การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2550
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3008 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 2
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 นางสมใจราษฎรเป็นโจทก์ฟ้อง ขอให้ศาลลงโทษนายเอกฐานวิ่งราวทรัพย์ (ระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีและปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท) ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่าคดีไม่มีมูล ยกฟ้อง นางสมใจยื่นอุทธรณ์ หากปรากฏว่า
(ก) ศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลชั้นต้นปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกระบวนการไต่สวนมูลฟ้อง จึงพิพากษาสั่งให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนมูลฟ้อง แล้วพิพากษาหรือสั่งใหม่ตามรูปคดี กรณีหนึ่ง
(ข) ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วสั่งว่า คดีมีมูล ประทับฟ้องอีกกรณีหนึ่ง
ในแต่ละกรณีดังกล่าว นายเอกไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ นายเอกจะฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 165 วรรคสาม ในคดีราษฎรเป็นโจทก์ ศาลมีอำนาจไต่สวนมูลฟ้องลับหลังจำเลยให้ศาลส่งสำเนาฟ้องแก่จำเลยรายตัวไป กับแจ้งวันนัดไต่สวนให้จำเลยทราบ จำเลยจะมาฟังการไต่สวนมูลฟ้องโดยตั้งทนายให้ซักค้านพยานโจทก์ด้วยหรือไม่ก็ได้ หรือจำเลยจะไม่มา แต่ตั้งทนายมาซักค้านพยานโจทก์ก็ได้ ห้ามมิให้ศาลถามคำให้การจำเลย และก่อนที่ศาลประทับฟ้องมิให้ถือว่าจำเลยอยู่ในฐานะเช่นนั้น
มาตรา 170 วรรคแรก คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด แต่คำสั่งที่ว่าคดีไม่มีมูลนั้นโจทก์มีอำนาจอุทธรณ์ฎีกาได้ตามบทบัญญัติว่าด้วยลักษณะอุทธรณ์ฎีกา
วินิจฉัย
(ก) โดยหลักแล้ว ในคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญา ผู้ถูกฟ้องจะยังไม่มีฐานะเป็นจำเลยจนกว่าศาลจะสั่งประทับฟ้อง
นางสมใจ ราษฎร เป็นโจทก์ฟ้องนายเอกเป็นคดีอาญา ศาลชั้นต้นได้ไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง ในกรณีเช่นนี้ เมื่อศาลยังไม่ประทับฟ้อง นายเอกจึงยังไม่ถือว่าอยู่ในฐานะเป็นจำเลย จึงไม่เป็นคู่ความในคดี เมื่อนางสมใจยื่นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์พิพากษาสั่งให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนมูลฟ้อง แล้วพิพากษาหรือสั่งใหม่ตามรูปคดี นายเอกซึ่งยังไม่มีฐานะเป็นคู่ความจึงไม่มีสิทธิฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ได้ ตามมาตรา 165 วรรคสาม (ฎ. 371/2530, ฎ. 3777/2527)
(ข) เมื่อนางสมใจยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วสั่งว่าคดีมีมูลประทับฟ้องในกรณีนี้ แม้ได้ความว่า นายเอกผู้ถูกฟ้องจะมีฐานะเป็นจำเลยแล้วก็ตาม แต่คำสั่งศาลอุทธรณ์ที่สั่งว่าคดีมีมูลนั้นเด็ดขาดแล้ว นายเอกจึงฎีกาโต้แย้งคำสั่งของศาลอุทธรณ์ไม่ได้เช่นเดียวกัน ตามมาตรา 170 วรรคแรก (ฎ. 1895/2519)
สรุป
(ก) นายเอกจะฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ไม่ได้
(ข) นายเอกจะฎีกาโต้แย้งคำสั่งของศาลอุทธรณ์ไม่ได้
ข้อ 2 คดีที่ราษฎรเป็นโจทก์คดีอาญา ระหว่างการพิจารณาในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ปรากฏว่าโจทก์ไม่ได้ลงชื่อในท้ายคำฟ้อง ทนายโจทก์จึงได้แถลงด้วยวาจาต่อศาลขออนุญาตให้โจทก์ลงชื่อในท้ายคำฟ้องหรือมิฉะนั้นก็อนุญาตให้ทนายโจทก์ลงชื่อในท้ายคำฟ้องแทน
ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า คำแถลงด้วยวาจาของโจทก์ดังกล่าวชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 158 ฟ้องต้องทำเป็นหนังสือ และมี
(7) ลายมือโจทก์ ผู้เรียง ผู้เขียนหรือพิมพ์ฟ้อง
มาตรา 163 เมื่อมีเหตุอันควร โจทก์มีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องก่อนคำพิพากษาศาลชั้นต้น ถ้าศาลเห็นสมควรจะอนุญาตหรือจะสั่งให้ไต่สวนมูลฟ้องเสียก่อนก็ได้ เมื่ออนุญาตแล้วให้ส่งสำเนาแก้ฟ้องหรือฟ้องเพิ่มเติมแก่จำเลยเพื่อแก้ และศาลจะสั่งแยกสำนวนพิจารณาฟ้องเพิ่มเติมนั้นก็ได้
วินิจฉัย
กรณีทนายโจทก์แถลงด้วยวาจาขออนุญาตให้โจทก์ลงชื่อในท้ายคำฟ้อง
