การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2547
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3008 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 2
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน
ข้อ 1 คดีอาญาเรื่องหนึ่ง พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องว่านายแสงจำเลยกับพวกอีกสามคนซึ่งหลบหนีได้ร่วมกันกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2547 เวลากลางคืนหลังเที่ยง ที่ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 นายแสงจำเลยให้การปฏิเสธว่าตนมิได้กระทำความผิดตามวันเวลาที่โจทก์อ้างในฟ้อง จำเลยเมาสุราและได้ไปที่บ้านของผู้เสียหายจริง แต่ไม่ได้ปล้นทรัพย์ จำเลยเพียงแต่ขอเงินจากผู้เสียหายมาใช้บ้างเท่านั้น
ในชั้นพิจารณา เมื่อสืบพยานโจทก์แล้ว 2 ปาก พนักงานอัยการโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง โดยขอแก้วันเวลาเกิดเหตุเป็นวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2547 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง อ้างว่าฟ้องเดิมบกพร่องเพราะความพลั้งเผลอของผู้พิมพ์ฟ้อง ดังนี้ ศาลควรอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 163 เมื่อมีเหตุอันควร โจทก์มีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น ถ้าศาลเห็นสมควรจะอนุญาตหรือจะสั่งให้ไต่สวนมูลฟ้องเสียก่อนก็ได้ เมื่ออนุญาตแล้วให้ส่งสำเนาแก้ฟ้องหรือฟ้องเพิ่มเติมแก่จำเลยเพื่อแก้ และศาลจะสั่งแยกสำนวนพิจารณาฟ้องเพิ่มเติมนั้นก็ได้
มาตรา 164 คำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องนั้น ถ้าจะทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดี ห้ามมิให้ศาลอนุญาตแต่การแก้ฐานความผิดหรือรายละเอียดซึ่งต้องแถลงในฟ้องก็ดี การเพิ่มเติมฐานความผิดหรือรายละเอียดซึ่งมิได้กล่าวไว้ก็ดี ไม่ว่าจะทำเช่นนี้ในระยะใดระหว่างพิจารณาในศาลชั้นต้นมิให้ถือว่าทำให้จำเลยเสียเปรียบ เว้นแต่จำเลยได้หลงต่อสู้ในข้อที่ผิดหรือที่มิได้กล่าวไว้นั้น
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว การที่ศาลจะอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องนั้น ต้องได้ความว่า โจทก์ได้ปฏิบัติถูกต้องตามเงื่อนไขในวิธีการและไม่ต้องห้ามเงื่อนไขในเนื้อหา ซึ่งแยกพิจารณาดังนี้
1 เงื่อนไขในวิธีการ โจทก์ต้องยื่นคำร้องก่อนมีคำพิพากษาของศาล ตามมาตรา 163 วรรคแรก
2 เงื่อนไขในเนื้อหา คำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมของโจทก์ ต้องไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดี ตามมาตรา 164
กรณีตามอุทาหรณ์ พนักงานอัยการโจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง โดยทำคำร้องยื่นต่อศาลก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยอ้างว่าฟ้องเดิมบกพร่องเพราะความพลั้งเผลอของผู้พิมพ์ฟ้อง ซึ่งถือได้ว่ามีเหตุอันสมควร (ฎ. 1967/2497 ฎ. 1377/2513) การขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าว จึงถูกต้องตามเงื่อนไขในวิธีการ ตามมาตรา 163 วรรคแรก
สำหรับเนื้อหาที่โจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องนั้น โจทก์ขอแก้วันเวลาเกิดเหตุจากวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2547 เวลากลางคืนหลังเที่ยง เป็นวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2547 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง คดีนี้นายแสงจำเลยให้การปฏิเสธว่าตนมิได้กระทำความผิด และต่อสู้คดีว่าตามวันเวลาที่โจทก์อ้างในฟ้อง จำเลยเมาสุราและได้ไปที่บ้านของผู้เสียหายจริง แต่ไม่ได้ปล้นทรัพย์ จำเลยเพียงแต่ขอเงินจากผู้เสียหายมาใช้บางส่วนเท่านั้น คำให้การต่อสู้คดีของจำเลยดังกล่าวนี้ เห็นได้ว่า จำเลยมิได้หลงหยิบยกเอาของที่ (โจทก์เขียนไว้) ผิดในฟ้องเดิมมาเป็นสาระสำคัญในการต่อสู้คดีของจำเลย เพราะจำเลยไม่ได้ปฏิเสธว่าวันเวลาเกิดเหตุจำเลยมิได้อยู่ในที่เกิดเหตุ
