การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2550
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3008 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 2
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์ของผู้เสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 โดยบรรยายฟ้องระบุเวลาที่เกิดเหตุว่า เหตุเกิดเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2551 จำเลยให้การรับสารภาพผิดตามฟ้อง ศาลสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยแล้ว ผู้เสียหายก็เบิกความต่อศาลว่า เหตุเกิดเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2551 เช่นกัน และพยานหลักฐานที่สืบประกอบฟังได้ว่า จำเลยชิงทรัพย์ผู้เสียหายจริงตามฟ้องให้แยกวินิจฉัยตามประเด็น ดังนี้
(ก) ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง ได้หรือไม่
(ข) หากศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์จะนำคดีอาญาเรื่องเดียวกันนี้มายื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ได้หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 39 สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปดังต่อไปนี้
(4) เมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง
มาตรา 158 ฟ้องต้องทำเป็นหนังสือ และมี
(5) การกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้นๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว หากโจทก์ระบุแต่เพียงเดือนและปีที่ความผิดเกิด หรือบรรยายฟ้องเพียงว่า เมื่อต้นเดือน……… โดยไม่ได้ระบุวันที่หรือเวลาที่กระทำผิดให้แน่นอน ถือเป็นคำฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ไม่ชัดเจน แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ ก็ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง
(ก) ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องได้หรือไม่ เห็นว่า กรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ลงโทษฐานชิงทรัพย์ ป.อ. มาตรา 339 โดยบรรยายฟ้องและนำสืบเกี่ยวกับเวลาที่เกิดเหตุเพียงว่าเหตุเกิดเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2551 แต่มิได้ระบุวันที่หรือเวลาที่กระทำความผิดให้แน่นอน เป็นการบรรยายฟ้องและนำสืบเรื่องเวลาที่จำเลยกระทำความผิดไม่ชัดเจน แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้องก็ไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยได้กระทำผิดตามฟ้อง ศาลจึงพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้ หากแต่ต้องพิพากษายกฟ้องของโจทก์ (ฎ. 848/2545)
(ข) กรณีที่ศาลยกฟ้องโจทก์เพราะฟ้องโจทก์มิได้ระบุวันที่หรือเวลาที่กระทำความผิดให้แน่นอนเช่นนี้ ถือว่าเป็นฟ้องซึ่งมิได้ระบุเวลาที่จำเลยกระทำความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 158 (5) คำพิพากษายกฟ้องเช่นนี้ มีผลเท่ากับศาลได้วินิจฉัยในเนื้อหาของความผิดแล้วว่า คดีนี้ไม่มีเวลาที่กระทำความผิด ถือว่าศาลได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ตามมาตรา 39(4) โจทก์จึงนำคดีอาญาเรื่องเดียวกันนี้มาฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ไม่ได้ (ฎ. 1983/2499 ฎ. 1576/2495 และ ฎ 682/2502)
สรุป
(ก) ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง จะพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้
(ข) โจทก์จะนำคดีอาญาเรื่องเดียวกันนี้ มาฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ไม่ได้
ข้อ 2 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเข้าไปปลูกสร้างอาคารลงในที่ดินโฉนดเลขที่ 123 ของนายมด เพื่อถือเอาการครอบครองที่ดินนั้นเป็นของตน ขอให้ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 หากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาได้ความว่า
(ก) จำเลยเข้าไปปลูกสร้างอาคารลงในที่ดินโฉนดเลขที่ 123 จริงตามฟ้อง แต่ที่ดินแปลงนั้นมิใช่เป็นของนายมด หากแต่เป็นของนายปลวก กรณีหนึ่ง
(ข) ที่ดินโฉนดเลขที่ 123 ตามฟ้อง เป็นของนายมดจริง แต่จำเลยมิได้เข้าไปปลูกสร้างอาคารลงในที่ดินแปลงดังกล่าว จำเลยเพียงแต่ลักเก็บเอาผลมะม่วงที่ปลูกอยู่ในที่ดินนั้นไปโดยสุจริต อีกกรณีหนึ่ง