ข้อเท็จจริงปรากฏว่าคำฟ้องที่โจทก์ฟ้องต่อศาลแล้วนั้น โจทก์ไม่ได้ลงชื่อในท้ายคำฟ้องเมื่อทนายโจทก์แถลงด้วยวาจาต่อศาลขออนุญาตให้โจทก์ลงชื่อในท้ายคำฟ้อง จึงเป็นการขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องซึ่งตาม มาตรา 163 วรรคแรก บัญญัติให้โจทก์ต้องยื่นคำร้องขอต่อศาล โดยอ้างเหตุอันสมควรในระหว่างการพิจารณาก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น จะร้องขอด้วยวาจาไม่ได้ (ฎ. 620/2483, ฎ. 300/2507)
ดังนั้น การที่ทนายโจทก์แถลงด้วยวาจาต่อศาลขออนุญาตให้โจทก์ลงชื่อท้ายคำฟ้อง จึงไม่ชอบด้วย มาตรา 163 วรรคแรก
กรณีทนายโจทก์แถลงด้วยวาจาขออนุญาตให้ทนายโจทก์ลงชื่อในคำฟ้องแทนโจทก์
ตามมาตรา 158(7) บัญญัติว่า “คำฟ้องต้องทำเป็นหนังสือและมีลายมือชื่อโจทก์ในท้ายคำฟ้อง” ทนายโจทก์จะลงชื่อในท้ายคำฟ้องแทนโจทก์ไม่ได้ แม้โจทก์ระบุไว้ในใบแต่งทนายให้ทนายโจทก์มีอำนาจลงชื่อในท้ายคำฟ้องแทนโจทก์ก็ตาม (ฎ. 607/2514) การที่ทนายโจทก์จะลงชื่อในท้ายคำฟ้องแทนโจทก์ได้ จะต้องเป็นกรณีที่โจทก์ได้มอบอำนาจให้ทนายโจทก์เป็นโจทก์ฟ้องคดีแทน นอกเหนือไปจากการแต่งตั้งให้เป็นทนายความดำเนินคดี (ฎ. 938/2530)
ดังนั้น การที่ทนายโจทก์แถลงด้วยวาจาต่อศาลขออนุญาตให้ทนายโจทก์ลงชื่อในคำฟ้องแทนโจทก์จึงไม่ชอบด้วยมาตรา 158(7)
สรุป คำแถลงด้วยวาจาของทนายโจทก์ทั้งสองกรณีดังกล่าว ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ข้อ 3 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเข้าไปปลูกสร้างอาคารลงในที่ดินโฉนดเลขที่ 123 ของนายมด เพื่อถือเอาการครอบครองที่ดินนั้นเป็นของตน ขอให้ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 หากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาได้ความว่า
(ก) จำเลยเข้าไปปลูกสร้างอาคารลงในที่ดินโฉนดเลขที่ 123 จริงตามฟ้อง แต่ที่ดินแปลงนั้นมิใช่เป็นของนายมด หากแต่เป็นของนายปลวก กรณีหนึ่ง
(ข) ที่ดินโฉนดเลขที่ 123 ตามฟ้อง เป็นของนายมดจริง แต่จำเลยมิได้เข้าไปปลูกสร้างอาคารลงในที่ดินแปลงดังกล่าว จำเลยเพียงแต่ลักเก็บเอาผลมะม่วงที่ปลูกอยู่ในที่ดินนั้นไปโดยทุจริตอีกกรณีหนึ่ง
ทั้งสองกรณีดังกล่าวข้างต้น หากไม่ปรากฏแก่ศาลว่า ข้อที่โจทก์ฟ้องผิดไปนั้น เป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้ ให้วินิจฉัยว่าศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนั้น ได้หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 192 วรรคสองและวรรคสาม ถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง ให้ศาลยกฟ้องคดีนั้น เว้นแต่ข้อแตกต่างนั้นมิใช่ในข้อสาระสำคัญและทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลจะลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นก็ได้
ในกรณีที่ข้อแตกต่างนั้นเป็นเพียงรายละเอียด เช่น เกี่ยวกับเวลาหรือสถานที่กระทำความผิดหรือต่างกันระหว่างการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ฉ้อโกง โกงเจ้าหนี้ ยักยอก รับของโจร และทำให้เสียทรัพย์ หรือต่างกันระหว่างการกระทำผิดโดยเจตนากับประมาท มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญทั้งนี้มิให้ถือว่าข้อที่พิจารณาได้ความนั้นเป็นเรื่องเกินคำขอหรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ เว้นแต่จะปรากฏแก่ศาลว่าการที่ฟ้องผิดไปเป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้ แต่ทั้งนี้ศาลจะลงโทษจำเลยเกินอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดที่โจทก์ฟ้องไม่ได้
วินิจฉัย
(ก) โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเข้าไปปลูกสร้างอาคารในที่ดินโฉนดเลขที่ 123 เพื่อถือการครอบครองที่ดินนั้นเป็นของตนเท่ากับเป็นการฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกที่ดินของนายมด การที่ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยบุกรุกที่ดินแปลงดังกล่าวจริง แต่ที่ดินดังกล่าวนั้นมิใช่เป็นของนายมด หากแต่เป็นของนายปลวกนั้น เป็นการแตกต่างเพียงเรื่องตัวบุคคลผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ที่ถูกบุกรุกเท่านั้น มิใช่แตกต่างกันในตัวอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกบุกรุกอันเป็นองค์ประกอบความผิดที่เป็นวัตถุแห่งการกระทำที่กฎหมายมุ่งคุ้มครอง จึงมิใช่เป็นการแตกต่างกันในสาระสำคัญ เมื่อไม่ปรากฏแก่ศาลว่า ข้อที่โจทก์ฟ้องผิดไปนั้น เป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้ กรณีย่อมเข้าหลักเกณฑ์ตาม มาตรา 192 วรรคสอง ที่ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนั้นได้ (ฎ. 1876/2528, ฎ. 2157/2518 และ ฎ. 913/2513)
