การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2550
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3010 กฎหมายล้มละลาย
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน จำนวน 3 ข้อ
ข้อ 1 ในคดีล้มละลายเรื่องหนึ่ง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นำที่ดินของลูกหนี้ที่ยึดไว้แล้วให้นายคำแหงเช่า มีกำหนด 6 เดือน ค่าเช่าเดือนละ 5,000 บาท โดยมีการทำหนังสือสัญญาเช่าถูกต้องตามกฎหมาย แต่นายคำแหงผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าทั้งหมด นอกจากนี้จากการสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์พบว่า นายคำแหงเคยทำสัญญาเช่าที่ดินแปลงเดียวกันนี้มาก่อนที่ลูกหนี้จะถูกพิทักษ์ทรัพย์ในคดีนี้และค้างชำระค่าเช่าเดิมอีก 3 เดือน เดือนละ 5,000 บาท เช่นเดียวกันให้วินิจฉัยว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจนำที่ดินของลูกหนี้ให้นายคำแหงเช่าได้หรือไม่ และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะมีวิธีการอย่างไรเพื่อบังคับให้นายคำแหงชำระค่าเช่าที่ค้างชำระดังกล่าวทั้งหมด
ธงคำตอบ
มาตรา 22 เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจดังต่อไปนี้
(1) จัดการและจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ หรือกระทำการที่จำเป็นเพื่อให้กิจการของลูกหนี้ที่ค้างอยู่เสร็จสิ้นไป
(3) ประนีประนอมยอมความ หรือฟ้องร้อง หรือต่อสู้คดีใดๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้
มาตรา 119 วรรคแรก เมื่อปรากฏว่าลูกหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดชำระเงินหรือส่งมอบทรัพย์สินแก่ลูกหนี้ ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แจ้งความเป็นหนังสือไปยังบุคคลนั้นให้ชำระเงินหรือส่งมอบทรัพย์สินตามจำนวนที่ได้แจ้งไปและให้แจ้งไปด้วยว่าถ้าจะปฏิเสธ ให้แสดงเหตุผลประกอบข้อปฏิเสธเป็นหนังสือมายังเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลาสิบสี่วันนับแต่วันได้รับแจ้งความ มิฉะนั้น จะถือว่าเป็นหนี้กองทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่ตามจำนวนที่แจ้งไปเป็นการเด็ดขาด
วินิจฉัย
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจนำที่ดินของลูกหนี้ให้นายคำแหงเช่าได้หรือไม่ เห็นว่า ตามบทบัญญัติมาตรา 22 แห่ง พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 นั้น ได้กำหนดไว้โดยแจ้งชัดแล้วว่า เมื่อลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์แล้ว ไม่ว่าชั่วคราวหรือเด็ดขาด (ฎ. 324/2518) เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เท่านั้นมีอำนาจจัดการเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ ลูกหนี้หามีอำนาจต่อสู้คดีใดๆหรือกระทำการใดๆเกี่ยวกับทรัพย์สินของตนไม่ ดังนั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีอำนาจนำที่ดินของลูกหนี้ที่ได้ยึดไว้แล้วออกให้นายคำแหงเช่าได้ เป็นการจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ประการหนึ่งตามมาตรา 22(1)
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะมีวิธีการอย่างไรเพื่อบังคับให้นายคำแหงชำระค่าเช่าที่ค้างชำระดังกล่าวทั้งหมด เห็นว่า การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะใช้วิธีการทวงหนี้โดยแจ้งความเป็นหนังสือ ตามมาตรา 119 นั้นจะต้องเป็นกรณีที่ลูกหนี้ (ผู้ถูกพิทักษ์ทรัพย์) มีสิทธิเรียกร้องต่อบุคคลอื่นอยู่แล้วก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ชั่วคราวหรือเด็ดขาด เพราะเมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้ว ลูกหนี้ไม่มีอำนาจจัดการกิจการและทรัพย์สินของตนเอง ดังนั้นกิจการที่ลูกหนี้กระทำภายหลังศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะใช้วิธีการทวงหนี้ตามมาตรา 119 ไม่ได้ ประเด็นนี้จึงแยกพิจารณาได้ 2 กรณีคือ
1 สำหรับค่าเช่าเดิมที่นายคำแหงค้างชำระ 3 เดือน เดือนละ 5,000 บาท รวมเป็นเงิน 15,000 บาทนั้น เป็นสิทธิเรียกร้องที่ลูกหนี้มีอยู่ก่อนที่ลูกหนี้จะถูกพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงชอบที่จะมีหนังสือทวงหนี้ค่าเช่าจำนวน 15,000 บาท ให้นายคำแหงชำระค่าเช่าได้ ตามมาตรา 119 วรรคแรก ทั้งนี้จะต้องแจ้งไปด้วยว่าถ้านายคำแหงจะปฏิเสธให้แสดงเหตุผลประกอบข้อปฏิเสธเป็นหนังสือมายังเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายใน 14 วันนับแต่วันได้รับแจ้งความ มิฉะนั้นจะถือว่าเป็นหนี้กองทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่ตามจำนวนที่แจ้งไปเป็นการเด็ดขาด