(อ้างฐานที่อยู่) จึงต้องถือว่าจำเลยมิได้หลงต่อสู้ (ฎ. 2195/2515) ในกรณีเช่นนี้ หากศาลอนุญาตให้โจทก์แก้ไจเพิ่มเติมฟ้อง ก็ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดีแต่อย่างใด จึงไม่ต้องห้ามตามเงื่อนไขในเนื้อหา ตามมาตรา 164 เช่นเดียวกัน (ฎ. 203/2540)
สรุป ศาลควรอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง
ข้อ 2 การยื่นฟ้องคดีอาญาของโจทก์ ดังปรากฏกรณีดังต่อไปนี้
(ก) ในกรณีพนักงานอัยการเป็นโจทก์จำเลยซึ่งมีอัตราโทษจำคุก ในวันโจทก์ยื่นฟ้อง โจทก์และจำเลยไปศาล เมื่อศาลอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังแล้ว จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลเห็นว่าคดีเสร็จการพิจารณา จึงพิพากษาลงโทษจำเลยไปตามความผิดในวันเดียวกันนั้น
(ข) ในกรณีที่ราษฎรเป็นโจทก์ ในวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง จำเลยไปศาลโดยไม่มีทนายความและได้ให้การรับสารภาพต่อศาล ศาลเห็นว่า เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ จึงงดการไต่สวนมูลฟ้อง และประทับฟ้องแล้วพิพากษาลงโทษไปตามความผิดตามฟ้องในวันเดียวกันนั้น
ดังนี้ ขอให้วินิจฉัยว่า การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นทั้ง 2 กรณีดังกล่าวชอบหรือไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมายแล้วหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 162 ถ้าฟ้องถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ให้ศาลจัดการสั่งต่อไปนี้
(1) ในคดีราษฎรเป็นโจทก์ ให้ไต่สวนมูลฟ้อง แต่ถ้าคดีนั้นพนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยโดยข้อหาอย่างเดียวกันด้วยแล้ว ให้จัดการตามอนุมาตรา (2)
(2) ในคดีพนักงานอัยการเป็นโจทก์ ไม่จำเป็นต้องไต่สวนมูลฟ้อง แต่ถ้าเห็นสมควรจะสั่งให้ไต่สวนมูลฟ้องก่อนก็ได้
ในกรณีที่มีการไต่สวนมูลฟ้องดังกล่าวแล้ว ถ้าจำเลยให้การรับสารภาพ ให้ศาลประทับฟ้องไว้พิจารณา
มาตรา 173 วรรคสอง ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุก ก่อนเริ่มพิจารณาให้ศาลถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีจำเลยต้องการทนายก็ให้ศาลตั้งทนายความให้
วินิจฉัย
(ก) โดยหลักแล้ว ก่อนที่ศาลจะสอบถามคำให้การจำเลย ซึ่งตามฟ้องมีอัตราโทษจำคุก ศาลจะต้องสอบถามจำเลยก่อนว่ามีทนายความหรือไม่ หากไม่มีและจำเลยต้องการทนายความ ก็ให้ศาลตั้งทนายความให้
การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า เมื่อศาลอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังแล้ว จำเลยให้การรับสารภาพศาลเห็นว่าคดีเสร็จการพิจารณาจึงพิพากษาลงโทษจำเลยไปตามความผิด โดยไม่สอบถามจำเลยเรื่องทนายความก่อนเริ่มพิจารณาดังกล่าว จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ตามมาตรา 173 วรรคสอง (ฎ. 2020/2542)
(ข) ตามมาตรา 162(1) ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า ในคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ โดยหลักแล้วศาลต้องไต่สวนมูลฟ้องก่อนทุกคดี เว้นแต่ ถ้าพนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยโดยข้อหาอย่างเดียวกันนั้นแล้วต้องจัดการ ตามมาตรา 162(2) กล่าวคือ ไม่จำต้องไต่สวนมูลฟ้องก่อนประทับฟ้องไว้พิจารณาก็ได้
การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ในวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง เมื่อจำเลยไปศาลและให้การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดตามฟ้อง ศาลชั้นต้นได้งดการไต่สวนมูลฟ้องและประทับฟ้อง แล้วพิจารณาลงโทษจำเลยไปตามความผิด ในวันเดียวกันนั้น กรณีเช่นนี้ เมื่อได้ความว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ศาลจึงต้องอยู่ในบังคับที่ต้องไต่สวนมูลฟ้องก่อน อีกทั้งในคดีดังกล่าว ก็ไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่จะทำให้ศาลประทับฟ้องโดยไม่ต้องไต่สวนมูลฟ้องก่อนแต่อย่างใด เนื่องจากในคดีนี้พนักงานอัยการไม่ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องด้วย ดังนั้นเมื่อศาลยังมิได้ไต่สวนมูลฟ้อง แต่สั่งประทับฟ้องเลย การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นดังกล่าว จึงไม่ชอบ ตามมาตรา 162(1) ประกอบวรรคสอง (ฎ. 477/2508)
