นด้วยวาจาหรือเป็นหนังสือก็ได้  แล้วแต่ศาลจะต้องการ  ถ้าศาลยังไม่เป็นที่พอใจในความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ทำเป็นหนังสือนั้น  หรือเมื่อคู่ความฝ่ายใดเรียกร้องโดยทำเป็นคำร้อง  ให้ศาลเรียกให้ผู้เชี่ยวชาญทำความเห็นเพิ่มเติมเป็นหนังสือหรือเรียกให้มาศาลเพื่ออธิบายด้วยวาจา  หรือให้ตั้งผู้เชี่ยวชาญคนอื่นอีก

วินิจฉัย

ในการรับฟังพยานความเห็นนั้น  โดยหลักแล้วตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  95  ห้ามมิให้รับฟังพยานบุคคลใด  เว้นแต่บุคคลนั้นเป็นผู้ได้เห็น  ได้ยิน  หรือได้ทราบข้อความในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นด้วยตนเอง  ดังนั้นจึงห้ามมิให้รับฟังถ้อยคำของพยานในลักษณะที่เป็นความเห็นหรือการคาดคะเน  เว้นแต่

1       ให้อำนาจศาลในการรับฟัง  หรือปฏิเสธพยานหลักฐานใด  (มาตรา  86)

2       ให้อำนาจศาลในการรับฟังความเห็นของพยานผู้เชี่ยวชาญ  (มาตรา  99,  130  วรรคแรก)

สำหรับในเรื่องการชั่งน้ำหนักความเห็นของพยานผู้เชี่ยวชาญนั้น  ศาลมีอำนาจเต็มที่ในการที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบนั้นจะเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่  แล้วพิพากษาไปตามนั้นตามมาตรา  104  วรรคแรก  แม้รายงานความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจะเป็นพยานที่ศาลรับฟังได้ก็จริง  แต่มิใช่ว่าผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นอย่างไรแล้ว  ศาลต้องรับฟังและเชื่อได้เป็นยุติในการวินิจฉัยคดีเสมอไป  เพราะความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเป็นเพียงพยานหลักฐานชิ้นหนึ่งในการที่ศาลจะใช้ดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักประกอบกับพยานหลักฐานอื่นในการวินิจฉัยชี้ขาดคดีเท่านั้น  เว้นแต่ในกรณีที่คู่ความท้ากันให้เอาความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเป็นยุติ  เช่นนี้ถือว่าความเห็นของผู้เชี่ยวชาญมีน้ำหนักมากและถือเป็นข้อยุติ  ศาลต้องพิจารณาให้เป็นไปตามคำท้านั้น

กรณีตามอุทาหรณ์  เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์และจำเลยตกลงท้ากัน  ให้ถือเอาความเห็นของผู้เชี่ยวชาญในการตรวจพิสูจน์เป็นข้อแพ้ชนะ  แม้ความคิดเห็นของตามหลักวิชาของพยานผู้เชี่ยวชาญจะเป็นพยานที่ศาลรับฟังได้  แต่ก็มิใช่ว่าจะต้องถือตามนั้นเสมอไป  เมื่อลายเซ็นของจำเลยในใบรับหมายเรียกมีลักษณะการเขียนและขนาดของตัวหนังสือคล้ายคลึงกับลายเซ็นของจำเลยในช่องผู้กู้ในสัญญากู้ และโจทก์มีพยานบุคคลที่เป็นประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันว่าจำเลยกู้เงินโจทก์โดยลงชื่อในช่องผู้กู้ในสัญญากู้  กับอ้างส่งสัญญากู้เป็นพยานต่อศาล  สนับสนุนข้อกล่าวอ้างของตน  ส่วนจำเลยคงมีแต่รายงานความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเป็นพยานเท่านั้น  ดังนั้นพยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย  (ฎ. 3117/2535)

สรุป  พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย 


ข้อ  3  โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินกู้ตามสัญญากู้ยืม  โดยเบิกความยืนยันว่า  จำเลยยังไม่ชำระเงินกู้คืน  ส่วนจำเลยนำสืบว่าจำเลยชำระเงินกู้คืนแล้วโดยโจทก์ตักหน้าดินในที่ดินของจำเลยไปขายและนำเงินไปชำระหนี้เงินกู้จนหมดแล้ว  แต่จำเลยยังไม่ได้รับสัญญากู้คืนมา  และในการสืบพยานนั้นจำเลยได้นำนางแพงศรีมาเบิกความสนับสนุนจำเลยด้วย  ดังนี้  การที่ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลมาสืบดังกล่าวข้างต้นนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  94  เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้  แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี

(ข)  ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่งว่า  เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่า  ยังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  321  วรรคแรก  ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้  ท่านว่าหนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป

มาตรา  653  วรรคสอง  ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น  ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง  ลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว  หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ย่อมต้องห้ามมิให้นำพยานบุคคลมาสืบแทนพยานเอกสาร  ในเมื่อไม่สามารถนำเอกสารมาแสดง  หรือขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่ง  เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่ายังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก  ซึ่งจะเห็นว่ากฎหมายห้ามมิให้รับฟังพยานบุคคลเฉพาะกรณีที่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงเท่านั้น  ดังนั้นกรณีที่ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  แม้จะมีการทำสัญญากันไว้เป็นหลักฐาน  คู่สัญญาก็อาจนำพยานบุคคลมาสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้  ไม่ต้องห้ามตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  กรที่ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลมาสืบดังกล่าวข้างต้นนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  653  วรรคสอง  วางหลักในเรื่องการนำสืบการใช้เงินกู้ยืมในกรณีที่การกู้ยืมมีหลักฐานเป็นหนังสือ  ซึ่งจะทำได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง  หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว  หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้น  หมายถึง  กรณีชำระหนี้ด้วยการใช้เงินตราเท่านั้น  ดังนั้นการที่จำเลยอ้างนางแพงศรีมาสืบสนับสนุนว่ามีการชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนตามสัญญาแล้ว  โดยยอมให้โจทก์ตักหน้าดินไปขายและนำเงินไปชำระหนี้เงินกู้เป็นการชำระหนี้อย่างอื่นตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  321  วรรคแรก  ไม่ใช่การนำสืบการชำระหนี้ด้วยเงินตราตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  653  วรรคสอง  จึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติดังกล่าว

และการนำสืบเช่นว่านี้ไม่ใช่เป็นกรณีที่กฎหมายบังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94  เช่นกัน  ดังนั้นจำเลยสามารถอ้างนางแพงศรีเป็นพยานบุคคลเพื่อนำสืบว่ามีการชำระหนี้โดยขุดดินไปขายได้  การสืบพยานบุคคลดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย  (ฎ. 4742/2550)

สรุป  การที่ศาลรับฟังพยานบุคคลมาสืบดังกล่าวข้างต้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว

Advertisement