2 สำหรับค่าเช่าใหม่จำนวน 6 เดือน เดือนละ 5,000 บาท รวมเป็นเงิน 30,000 บาทนั้น ถือเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นจากการที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นำที่ดินของลูกหนี้ออกให้เช่าหลังจากลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์แล้ว เมื่อนายคำแหงไม่ชำระค่าเช่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่อาจใช้อำนาจตามมาตรา 119 เพื่อทวงให้นายคำแหงชำระค่าเช่าได้ แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจที่จะดำเนินการฟ้องร้องเป็นคดีแพ่งต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อเรียกเก็บค่าเช่าที่ค้างชำระเป็นคดีต่างหากได้ โดยอาศัยบทบัญญัติมาตรา 22(3) เพราะเป็นการฟ้องร้องคดีเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ (ฎ. 1998/2538, ฎ. 5858/2538)
สรุป เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจนำที่ดินของลูกหนี้ออกให้เช่าได้ และสำหรับค่าเช่าที่เกิดขึ้นก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหนังสือทวงหนี้ตามมาตรา 199 วรรคแรก ส่วนค่าเช่าที่เกิดขึ้นหลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ให้ยื่นฟ้องเป็นคดีแพ่งต่างหาก ตามมาตรา 22(3)
ข้อ 2 กรมสรรพากรเป็นโจทก์ฟ้องนายสนธิเป็นจำเลยให้ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ประจำปีภาษี 2548 พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มจำนวน 100,000 บาท จำเลยให้การว่า จำเลยเคยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด หนี้ภาษีอากรตามฟ้องเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ แต่กรมสรรพากรมิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขายทรัพย์สินของจำเลยชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้ และศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้ครบถ้วนทุกรายจนศาลมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ให้วินิจฉัยว่า หากข้อเท็จจริงฟังได้ยุติตามคำให้การของจำเลย ข้อต่อสู้ของจำเลยฟังขึ้นหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 91 เจ้าหนี้ซึ่งจะขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายอาจจะเป็นเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทย์หรือไม่ก็ตาม ต้องยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลาสองเดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด แต่ถ้าเจ้าหนี้อยู่นอกราชอาณาจักร เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะขยายกำหนดเวลาให้อีกได้ไม่เกินสองเดือน
คำขอรับชำระหนี้นั้นต้องทำตามแบบพิมพ์ โดยมีบัญชีแสดงรายละเอียดแห่งหนี้สิน และข้อความระบุถึงหลักฐานประกอบหนี้และทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดของลูกหนี้ที่ยึดไว้เป็นหลักประกันหรือตกอยู่ในความครอบครองของเจ้าหนี้
มาตรา 135 เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำขอ ศาลมีอำนาจสั่งยกเลิกการล้มละลายได้ ถ้าปรากฏเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
(3) หนี้สินของบุคคลล้มละลายได้ชำระเต็มจำนวนแล้ว
มาตรา 136 คำสั่งยกเลิกการล้มละลายตามมาตรา 135(1) หรือ (2) นั้นไม่ทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นหนี้สินแต่อย่างใด
วินิจฉัย
ข้อต่อสู้ของนายสนธิ (จำเลย) ฟังขึ้นหรือไม่ เห็นว่า ตามบทบัญญัติมาตรา 136 นั้นได้จำกัดไว้โดยเฉพาะแล้วว่า การยกเลิกการล้มละลาย ตามมาตรา 135(1) หรือ (2) เท่านั้น ที่ไม่ทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากความรับผิดในหนี้สิน เจ้าหนี้จึงนำหนี้ดังกล่าวมาฟ้องหรือขอรับชำระหนี้ในคดีที่ลูกหนี้ถูกฟ้องเป็นคดีล้มละลายในคดีใหม่ได้ ดังนั้นหากเป็นการยกเลิกการล้มละลายตามมาตรา 135(3) และ (4) แม้ พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 136 จะมิได้กำหนดถึงผลของการยกเลิกการล้มละลายเอาไว้ แต่เมื่อพิจารณาถ้อยคำในมาตรา 135(3) และ (4) ก็เห็นได้ว่าเมื่อศาลมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายด้วยเหตุตามอนุมาตราดังกล่าวแล้ว ลูกหนี้ย่อมหลุดพ้นหนี้สินไปทั้งหมด กรณีจึงไม่อาจนำมาตรา 77 ซึ่งเป็นบทบัญญัติเรื่องผลของการปลดจากการล้มละลายมาใช้บังคับได้ (ฎ. 136/2540, ฎ.1915/2536)