สรุป
(ก) การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมาย
(ข) การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ 3 พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องว่านางขาวจำเลยทำให้ปืนลั่นโดยประมาทถูกนางแดงเป็นเหตุให้นายแดงถึงแก่ความตายเหตุเกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 เวลากลางวันที่แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 นางขาวจำเลยให้การว่าไม่ได้กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง แต่จำเลยจำต้องใช้ปืนยิงนายแดงเพื่อป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด ขอให้ศาลยกฟ้อง
ในการพิจารณาคดี ปรากฏข้อเท็จจริงว่าตามวันเวลาและสถานที่ที่โจทก์ฟ้อง นางขาวจำเลยได้ใช้ปืนยิงนายแดงถึงแก่ความตายโดยมีเจตนาฆ่า มิใช่การกระทำเพื่อป้องกันดังที่นางขาวจำเลยให้การ เช่นนี้ ศาลจะพิพากษาลงโทษนางขาวจำเลยในความผิดฐานใดได้หรือไม่เพียงใด เพราะเหตุใด
หมายเหตุ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ผู้ใดฆ่าผู้อื่นต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี
มาตรา 291 ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปีและปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
ธงคำตอบ
มาตรา 192 วรรคสองและวรรคสาม ถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง ให้ศาลยกฟ้องคดีนั้น เว้นแต่ข้อแตกต่างนั้นมิใช่ในข้อสาระสำคัญและทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลจะลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นก็ได้
ในกรณีที่ข้อแตกต่างนั้นเป็นเพียงรายละเอียด เช่น เกี่ยวกับเวลาหรือสถานที่กระทำความผิดหรือต่างกันระหว่างการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ฉ้อโกง โกงเจ้าหนี้ ยักยอก รับของโจร และทำให้เสียทรัพย์ หรือต่างกันระหว่างการกระทำผิดโดยเจตนากับประมาท มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญทั้งนี้มิให้ถือว่าข้อที่พิจารณาได้ความนั้นเป็นเรื่องเกินคำขอหรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ เว้นแต่จะปรากฏแก่ศาลว่าการที่ฟ้องผิดไปเป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้ แต่ทั้งนี้ศาลจะลงโทษจำเลยเกินอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดที่โจทก์ฟ้องไม่ได้
วินิจฉัย
เป็นกรณีข้อเท็จจริงที่ได้ความในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายในฟ้อง กล่าวคือ พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องว่านางขาวจำเลยกระทำความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตาม ป.อ. มาตรา 291 แต่ในทางพิจารณาได้ความว่านางขาวจำเลยกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตาม ป.อ. มาตรา 288 ซึ่งข้อแตกต่างระหว่างการกระทำความผิดโดยเจตนากับการกระทำความผิดโดยประมาทนั้น ตามมาตรา 192 วรรคสาม มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญ
คดีนี้ นางขาวจำเลยให้การว่าไม่ได้กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง แต่จำเลยจำต้องใช้ปืนยิงนายแดง (ผู้ตาย) เพื่อป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ ประเด็นข้อต่อสู้ของนางขาวจำเลยจึงอยู่ที่ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุหรือไม่เท่านั้น จำเลยมิได้หลงต่อสู้ (ฎ. 755/2494 ฎ. 992/2494) ศาลจึงมีอำนาจตามมาตรา 192 วรรคสอง ที่จะลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความในทางพิจารณา คือฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตาม ป.อ. มาตรา 288 ได้