ทั้งสองกรณีดังกล่าวข้างต้น หากไม่ปรากฏแก่ศาลว่า ข้อที่โจทก์ฟ้องผิดไปนั้น เป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้ ให้วินิจฉัยว่าศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนั้น ได้หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 192 วรรคแรก วรรคสองและวรรคสาม ถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง ให้ศาลยกฟ้องคดีนั้น เว้นแต่ข้อแตกต่างนั้นมิใช่ในข้อสาระสำคัญและทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลจะลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นก็ได้
ในกรณีที่ข้อแตกต่างนั้นเป็นเพียงรายละเอียด เช่น เกี่ยวกับเวลาหรือสถานที่กระทำความผิดหรือต่างกันระหว่างการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ฉ้อโกง โกงเจ้าหนี้ ยักยอก รับของโจร และทำให้เสียทรัพย์ หรือต่างกันระหว่างการกระทำผิดโดยเจตนากับประมาท มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญทั้งนี้มิให้ถือว่าข้อที่พิจารณาได้ความนั้นเป็นเรื่องเกินคำขอหรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ เว้นแต่จะปรากฏแก่ศาลว่าการที่ฟ้องผิดไปเป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้ แต่ทั้งนี้ศาลจะลงโทษจำเลยเกินอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดที่โจทก์ฟ้องไม่ได้
วินิจฉัย
มาตรา 192 วรรคสอง ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า ถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง โดยหลักให้ศาลยกฟ้องคดีนั้น เว้นแต่ข้อแตกต่างนั้นมิใช่ในข้อสาระสำคัญและจำเลยมิได้หลงต่อสู้ในกรณีเช่นนี้ศาลจะลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นก็ได้
(ก) ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนั้นได้หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเข้าไปปลูกสร้างอาคารในที่ดินโฉนดเลขที่ 123 เพื่อถือการครอบครองที่ดินนั้นเป็นของตนเท่ากับเป็นการฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกที่ดินของนายมด การที่ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยบุกรุกที่ดินแปลงดังกล่าวจริง แต่ที่ดินดังกล่าวนั้นมิใช่เป็นของนายมด หากแต่เป็นของนายปลวกนั้น เป็นการแตกต่างเพียงเรื่องตัวบุคคลผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ที่ถูกบุกรุกเท่านั้น มิใช่แตกต่างในตัวอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกบุกรุกอันเป็นองค์ประกอบความผิดที่เป็นวัตถุแห่งการกระทำที่กฎหมายมุ่งคุ้มครอง จึงมิใช่เป็นการแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญเมื่อไม่ปรากฏแก่ศาลว่า ข้อที่โจทก์ฟ้องผิดไปนั้น เป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้ กรณีย่อมเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 192 วรรคสอง ที่ศาลมีอำนาจลงโทษตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนั้นได้ (ฎ. 1876/2528 ฎ. 2157/2518 และ ฎ. 913/2513)
(ข) ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนั้นได้หรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่า จำเลยบุกรุกที่ดินของนายมด แต่ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยลักทรัพย์ของนายมดนั้น ถือได้ว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่โจทก์กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญแม้จำเลยจะมิได้หลงต่อสู้ ศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้องของโจทก์เสีย ตามมาตรา 192 วรรคสอง ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนั้นไม่ได้ (ฎ. 82182502)
สรุป
(ก) ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนั้นได้
(ข) ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนั้นไม่ได้
ข้อ 3 ในคดีอาญาเรื่องหนึ่ง พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยคนหนึ่งว่ากระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร จำเลยให้การในแบบฟอร์มของศาลชั้นต้นแห่งหนึ่งว่า “ขอให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดตามฟ้องนั้น” ในวันนัดสืบพยาน โจทก์แถลงต่อศาลว่า จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว โจทก์ไม่ติดใจสืบพยานจึงมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์และนัดฟังคำพิพากษาในวันเดียวกัน
จงวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวจะพิพากษาลงโทษจำเลยหรือไม่ ในข้อหาอะไร เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 176 วรรคแรก ในชั้นพิจารณาถ้าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ เว้นแต่คดีที่มีข้อหาในความผิดซึ่งจำเลยรับสารภาพนั้น กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น ศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง
วินิจฉัย