(ข) การที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่า จำเลยบุกรุกที่ดินของนายมด แต่ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยลักทรัพย์ของนายมดนั้น ถือได้ว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่โจทก์กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญ แม้จำเลยจะมิได้หลงต่อสู้ ศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้องของโจทก์เสียตามมาตรา 192 วรรคสอง ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนั้นไม่ได้ (ฎ. 821/2502)
สรุป
(ก) ศาลจะพิจารณาลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนั้นได้
(ข) ศาลต้องพิพากษายกฟ้องไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลย ตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความ
ข้อ 4 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยพยายามฆ่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 288 ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วได้ความว่า จำเลยไม่มีเจตนาฆ่า พิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายได้รับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่า ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วได้ความว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าและบาดแผลไม่สาหัส พิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่า ศาลฎีกาพิจารณาแล้วได้ความว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าและบาดแผลสาหัสพิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายได้รับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297
ดังนี้ คำพิพากษาฎีกาดังกล่าว ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 212 คดีที่จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาที่ให้ลงโทษ ห้ามมิให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย เว้นแต่โจทก์จะได้อุทธรณ์ในทำนองนั้น
มาตรา 220 ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในคดีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์
มาตรา 225 ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณา และว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งชั้นอุทธรณ์มาบังคับในชั้นฎีกาโดยอนุโลม เว้นแต่ห้ามมิให้ทำความเห็นแย้ง
วินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่า เมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วได้ความว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าพิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายได้รับอันตรายสาหัส ตาม ป.อ. มาตรา 297 ถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ฐานพยายามฆ่าแล้ว
เมื่อโจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่า และศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วได้ความว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าและบาดแผลไม่สาหัส พิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บ ตาม ป.อ. มาตรา 295 ก็ถือได้ว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ฐานพยายามฆ่าแล้วเช่นเดียวกัน
เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ฐานพยายามฆ่าแล้ว ความผิดฐานพยายามฆ่าจึงต้องห้ามฎีกา ตามมาตรา 220 คดีจึงไม่อาจขึ้นสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาได้อีก ดังนั้นการที่โจทก์ยังฎีกาขอให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าอีก แม้โดยหลักศาลฎีกาจะมีอำนาจพิพากษาเพิ่มเติมโทษเป็นว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 297 ได้ เพราะถือว่าเป็นกรณีที่โจทก์ฎีกาขอให้เพิ่มโทษ แต่เมื่อความผิดฐานพยายามฆ่าซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามมาตรา 220 เสียแล้ว จึงไม่อาจถือได้ว่าโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยหนักขึ้นในข้อหาทำร้ายร่างกายสาหัส ตาม ป.อ. มาตรา 297 ได้ ศาลฎีกาต้องพิพากษายกฎีกาของโจทก์ จะพิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายได้รับอันตรายสาหัสตาม ป.อ. มาตรา 297 ไม่ได้ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 212 ประกอบมาตรา 225 (ฎ. 525/2526 (ประชุมใหญ่))
สรุป คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าว จึงมิชอบด้วยกฎหมาย