การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2548
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3008 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 2
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน
ข้อ 1 คดีอาญาเรื่องหนึ่ง โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ.2546 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง ที่ตำบลนาเกลืออำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง
ในชั้นพิจารณา เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ทนายจำเลยแถลงต่อศาลว่าวันที่โจทก์หาว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องต่างกับคำเบิกความของพยานโจทก์ โจทก์รู้ว่าฟ้องผิดวัน จึงยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้อง โดยขอแก้ไขวันเวลาเกิดเหตุเป็นวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2546 เวลากลางคืนหลังเที่ยง อ้างว่าคำฟ้องเดิมคลาดเคลื่อนเนื่องจากความบกพร่องของผู้พิมพ์คำฟ้อง เช่นนี้ ศาลจะพึงอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 163 เมื่อมีเหตุอันควร โจทก์มีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น ถ้าศาลเห็นสมควรจะอนุญาตหรือจะสั่งให้ไต่สวนมูลฟ้องเสียก่อนก็ได้ เมื่ออนุญาตแล้วให้ส่งสำเนาแก้ฟ้องหรือฟ้องเพิ่มเติมแก่จำเลยเพื่อแก้ และศาลจะสั่งแยกสำนวนพิจารณาฟ้องเพิ่มเติมนั้นก็ได้
มาตรา 164 คำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องนั้น ถ้าจะทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดี ห้ามมิให้ศาลอนุญาตแต่การแก้ฐานความผิดหรือรายละเอียดซึ่งต้องแถลงในฟ้องก็ดี การเพิ่มเติมฐานความผิดหรือรายละเอียดซึ่งมิได้กล่าวไว้ก็ดี ไม่ว่าจะทำเช่นนี้ในระยะใดระหว่างพิจารณาในศาลชั้นต้นมิให้ถือว่าทำให้จำเลยเสียเปรียบ เว้นแต่จำเลยได้หลงต่อสู้ในข้อที่ผิดหรือที่มิได้กล่าวไว้นั้น
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว การที่ศาลจะอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องนั้น ต้องได้ความว่า โจทก์ได้ปฏิบัติถูกต้องตามเงื่อนไขในวิธีการและไม่ต้องห้ามเงื่อนไขในเนื้อหา ซึ่งแยกพิจารณาดังนี้
1 เงื่อนไขในวิธีการ โจทก์ต้องยื่นคำร้องก่อนมีคำพิพากษาของศาล ตามมาตรา 163 วรรคแรก
2 เงื่อนไขในเนื้อหา คำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมของโจทก์ ต้องไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดี ตามมาตรา 164
กรณีตามอุทาหรณ์ โจทก์ได้ขอแก้ไขคำฟ้องก่อนมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้น โดยทำเป็นคำร้องอ้างเหตุว่า คำฟ้องเดิมคลาดเคลื่อนเนื่องจากความบกพร่องของผู้พิมพ์คำร้อง ซึ่งถือได้ว่ามีเหตุอันสมควร (ฎ. 1967/2497
(ฎ. 1377/2513) การขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าว จึงถูกต้องตามเงื่อนไขในวิธีการ ตามมาตรา 163
สำหรับเนื้อหาที่โจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องนั้น โจทก์ขอแก้วันเวลาเกิดเหตุจากวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2546 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง เป็นวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2546 เวลากลางคืนหลังเที่ยง แต่เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง และการที่ทนายจำเลยแถลงต่อศาลว่าวันที่โจทก์หาว่ากระทำความผิดตามฟ้องต่างกับคำเบิกพยานโจทก์ ซึ่งเป็นการที่จำเลยถือเอาวันที่โจทก์กล่าวหาตามฟ้องเดิมเป็นหลักสำคัญในการต่อสู้คดี กรณีจึงถือได้ว่า จำเลยได้หลงต่อสู้ในข้อที่โจทก์เขียนไว้ผิดในคำฟ้องเดิมกรณีเช่นนี้ หากศาลอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องตามคำร้องของโจทก์ จะทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดี จึงห้ามมิให้ศาลอนุญาตตามมาตรา 164