คำรับสารภาพที่ไม่ชัดเจนว่าจำเลยรับสารภาพว่ากระทำผิดฐานใด ไม่อาจลงโทษจำเลยในกรณีเช่นนี้ต้องเป็นหน้าที่โจทก์ต้องนำสืบว่าจำเลยกระทำผิดฐานใด (ฎ. 6742/2544 ฎ. 758/2534)
ศาลชั้นต้นจะพิพากษาลงโทษจำเลยหรือไม่ เห็นว่า การที่พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร แสดงว่าโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยในข้อหาหนึ่งเพียงข้อหาเดียว เพราะความผิดฐานลักทรัพย์กับความผิดฐานรับของโจรเป็นความผิดคนละฐานกัน จะลงโทษจำเลยทั้งสองฐานความผิดดังกล่าวย่อมไม่ได้ คำให้การของจำเลยที่ขอให้การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดตามฟ้องนั้นย่อมไม่ชัดเจนพอที่จะชี้ขาดว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานใด ตามมาตรา 176 วรรคแรก แม้จะเป็นการให้การในแบบพิมพ์สำหรับคดีที่จำเลยให้การรับสารภาพของศาลชั้นต้นก็ตาม ก็เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่งของจำเลย เมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน ศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงจะพิพากษาลงโทษจำเลยไม่ได้ (ฎ. 2046/2538)
สรุป ศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวจะพิพากษาลงโทษจำเลยไม่ได้
ข้อ 4 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 288 ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วได้ความว่า จำเลยไม่มีเจตนาฆ่า พิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายได้รับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่า ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วได้ความว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าและบาดแผลไม่สาหัส พิพากษาลงโทษฐานทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษทำร้ายร่างกายได้รับอันตรายสาหัส มาตรา 297 ศาลฎีกาพิจารณาแล้วได้ความว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าและบาดแผลสาหัส พิพากษาลงโทษฐานทำร้ายร่างกายได้รับอันตราสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297
ดังนี้ คำพิพากษาศาลฎีกา ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพระเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 212 คดีที่จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาที่ให้ลงโทษ ห้ามมิให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย เว้นแต่โจทก์จะได้อุทธรณ์ในทำนองนั้น
มาตรา 220 ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในคดีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์
มาตรา 225 ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณา และว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งชั้นอุทธรณ์มาบังคับในชั้นฎีกาโดยอนุโลม เว้นแต่ห้ามมิให้ทำความเห็นแย้ง
วินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่า เมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วได้ความว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าพิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายได้รับอันตรายสาหัส ตาม ป.อ. มาตรา 297 ถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ฐานพยายามฆ่าแล้ว
เมื่อโจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่า และศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วได้ความว่า จำเลยไม่มีเจตนาฆ่าและบาดแผลไม่สาหัส พิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บ ตาม ป.อ. มาตรา 295 ก็ถือได้ว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ฐานพยายามฆ่าแล้วเช่นเดียวกัน
เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องฐานพยายามฆ่าแล้ว ความผิดฐานพยายามฆ่าจึงต้องห้ามฎีกา ตามมาตรา 220 แต่ตามข้อเท็จจริง โจทก์ฎีกาขอให้ศาลลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายได้รับอันตรายสาหัส ตาม ป.อ. มาตรา 297 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น มิได้ฎีกาในความผิดฐานพยายามฆ่าอีก โจทก์จึงมีสิทธิฎีกาได้
อีกทั้งการที่โจทก์ฎีกาดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์ฎีกาในทำนองขอให้ศาลพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย ตามมาตรา 212 ประกอบมาตรา 225 การที่ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายได้รับอันตรายสาหัส ตาม ป.อ. มาตรา 297 จึงชอบด้วยกฎหมาย (ฎ. 677/2510 (ประชุมใหญ่))
สรุป คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายแล้ว