ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3008 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 2
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 นายมะม่วงร้องทุกข์กล่าวหาว่านายมังคุดฆ่านายมันแกวบุตรชายของตนตายโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนและสรุปสำนวนสั่งฟ้องนายมังคุดตามข้อหาดังกล่าว แต่ในที่สุดพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องนายมังคุดเป็นจำเลยคดีแรกในข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นายมันแกวถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 นายมะม่วงไม่เห็นด้วย
จึงนำคดีมายื่นฟ้องนายมังคุดเป็นจำเลยต่อศาลด้วยตนเองในคดีหลังขอให้ลงโทษนายมังคุดฐานฆ่านายมันแกวตายโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 อีกคดีหนึ่งให้วินิจฉัยตามประเด็นต่อไปนี้
(ก) คดีหลังที่นายมะม่วงเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางมังคุดเป็นจำเลยต่อศาลด้วยตนเอง ศาลจะสั่งประทับฟ้องไว้พิจารณาโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องก่อนได้หรือไม่
(ข) หากปรากฏว่าในการไต่สวนมูลฟ้องคดีหลัง นายมังคุดจำเลยได้นำเอกสารรายงานการตรวจศพของแพทย์มาถามค้านนายมะม่วงโจทก์เกี่ยวกับเรื่องวิถีกระสุนปืน เพื่อสนับสนุนว่าตนมิได้มีเจตนาฆ่านายมันแกว แต่นายมะม่วงโจทก์ไม่ยอมรับรองความถูกต้องของพยานเอกสารดังกล่าว นายมังคุดจำเลยจะขอส่งเอกสารดังกล่าวเป็นพยานต่อศาลได้หรือไม่
(ค) หากศาลไต่สวนมูลฟ้องคดีหลังแล้วเห็นว่าคดีมีมูล จึงให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา นายมังคุดจำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งคดีมีมูลต่อศาลอุทธรณ์ได้หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 162 ถ้าฟ้องถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ให้ศาลจัดการสั่งต่อไปนี้
(1) ในคดีราษฎรเป็นโจทก์ ให้ไต่สวนมูลฟ้อง แต่ถ้าคดีนั้นพนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยโดยข้อหาอย่างเดียวกันด้วยแล้ว ให้จัดการตามอนุมาตรา (2)
(2) ในคดีพนักงานอัยการเป็นโจทก์ ไม่จำเป็นต้องไต่สวนมูลฟ้อง แต่ถ้าเห็นสมควรจะสั่งให้ไต่สวนมูลฟ้องก่อนก็ได้
มาตรา 165 วรรคสอง จำเลยไม่มีอำนาจนำพยานมาสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง แต่ทั้งนี้ไม่เป็นการตัดสิทธิในการที่จำเลยจะมีทนายมาช่วยเหลือ
มาตรา 170 วรรคแรก คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด แต่คำสั่งที่ว่าคดีไม่มีมูลนั้นโจทก์มีอำนาจอุทธรณ์ฎีกาได้ตามบทบัญญัติว่าด้วยลักษณะอุทธรณ์ฎีกา
วินิจฉัย
(ก) ตามมาตรา 162(1) ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า ในคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ โดยหลักแล้วศาลต้องไต่สวนมูลฟ้องทุกคดี เว้นแต่พนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยโดยข้อหาอย่างเดียวกันด้วยแล้ว ต้องจัดการตามมาตรา 162(2) กล่าวคือ ไม่จำต้องไต่สวนมูลฟ้องก่อนประทับฟ้องไว้พิจารณาก็ได้
กรณีตามอุทาหรณ์ ศาลจะสั่งประทับฟ้องไว้พิจารณาโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องก่อนได้หรือไม่ เห็นว่า แม้พนักงานอัยการจะได้ฟ้องนายมังคุดเป็นจำเลยในคดีแรกด้วยก็ตาม แต่พนักงานอัยการได้ฟ้องนายมังคุดในข้อหากระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้นายมันแกวถึงแก่ความตาย ตาม ป.อ. มาตรา 291 ซึ่งเป็นความผิดคนละข้อหากับคดีหลังที่นายมะม่วงเป็นโจทก์ฟ้องนายมังคุดเป็นจำเลย ขอให้ลงโทษฐานฆ่านายมันแกวตายโดยเจตนา ตาม ป.อ. มาตรา 288 กรณีนี้จึงไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นของมาตรา 162(1) ที่ศาลจะจัดการสั่งตามอนุมาตรา (2) คือ ใช้ดุลพินิจสั่งประทับฟ้องไว้พิจารณาโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องก่อนได้ ดังนั้นศาลจึงอยู่ในบังคับที่ต้องจัดการสั่งตามหลักในอนุมาตรา (1) กล่าวคือ ต้องจัดการสั่งให้ไต่สวนมูลฟ้องก่อน
(ข) โดยหลักแล้ว ในคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ จำเลยไม่มีสิทธินำพยานมาสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง แต่ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิในการที่จำเลยจะมีทนายมาช่วยเหลือ ตามมาตรา 165 วรรคสอง
กรณีตามอุทาหรณ์ ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง นายมังคุดจำเลยนำเอกสารรายงานการตรวจศพของแพทย์ มาถามค้านนายมะม่วงโจทก์เกี่ยวกับเรื่องวิถีกระสุนปืน เพื่อสนับสนุนว่าตนมิได้มีเจตนาฆ่านายมันแกว แต่นายมะม่วงโจทก์ไม่ยอมรับรองความถูกต้องของพยานหลักฐานเอกสารดังกล่าว และนายมังคุดจะขอส่งเอกสารดังกล่าวเป็นพยานต่อศาลนั้น ในกรณีเช่นนี้เท่ากับว่านายมังคุดจำเลยเรียกพยานหลักฐานของตนเข้าสืบจึงเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 165 วรรคสอง ดังนั้นนายมังคุดจึงไม่อาจของส่งเอกสารดังกล่าวเป็นพยานต่อศาลได้ (ฎ. 6557/2539)