สรุป ศาลพึงไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้อง
ข้อ 2 คดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ในระหว่างการพิจารณาไต่สวนมูลฟ้อง ถ้าปรากฏดังกรณีต่อไปนี้
(ก) ในวันศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง ทนายโจทก์มาศาลแต่ตัวโจทก์และพยานโจทก์ไม่มาศาล โดยไม่มีเหตุอันควร
(ข) เมื่อศาลทำการไต่สวนมูลฟ้องโจทก์เสร็จแล้ว ระหว่างศาลให้โจทก์รอฟังคำสั่งหรือคำพิพากษา ปรากฏว่าโจทก์ไม่ได้ลงชื่อในท้ายคำฟ้อง ทนายโจทก์จึงแถลงต่อศาลด้วยวาจา ขออนุญาตให้ตัวโจทก์ลงชื่อในท้ายคำฟ้อง ดังนี้
ทั้งสองกรณีดังกล่าวให้วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งหรือคำพิพากษาอย่างไร จึงจะชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ธงคำตอบ
มาตรา 158 ฟ้องต้องทำเป็นหนังสือ และมี
(7) ลายมือชื่อโจทก์ ผู้เรียง ผู้เขียนหรือพิมพ์ฟ้อง
มาตรา 163 เมื่อมีเหตุอันควร โจทก์มีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น ถ้าศาลเห็นสมควรจะอนุญาตหรือจะสั่งให้ไต่สวนมูลฟ้องเสียก่อนก็ได้ เมื่ออนุญาตแล้วให้ส่งสำเนาแก้ฟ้องหรือฟ้องเพิ่มเติมแก่จำเลยเพื่อแก้ และศาลจะสั่งแยกสำนวนพิจารณาฟ้องเพิ่มเติมนั้นก็ได้
มาตรา 167 ถ้าปรากฏว่าคดีมีมูล ให้ศาลประทับฟ้องไว้พิจารณาต่อไปเฉพาะกระทงที่มีมูล ถ้าคดีไม่มีมูลให้พิพากษายกฟ้อง
วินิจฉัย
(ก) โดยหลักแล้ว ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ก่อนที่ศาลจะประทับรับฟ้องไว้พิจารณา โจทก์จะต้องนำพยานหลักฐานมาสืบให้ศาลรับฟังได้ว่าคดีมีมูลจึงจะประทับรับฟ้องไว้พิจารณา หากศาลเห็นว่าไม่มีมูลศาลก็จะยกฟ้อง ตามที่มีบทบัญญัติไว้ในมาตรา 167
กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อได้ความว่าในวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง ทนายโจทก์มาศาล แต่ตัวโจทก์และพยานโจทก์ไม่มาศาล โดยไม่มีเหตุอันสมควร จึงถือว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องให้ศาลเห็นว่า คดีโจทก์มีมูลตามที่กล่าวหาจำเลยในฟ้อง (ฎ. 1382/2492) ศาลชั้นต้นจะต้องยกฟ้องโจทก์ จึงจะชอบตามมาตรา 167
ข) โดยหลักแล้ว การฟ้องคดีอาญาตามบทบัญญัติของมาตรา 158(7) ตัวโจทก์จะต้องลงชื่อในท้ายคำฟ้อง ฟ้องนั้นจึงจะสมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมาย (ฎ. 229/2490) แต่ในกรณีระหว่างการพิจารณา ถ้าปรากฏว่าตัวโจทก์ไม่ได้ลงชื่อในท้ายคำฟ้อง ทนายโจทก์ก็มีอำนาจตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 163 ยื่นคำร้องต่อศาลขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้อง ก่อนมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้
กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อปรากฏว่าหลังจากที่ศาลทำการไต่สวนมูลฟ้องคดีโจทก์เสร็จแล้ว ในระหว่างที่ศาลให้โจทก์รอฟังคำสั่งหรือคำพิพากษา ปรากฏว่าตัวโจทก์ไม่ได้ลงชื่อในท้ายคำฟ้อง ซึ่งไม่ชอบด้วยบทบัญญัติ มาตรา 158(7) ทนายโจทก์จึงได้แถลงด้วยวาจาต่อศาลขออนุญาตให้โจทก์ลงชื่อในท้ายคำฟ้อง ซึ่งเป็นการขัดต่อบทบัญญัติ มาตรา 163 ที่บังคับไว้ว่า การขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องโจทก์จะต้องทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลจะแถลงด้วยวาจาของแก้ไขเพิ่มเติมต่อศาลนั้นไม่ได้
ดังนั้น กรณีดังกล่าวศาลชั้นต้นชอบที่จะยกคำแถลงด้วยวาจาของทนายโจทก์แล้วมีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ เพราะคำฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของมาตรา 158 (ฎ. 620/2483)
สรุป
(ก) ศาลชั้นต้นจะต้องยกฟ้องโจทก์
(ข) ศาลชั้นต้นต้องยกคำแถลงด้วยวาจาของทนายโจทก์ แล้วมีคำพิพากษายกฟ้อง