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า หนี้ภาษีอากรตามฟ้องเกิดขึ้นก่อนวันศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ แต่กรมสรรพากรเจ้าหนี้มิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 91 กรมสรรพากรย่อมหมดสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของนายสนธิลูกหนี้ในคดีล้มละลาย
เมื่อกรมสรรพากรเจ้าหนี้ไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ แม้ต่อมาศาลจะมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายเพราะหนี้สินของลูกหนี้ได้ชำระเต็มจำนวนแล้วตามมาตรา 135(3) ก็มีผลทำให้นายสนธิหลุดพ้นจากบรรดาหนี้สินทั้งปวงรวมทั้งหนี้ภาษีอากร และหลุดพ้นจากการเป็นบุคคลล้มละลาย กรมสรรพากรจะนำหนี้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2548 พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มจำนวน 100,000 บาท ซึ่งเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์มาฟ้องนายสนธิเป็นคดีแพ่งหรือคดีล้มละลายอีกไม่ได้ กรณีไม่อาจนำบทบัญญัติมาตรา 77 มาใช้บังคับแก่กรณีดังกล่าวได้ ข้อต่อสู้ของสนธิ จึงฟังขึ้น (ฎ. 6084/2548, ฎ. 806/2538)
สรุป ข้อต่อสู้ของนายสนธิ (จำเลย) ฟังขึ้น
ข้อ 3 ธนาคารสยาม จำกัด ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของบริษัทอเมริกา จำกัด ต่อมาธนาคารสยาม จำกัด ไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดีต่อไป ต้องการถอนคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ และมาปรึกษาท่าน ท่านจะให้คำปรึกษาแก่ธนาคารสยาม จำกัด ประการใด
ธงคำตอบ
มาตรา 90/8 วรรคแรก ผู้ร้องขอจะถอนคำร้องขอไม่ได้ เว้นแต่ศาลจะอนุญาตแต่ถ้าศาลได้มีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการแล้ว ศาลจะอนุญาตให้ถอนคำร้องขอไม่ได้
วินิจฉัย
ธนาคารสยามจะถอนคำร้องขอฟื้นฟูกิจการได้หรือไม่ เห็นว่า ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย มาตรา 90/8 วรรคแรก กำหนดว่า ผู้ร้องขอจะถอนคำร้องขอไม่ได้ เว้นแต่ศาลจะอนุญาตแต่ถ้าศาลได้มีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการแล้ว ศาลจะอนุญาตให้ถอนคำร้องขอไม่ได้ ซึ่งการร้องขอฟื้นฟูกิจการเป็นการร้องขอให้มีการจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ภายใต้กรอบของกฎหมายฟื้นฟูกิจการ เพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย มิใช่เรื่องระหว่างลูกหนี้กับเจ้าหนี้ผู้ร้องขอเท่านั้น กฎหมายจึงกำหนดให้ศาลเข้ามาตรวจสอบในกรณีที่มีการถอนคำร้องขอดังกล่าว
เมื่อธนาคารสยาม จำกัด ผู้ร้องจอจะดำเนินคดีต่อไป ก็ต้องขอถอนคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ โดยยื่นคำร้องเพื่อขอถอนคำร้องขอดังกล่าวก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ ส่วนศาลจะมีอำนาจที่จะอนุญาตให้ถอนคำร้องขอหรือไม่ เป็นดุลพินิจของศาล ซึ่งต้องพิจารณาถึงสาเหตุที่ขอถอนคำร้องขอนั้นด้วยว่า เป็นเหตุอันสมควรหรือไม่
แต่อย่างไรก็ตาม หากศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการแล้ว ศาลจะอนุญาตให้ถอนคำร้องขอฟื้นฟูกิจการไม่ได้ เพราะถือว่าศาลมีคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นคดีของการร้องขอฟื้นฟูกิจการแล้ว ทำให้บุคคลที่เกี่ยวข้องต่างๆมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดไว้ การยื่นคำร้องขอถอนคำร้องดังกล่าวหลังจากศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการแล้ว จึงไม่อาจกระทำได้
สรุป ข้าพเจ้าจะให้คำปรึกษาแก่ธนาคารสยามว่า ต้องยื่นคำร้องขอถอนคำร้องขอฟื้นฟูกิจการก่อนศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ เพราะหากศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการแล้ว ศาลจะอนุญาตให้ถอนคำร้องขอฟื้นฟูกิจการไม่ได้