(ค) การที่ศาลไต่สวนมูลฟ้องคดีหลังที่นายมะม่วงเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษนายมังคุดจำเลยฐานฆ่านายมันแกวตายโดยเจตนา ตาม ป.อ. มาตรา 288 แล้วเห็นว่า คดีมีมูลให้ประทับฟ้องไว้พิจารณานั้น เห็นว่า แม้นายมังคุดจะมีฐานะเป็นจำเลยในคดีหลังแล้วก็ตาม แต่คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลเช่นว่านั้น ย่อมเป็นอันเด็ดขาดตามมาตรา 170 วรรคแรก ดังนั้นนายมังคุดจำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งคดีมีมูลต่อศาลอุทธรณ์ไม่ได้
สรุป
(ก) ศาลจะสั่งประทับฟ้องไว้พิจารณาโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องก่อนไม่ได้
(ข) นายมังคุดไม่อาจขอส่งเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้
(ค) นายมังคุดจำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งคดีมีมูลต่อศาลอุทธรณ์ไม่ได้
ข้อ 2 แต่ละกรณีต่อไปนี้ ศาลต้องตั้งทนายความให้จำเลยหรือไม่ เพราะเหตุใด
(ก) พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในขณะมีอายุ 18 ปี ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 385 (ระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท) ก่อนเริ่มพิจารณาซึ่งในขณะนั้นจำเลยมีอายุ 18 ปี 2 เดือน ศาลถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่ จำเลยตอบว่าไม่มี แต่จำเลยไม่ต้องการทนายความ เพราะจำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้อง
(ข) พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในขณะที่จำเลยมีอายุ 19 ปี ขอให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำโดยประมาททำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ (ระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท) ก่อนเริ่มพิจารณาศาลถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่ จำเลยตอบว่าไม่มี แต่จำเลยต้องการหาทนายความเอง ศาลจึงสั่งเลื่อนคดีเพื่อให้เวลาจำเลยติดต่อทนายความ เมื่อถึงวันนัดพิจารณา จำเลยแถลงว่า จำเลยหาทนายความไม่ได้ ขอให้ศาลตั้งทนายความให้จำเลยด้วย
ธงคำตอบ
มาตรา 173 วรรคแรกและวรรคสอง ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต หรือในคดีที่จำเลยมีอายุไม่เกินสิบแปดปีในวันที่ถูกฟ้องต่อศาล ก่อนเริ่มพิจารณาให้ศาลถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ให้ศาลตั้งทนายความให้
ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุกก่อนเริ่มพิจารณาให้ศาลถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีและจำเลยต้องการทนายก็ให้ศาลตั้งทนายความให้
วินิจฉัย
(ก) โดยหลักแล้ว ในคดีที่จำเลยมีอายุไม่เกิน 18 ปี ในวันที่ถูกฟ้องต่อศาลก่อนเริ่มพิจารณาให้ศาลถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ให้ศาลตั้งทนายความให้ ในกรณีนี้เป็นบทบังคับเด็ดขาด ไม่ว่าจำเลยจะต้องการหรือไม่ก็ตาม (เทียบ ฎ. 366/2534)
พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลย ในขณะที่จำเลยมีอายุ 18 ปี จึงเป็นคดีที่จำเลยมีอายุไม่เกิน 18 ปี ในวันที่ถูกฟ้องต่อศาล ซึ่งเป็นคดีอาญาทุกประเภท แม้จะเป็นคดีที่มีโทษปรับอย่างเดียวก็ตาม เมื่อได้ความว่าก่อนเริ่มพิจารณาศาลได้ถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่ แม้จำเลยจะตอบไม่มีและจำเลยก็ไม่ต้องการทนายความ เพราะจำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้อง ในกรณีเช่นนี้ ศาลก็ยังต้องตั้งทนายความให้จำเลย ตามมาตรา 173 วรรคแรก เพราะถือว่าเป็นบทบังคับเด็ดขาดที่ศาลต้องตั้งให้
(ข) โดยหลักแล้ว ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุก ไม่ว่าจะเป็นโทษจำคุกมากน้อยเพียงใดก็ตาม ก่อนเริ่มพิจารณาศาลต้องถามจำเลยในเรื่องทนายความก่อนเสมอ
พนักงานเป็นโจทก์ฟ้องจำเลย ในขณะที่อายุ 19 ปี ขอให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำโดยประมาททำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ ก่อนเริ่มพิจารณาศาลถามจำเลยมีทนายความหรือไม่ ครั้งแรกจำเลยตอบว่าไม่มีทนายความ แต่จำเลยต้องการหาทนายความเอง ศาลจึงสั่งเลื่อนคดี เพื่อให้จำเลยติดต่อทนายความแต่เมื่อวัดนัดพิจารณา จำเลยแถลงว่าจำเลยหาทนายความไม่ได้ ขอให้ศาลตั้งทนายความให้จำเลยด้วย ในกรณีเช่นนี้ จึงเป็นกรณีที่จำเลยไม่มีทนายความและต้องการทนายความ ศาลจึงต้องตั้งทนายความให้จำเลย ตามมาตรา 173 วรรคสอง (ฎ. 2063/2530)
สรุป ทั้งสองกรณีดังกล่าวข้างต้น ศาลต้องตั้งทนายความให้จำเลย
ข้อ 3 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันปล้นทรัพย์รถจักรยานยนต์ของกลางของผู้เสียหายไปโดยทุจริตขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การปฏิเสธอ้างฐานที่อยู่ ส่วนจำเลยที่ 3 ให้การปฏิเสธว่ามิได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 เพียงแต่รับซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางไว้จากจำเลยที่ 1 และที่ 2 เท่านั้น ศาลสืบพยานแล้วได้ความจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบว่าเฉพาะจำเลยที่ 1 และที่ 2 เท่านั้นที่ร่วมกันชิงทรัพย์รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย จำเลยที่ 3 หาได้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ด้วยไม่ แต่ได้ความจากพยานหลักฐานของจำเลยที่ 3 เองที่นำสืบว่า จำเลยที่ 3 เพียงแต่มีส่วนกระทำความผิดด้วยการรับซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางไว้จากจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้มาจากการชิงทรัพย์ผู้เสียหาย
ให้วินิจฉัยว่า ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ได้หรือไม่ เพียงใด
ธงคำตอบ
มาตรา 192 วรรคสอง วรรคสามและวรรคหก ถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง ให้ศาลยกฟ้องคดีนั้น เว้นแต่ข้อแตกต่างนั้นมิใช่ในข้อสาระสำคัญและทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลจะลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นก็ได้
ในกรณีที่ข้อแตกต่างนั้นเป็นเพียงรายละเอียด เช่น เกี่ยวกับเวลาหรือสถานที่กระทำความผิดหรือต่างกันระหว่างการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ฉ้อโกง โกงเจ้าหนี้ ยักยอก รับของโจร และทำให้เสียทรัพย์ หรือต่างกันระหว่างการกระทำผิดโดยเจตนากับประมาท มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญทั้งนี้มิให้ถือว่าข้อที่พิจารณาได้ความนั้นเป็นเรื่องเกินคำขอหรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ เว้นแต่จะปรากฏแก่ศาลว่าการที่ฟ้องผิดไปเป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้ แต่ทั้งนี้ศาลจะลงโทษจำเลยเกินอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดที่โจทก์ฟ้องไม่ได้
ถ้าความผิดตามที่ฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่าง แต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลจะลงโทษจำเลยในการกระทำผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่พิจารณาได้ความก็ได้
วินิจฉัย
ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ได้หรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามฟ้อง ย่อมรวมการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ซึ่งอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ดังนั้นแม้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ แต่ศาลสืบพยานแล้วได้ความจากพยานหลักฐานของโจทก์ว่า เฉพาะจำเลยที่ 1 และที่ 2 เท่านั้นที่ร่วมกันชิงทรัพย์รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย ศาลย่อมมีอำนาจตามมาตรา 192 วรรคหก ที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยฐานร่วมกันชิงทรัพย์ตามที่พิจารณาได้ความก็ได้
(ฎ. 2161/2531)
ส่วนในกรณีของจำเลยที่ 3 ได้ความว่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 3 ฐานร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฐานปล้นทรัพย์แม้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาได้ความว่าจำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานรับของโจรซึ่งถือไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับฟ้องในข้อสาระสำคัญ เพราะการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามฟ้อง ก็เป็นการลักทรัพย์โดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ซึ่งความผิดฐานลักทรัพย์กับความผิดฐานรับของโจร ตามมาตรา 192 วรรคสาม ถือเป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียด มิใช่ข้อแตกต่างในข้อสาระสำคัญ (ฎ. 1043/2535)
แต่อย่างไรก็ดี ตามบทบัญญัติ มาตรา 192 วรรคสองนั้น การที่ศาลจะมีอำนาจลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความได้นั้น นอกจากจะได้ความว่าข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องในข้อที่มิใช่สาระสำคัญแล้วยังต้องปรากฏด้วยว่าจำเลยมิได้หลงต่อสู้ด้วย คดีนี้ปรากฏว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความว่าจำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานรับของโจรนั้น เป็นการได้ความจากพยานหลักฐานของจำเลยที่ 3 เองที่นำสืบว่า จำเลยที่ 3 เพียงแต่มีส่วนกระทำความผิดด้วยการรับซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางไว้จากจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้มาจากการชิงทรัพย์ของผู้เสียหายใช่ได้ความจากการนำสืบพยานของโจทก์ไม่ กรณีจึงต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความว่าจำเลยที่ 3 กระทำผิดฐานรับของโจรนั้น เกิดจากจำเลยที่ 3 หลงต่อสู้ ดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาว่าจำเลยที่ 3 กระทำผิดฐานรับของโจรจะแตกต่างกับฟ้องฐานปล้นทรัพย์ในข้อที่มิใช่สาระสำคัญ แต่เมื่อจำเลยที่ 3 หลงต่อสู้ กรณีก็ไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ ตามมาตรา 192 วรรคสอง ครบถ้วนที่ศาลจะมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 3 ฐานรับของโจรตามที่พิจารณาได้ความได้ ศาลจึงไม่มีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานรับของโจรตามที่พิจารณาได้ความตามมาตรา 192 วรรคสอง ประกอบวรรคสามได้
สรุป ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์ตามที่พิจารณาได้ความได้ แต่สำหรับจำเลยที่ 3 ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง
ข้อ 4 พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานวิ่งราวทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(8) ลงโทษจำคุก 2 ปี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ให้มีกำหนด 1 ปี โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยให้หนักขึ้น ส่วนจำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ลงโทษปรับ 6,000 บาท
ดังนี้ จำเลยจะฎีกาขอให้ศาลลดโทษปรับได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 218 ในคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างหรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี หรือปรับหรือทั้งจำทั้งปรับแต่โทษจำคุกไม่เกินห้าปีห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ในคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างหรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยเกินห้าปี ไม่ว่าจะมีโทษอย่างอื่นด้วยหรือไม่ ห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
มาตรา 219 ในคดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำเลยไม่เกินกำหนดที่ว่ามานี้ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ข้อห้ามนี้มิให้ใช้แก่จำเลยในกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลย
วินิจฉัย
จำเลยจะฎีกาขอให้ศาลลดโทษปรับได้หรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยฎีกาขอให้ศาลลดโทษปรับ เป็นการฎีกาในปัญหาที่สืบเนื่องจากการที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลยพินิจลงโทษปรับจำเลย 6,000 บาท ฎีกาของจำเลยจึงเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 335(8) ลงโทษจำคุก 2 ปี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี และศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 334 ลงโทษปรับ 6,000 บาท เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์เปลี่ยนโทษจำคุกที่ศาลชั้นต้นรอการลงโทษมาเป็นปรับโทษอย่างเดียวและยังเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์เปลี่ยนทั้งบทลงโทษและโทษด้วย จึงถือว่าเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขมาก ในกรณีนี้จึงไม่ต้องห้ามฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 218 แต่ก็ต้องพิจารณาตามมาตรา 219 ต่อไป
เมื่อพิจารณาตามมาตรา 219 แล้วได้ความว่า การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต่างพิพากษาลงโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท ตามมาตรา 219 ห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่มีข้อยกเว้นให้จำเลยฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงได้ ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขมาก และเพิ่มเติมโทษจำเลยด้วย
ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว แม้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย แต่ก็มีเงื่อนไขให้รอการลงโทษจำคุก ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยมากกว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ลงโทษปรับอย่างเดียว กรณีนี้ถือว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย (ฎ. 4525/2533)
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขมาก และเพิ่มเติมโทษจำเลยด้วย จำเลยจึงฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงได้ ตามมาตรา 219
สรุป จำเลยฎีกาขอให้ศาลลดโทษปรับได้