ข้อ 3 คดีอาญาเรื่องหนึ่ง พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 (กำหนดระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปีและปรับไม่เกินสองหมื่นบาท) จำเลยให้การปฏิเสธและนำสืบพยานว่าเหตุเกิดขึ้นมิใช่เนื่องจากความประมาทของจำเลย แต่เกิดเหตุขึ้นเนื่องจากผู้ตายแย่งปืนไปจากเอวของจำเลย จำเลยตกใจจึงกระชากปืนจากผู้ตาย ปืนจึงลั่นถูกผู้ตาย
ในทางพิจารณา ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยแย่งปืนคืนจากผู้ตาย เมื่อจำเลยแย่งปืนคืนมาได้แล้ว จำเลยได้ใช้ปืนยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่าซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 (กำหนดระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าถึงยี่สิบปี) เช่นนี้ ศาลพึงพิพากษาคดีนี้อย่างไรจึงจะชอบด้วยวิธีพิจารณา
ธงคำตอบ
มาตรา 192 วรรคสองและวรรคสาม ถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง ให้ศาลยกฟ้องคดีนั้น เว้นแต่ข้อแตกต่างนั้นมิใช่ในข้อสาระสำคัญและทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลจะลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นก็ได้
ในกรณีที่ข้อแตกต่างนั้นเป็นเพียงรายละเอียด เช่น เกี่ยวกับเวลาหรือสถานที่กระทำความผิดหรือต่างกันระหว่างการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ฉ้อโกง โกงเจ้าหนี้ ยักยอก รับของโจร และทำให้เสียทรัพย์ หรือต่างกันระหว่างการกระทำผิดโดยเจตนากับประมาท มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญทั้งนี้มิให้ถือว่าข้อที่พิจารณาได้ความนั้นเป็นเรื่องเกินคำขอหรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ เว้นแต่จะปรากฏแก่ศาลว่าการที่ฟ้องผิดไปเป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้ แต่ทั้งนี้ศาลจะลงโทษจำเลยเกินอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดที่โจทก์ฟ้องไม่ได้
วินิจฉัย
พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตาม ป.อ. มาตรา 291 ในทางพิจารณาข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตาม ป.อ. มาตรา 288 กรณีเช่นนี้ ตามมาตรา 192 วรรคสาม มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญ เว้นแต่ปรากฏว่าการที่ฟ้องผิดไปเป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้ แต่ทั้งนี้ศาลจะลงโทษจำเลยเกินอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดที่โจทก์ฟ้องไม่ได้
ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว จำเลยให้การปฏิเสธและนำสืบพยานว่าเหตุเกิดขึ้นเนื่องจากผู้ตายแย่งปืนไปจากเอวของจำเลย จำเลยตกใจจึงกระชากปืนจากผู้ตาย ปืนจึงลั่นถูกผู้ตาย คำให้การต่อสู้ของจำเลยดังกล่าวนี้เป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยมิได้หลงหยิบยกเอาข้อที่ฟ้องผิดหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องมาเป็นสาระสำคัญในการต่อสู้คดีของจำเลย จำเลยจึงมิได้หลงต่อสู้
เมื่อปรากฏว่าข้อแตกต่างระหว่างข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณากับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องเป็นข้อแตกต่างมิใช่ในข้อสาระสำคัญและจำเลยมิได้หลงต่อสู้ กรณีเช่นนี้ศาลจะลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความในการพิจารณาก็ได้ โดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ แต่ทั้งนี้ ศาลจะลงโทษจำเลยเกินอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดที่โจทก์ฟ้องไม่ได้
ดังนั้น คดีนี้ศาลพึงพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตาม ป.อ. มาตรา 288 แต่ทั้งนี้ศาลจะลงโทษจำเลยได้เพียงจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท ตาม ป.อ. มาตรา 291
สรุป ศาลพึงพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตาม ป.อ. มาตรา 288 แต่ทั้งนี้ศาลจะลงโทษจำเลยได้เพียงจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท ตาม ป.อ. มาตรา 291
ข้อ 4 พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1) (ระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท) จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 (ระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีและปรับไม่เกินหกพันบาท) ลงโทษจำคุก 1 ปี โจทก์อุทธรณ์ ขอให้ศาลลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1) ส่วนจำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1) ลงโทษจำคุก 4 ปี
จำเลยฎีกาฝ่ายเดียวขอให้ศาลลงโทษจำคุกจำเลย 5 ปี ซึ่งเป็นโทษจำคุกสูงสุดที่กฎหมายกำหนดไว้ ศาลฎีกาพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1) ไม่มีเหตุอันควรปราณี จึงให้ลงโทษจำคุกจำเลย 5 ปี ตามฎีกาของจำเลย ดังนี้
(ก) คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
(ข) คำพิพากษาศาลฎีกาชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 212 คดีที่จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาที่ให้ลงโทษ ห้ามมิให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย เว้นแต่โจทก์จะได้อุทธรณ์ในทำนองนั้น
มาตรา 220 ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในคดีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์
มาตรา 225 ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณา และว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งชั้นอุทธรณ์มาบังคับในชั้นฎีกาโดยอนุโลม เว้นแต่ห้ามมิให้ทำความเห็นแย้ง
วินิจฉัย
(ก) ตามมาตรา 212 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า การที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยได้นั้น จะต้องเป็นกรณีที่โจทก์ได้อุทธรณ์ในทำนองที่ขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลยด้วย
กรณีตามอุทาหรณ์ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 334 ลงโทษจำคุก 1 ปี การที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลลงโทษจำเลย ตาม ป.อ. มาตรา 335(1) ถือได้ว่าโจทก์ได้อุทธรณ์ในทำนองที่ขอให้ศาลพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยแล้ว เมื่อได้ความว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. 335(1) ลงโทษจำคุก 4 ปี ในกรณีเช่นนี้ เมื่อโจทก์ได้อุทธรณ์ในทำนองที่ขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลยแล้ว คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 212
(ข) ตามมาตรา 225 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า ในชั้นฎีกาให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาคำพิพากษาหรือคำสั่งในศาลชั้นอุทธรณ์มาใช้บังคับในชั้นฎีกาโดยอนุโลม ดังนั้น การที่ศาลฎีกาจะพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยได้นั้น จะต้องเป็นกรณีที่โจทก์ได้ฎีกาในทำนองที่ขอให้เพิ่มเติมจำเลยด้วยเช่นเดียวกัน
เมื่อได้ความว่าจำเลยฎีกาฝ่ายเดียว แม้จำเลยจะฎีกาขอให้ศาลลงโทษจำคุกจำเลย 5 ปี อันถือว่าเป็นการฎีกาขอให้ศาลเพิ่มเติมโทษจำเลยแล้ว แต่อย่างไรก็ดี เมื่อโจทก์ไม่ได้ฎีกาขอให้ศาลพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยด้วย ศาลฎีกาจึงไม่สามารถพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยได้ ดังนั้น การที่ศาลฎีกาพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 335(1) จึงเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ตามมาตรา 212 ประกอบมาตรา 225 (เทียบ ฎ. 3741/2540)
สรุป
(ก) คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมาย
(ข) คำพิพากษาของศาลฎีกาไม่ชอบด้วยกฎหมาย