อย่างไรก็ตาม มาตรา 192 วรรคสาม จำกัดอำนาจศาลไว้ว่า ศาลจะลงโทษจำเลยเกินอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดที่โจทก์ฟ้องไม่ได้
ดังนั้น ในกรณีนี้ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาลงโทษนางขาวจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตาม ป.อ. มาตรา 288 แต่กำหนดโทษจำคุกได้ไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท ตามมาตรา 291
สรุป ศาลมีอำนาจพิพากษาลงโทษนางขาวจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามมาตรา 288 แต่กำหนดโทษจำคุกได้ไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท ตามมาตรา 291
ข้อ 4 แต่ละกรณีดังต่อไปนี้ ให้วินิจฉัยว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
(ก) คดีอาญาเรื่องหนึ่ง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษปรับจำเลย 5,000 บาท จำเลยอุทธรณ์ฝ่ายเดียวขอให้ศาลยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี กรณีหนึ่ง
(ข) คดีอาญาเรื่องหนึ่ง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ลงโทษประหารชีวิตแต่เนื่องจากคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนบางส่วนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสาม ให้จำคุกตลอดชีวิต จำเลยอุทธรณ์ฝ่ายเดียวขอให้ศาลลงโทษประหารชีวิตโดยไม่ต้องลดโทษให้จำเลย ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่ากระทำผิดจริงและไม่มีเหตุอันควรลดโทษพิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลย อีกกรณีหนึ่ง
ธงคำตอบ
มาตรา 212 คดีที่จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาที่ให้ลงโทษ ห้ามมิให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย เว้นแต่โจทก์จะได้อุทธรณ์ในทำนองนั้น
วินิจฉัย
ตามมาตรา 212 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า การที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยได้นั้น จะต้องเป็นกรณีที่โจทก์ได้อุทธรณ์ในทำนองที่ขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลยด้วย
(ก) การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปรับจำเลย 5,000 บาท จำเลยอุทธรณ์ฝ่ายเดียว เมื่อได้ความว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำคุก 1 ปี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ในกรณีเช่นนี้ แม้โดยปกติโทษจำคุกเป็นโทษอาญาที่หนักกว่าโทษปรับก็ตาม แต่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในกรณีนี้ก็ไม่เป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย เพราะเป็นการกำหนดโทษจำคุกโดยมีเงื่อนไขที่เป็นคุณแก่จำเลยมากกว่า (ฎ. 4525/2533) คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าว จึงชอบด้วยกฎหมาย ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 212 แต่อย่างใด
(ข) การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต และจำเลยอุทธรณ์ฝ่ายเดียว แม้ได้ความว่า จำเลยจะอุทธรณ์ขอให้ศาลลงโทษประหารชีวิต โดยไม่ต้องลดโทษจำเลย อันถือว่าเป็นการอุทธรณ์ขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลยแล้ว แต่อย่างไรก็ดีเมื่อโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ขอให้ศาลพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยด้วย ศาลอุทธรณ์จึงไม่สามารถพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยได้ ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลย จึงเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยที่ต้องห้าม ตามมาตรา 212 (ฎ. 3741/2540) คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
สรุป
(ก) คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมาย
(ข) คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย