การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3008 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 2 

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  คดีอาญาเรื่องหนึ่ง  นายสมบูรณ์ราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องว่านางสมศรีกล่าววาจาหมิ่นประมาทตนขอให้ศาลลงโทษนางสมศรีในความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  326  ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้อง  วินิจฉัยว่าคดีไม่มีมูล  พิพากษายกฟ้อง  นายสมบูรณ์อุทธรณ์  ถ้าปรากฏว่า

(ก)  ศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลชั้นต้นปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกระบวนการไต่สวนมูลฟ้อง  จึงพิพากษาสั่งให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนมูลฟ้องใหม่แล้วพิพากษาหรือสั่งใหม่ตามรูปคดี  กรณีหนึ่ง

(ข)  ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคดีมีมูล  จึงสั่งประทับรับฟ้อง  อีกกรณีหนึ่ง

ในแต่ละกรณีดังกล่าว  นางสมศรีจะฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  165  วรรคสาม  ในคดีราษฎรเป็นโจทก์  ศาลมีอำนาจไต่สวนมูลฟ้องลับหลังจำเลยให้ศาลส่งสำเนาฟ้องแก่จำเลยรายตัวไป  กับแจ้งวันนัดไต่สวนให้จำเลยทราบ  จำเลยจะมาฟังการไต่สวนมูลฟ้องโดยตั้งทนายให้ซักค้านพยานโจทก์ด้วยหรือไม่ก็ได้  หรือจำเลยจะไม่มา  แต่ตั้งทนายมาซักค้านพยานโจทก์ก็ได้  ห้ามมิให้ศาลถามคำให้การจำเลย  และก่อนที่ศาลประทับฟ้องมิให้ถือว่าจำเลยอยู่ในฐานะเช่นนั้น

มาตรา  170  วรรคแรก  คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด  แต่คำสั่งที่ว่าคดีไม่มีมูลนั้นโจทก์มีอำนาจอุทธรณ์ฎีกาได้ตามบทบัญญัติว่าด้วยลักษณะอุทธรณ์ฎีกา

วินิจฉัย

(ก)  โดยหลักแล้ว  ในคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญา  ผู้ถูกฟ้องจะยังไม่มีฐานะเป็นจำเลยจนกว่าศาลจะสั่งประทับฟ้อง

นายสมบูรณ์  ราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญานางสมศรี  ศาลชั้นต้นได้ไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่าคดีไม่มีมูล  พิพากษายกฟ้องในกรณีนี้  เมื่อศาลยังไม่ประทับฟ้องนางสมศรีจึงไม่ถือว่าอยู่ในฐานะเป็นจำเลย  จึงยังไม่เป็นคู่ความในคดี  เมื่อนายสมบูรณ์ยื่นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์พิพากษาสั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษาหรือสั่งใหม่ตามรูปคดี  นางสมศรีซึ่งยังไม่มีฐานะเป็นคู่ความจึงไม่มีสิทธิฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ได้  ตามมาตรา  165  วรรคสาม  (ฎ. 3711/2530  ฎ. 3877/2528)

(ข)  เมื่อนายสมบูรณ์ยื่นอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วสั่งว่าคดีมีมูลประทับฟ้อง  ในกรณีนี้แม้ได้ความว่า  นางสมศรีผู้ถูกฟ้องจะมีฐานะเป็นจำเลยแล้วก็ตาม  แต่คำสั่งศาลอุทธรณ์ที่สั่งว่าคดีมีมูลนั้นเด็ดขาดแล้ว  นางสมศรีจึงฎีกาโต้แย้งคำสั่งของศาลอุทธรณ์ไม่ได้  ตามมาตรา  170  วรรคแรก  (ฎ. 1895/2519)

สรุป

(ก)  นางสมศรีจะฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ไม่ได้

(ข)  นางสมศรีจะฎีกาโต้แย้งคำสั่งของศาลอุทธรณ์ไม่ได้

 

ข้อ  2  พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาล  ขอให้ลงโทษในคดีอาญาเรื่องหนึ่ง  แต่ในวันโจทก์ยื่นฟ้องโจทก์ไม่มีตัวจำเลยมาส่งศาลพร้อมกับคำฟ้อง  เพราะเหตุว่า

(ก)  ก่อนโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้  จำเลยถูกศาลออกหมายขังไว้ในระหว่างการสอบสวนคดีนี้  แต่จำเลยได้หลบหนีไปจากที่คุมขังก่อนโจทก์ยื่นฟ้อง

(ข)  จำเลยถูกศาลออกหมายขังไว้ในคดีเรื่องอื่น  แต่จำเลยได้หลบหนีไปจากที่คุมขังก่อนที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้

ทั้ง  2  กรณีดังกล่าว  ขอให้ท่านวินิจฉัยว่า  ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้รับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาดำเนินการต่อไปหรือไม่  เพราะเหตุใด  จึงจะเป็นการชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยกระบวนพิจารณาความ

ธงคำตอบ

มาตรา  165  วรรคแรก  ในคดีซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์  ในวันไต่สวนมูลฟ้องให้จำเลยมาหรือคุมตัวมาศาล  ให้ศาลส่งสำเนาฟ้องแก่จำเลยรายตัวไป  เมื่อศาลเชื่อว่าเป็นจำเลยจริงแล้ว  ให้อ่านและอธิบายฟ้องให้ฟังและถามว่าได้กระทำผิดจริงหรือไม่  จะให้การต่อสู้อย่างไรบ้าง  คำให้การของจำเลยให้จดไว้  ถ้าจำเลยไม่ยอมให้การก็ให้ศาลจดรายงานไว้  และดำเนินการต่อไป

วินิจฉัย

ในคดีซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์  โดยหลักแล้วในวันที่โจทก์ยื่นฟ้องพนักงานอัยการต้องนำตัวจำเลยมาส่งศาลพร้อมกับคำฟ้องด้วย  เว้นแต่ในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องนั้น  จำเลยอยู่ในอำนาจศาลแล้ว  กรณีเช่นนี้พนักงานอัยการจะยื่นฟ้องโดยไม่จำต้องนำจำเลยมาศาลก็ได้

(ก)  ก่อนอัยการโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยในคดีเรื่องนี้ศาลชั้นต้นได้ออกหมายขังไว้ในระหว่างการสอบสวนคดีเรื่องเดียวกันนี้  แต่เมื่อได้ความว่าจำเลยซึ่งเป็นผู้ต้องหาในขณะนั้นได้หลบหนีไปก่อนที่อัยการจะยื่นฟ้องในกรณีนี้ถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้อยู่ในอำนาจศาลในคดีนี้แล้ว  ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นรับฟ้องไว้ดำเนินการต่อไป  จึงเป็นการชอบด้วยกระบวนพิจารณา  ตามมาตรา  165  วรรคแรก  (ฎ. 1735/2514 (ประชุมใหญ่))

(ข)  ก่อนอัยการโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้  จำเลยได้ต้องขังตามอำนาจศาลในคดีเรื่องอื่นแล้วหลบหนีไป  กรณีเช่นนี้  ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้อยู่ในอำนาจศาลในคดีที่อัยการโจทก์ยื่นฟ้อง  อัยการโจทก์จะมาฟ้องจำเลยในคดีอีกเรื่องหนึ่งในคดีนี้โดยไม่มีตัวจำเลยมาส่งศาลพร้อมกับคำฟ้องนั้นไม่ได้  ดังนั้นศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะสั่งไม่รับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา  จึงจะเป็นการชอบด้วยกระบวนพิจารณา  ตามมาตรา  165  วรรคแรก  (ฎ. 766/2504)

สรุป 

(ก)  ศาลชั้นต้นชอบที่จะรับฟ้องไว้ดำเนินการต่อไป

(ข)  ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งไม่รับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา

 

ข้อ  3  คดีอาญาเรื่องหนึ่ง  พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องว่านายแดงจำเลยกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์  ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  336  ซึ่งกำหนดระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีและปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท  นายแดงจำเลยให้การรับสารภาพ  ศาลสั่งให้โจทก์สืบพยานประกอบคำรับสารภาพของจำเลย  ในการพิจารณาและสืบพยานได้ความว่าการกระทำของนายแดงเป็นเพียงความผิดฐานลักทรัพย์  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  334  ซึ่งกำหนดระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีและปรับไม่เกินหกพันบาท  เช่นนี้  ศาลพึงพิพากษาคดีนี้อย่างไรจึงจะชอบด้วยวิธีพิจารณา

ธงคำตอบ

มาตรา  192  วรรคหก  ถ้าความผิดตามที่ฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่าง  แต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง  ศาลจะลงโทษจำเลยในการกระทำผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่พิจารณาได้ความก็ได้

วินิจฉัย

พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องว่า  นายแดงจำเลยกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์  นายแดงจำเลยให้การรับสารภาพ  ศาลสั่งให้โจทก์สืบพยานประกอบคำรับสารภาพของจำเลย  ในการพิจารณาและสืบพยานได้ความว่า  การกระทำของนายแดงจำเลยเป็นเพียงความผิดฐานลักทรัพย์ เมื่อความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ประกอบด้วยการลักทรัพย์โดยใช้กริยาฉกฉวยเอาซึ่งหน้า  ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์จึงรวมการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ด้วย  เมื่อศาลฟังว่าไม่เป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์  เพราะจำเลยไม่ได้ใช้กริยาฉกฉวยเอาซึ่งหน้าคงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์  ศาลก็มีอำนาจลงโทษฐานลักทรัพย์ได้  ตามมาตรา  192  วรรคหก  ดังนั้น  ศาลพึงพิพากษาลงโทษนายแดงจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์  (ฎ. 191/2532  ฎ. 7953/2540)

สรุป  ศาลพึงพิพากษาลงโทษนายแดงจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์

 

ข้อ  4  พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตาย (ระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปีและปรับไม่เกินสองหมื่นบาท)  จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องพร้อมทั้งมีคำขอให้ศาลลงโทษสถานเบา  และขอให้ศาลรอการลงโทษจำคุกด้วย  ทั้งโจทก์และจำเลยต่างแถลงไม่ขอสืบพยาน

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า  จำเลยมีความผิดตามฟ้องโจทก์  ลงโทษจำคุก  4  ปี  จำเลยรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง  คงให้ลงโทษจำคุกจำเลย  2  ปี

ดังนี้  จำเลยจะอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงว่า  จำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้องโจทก์ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  15  วิธีพิจารณาข้อใดซึ่งประมวลกฎหมายนี้มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ  ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  225  วรรคแรก  ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างในการยื่นอุทธรณ์นั้นคู่ความจะต้องกล่าวไว้โดยชัดแจ้งในอุทธรณ์  และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น  ทั้งจะต้องเป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยด้วย

วินิจฉัย

การอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง  แม้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาจะมิได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่าต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น  เหมือนกับการอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายตามมาตรา  195  วรรคสอง  ที่ว่าข้อกฎหมายที่อุทธรณ์เป็นข้อกฎหมายที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นก็ตาม  แต่อย่างไรก็ดี  กรณีนี้ต้องนำ  ป.วิ.พ.  มาตรา  225  มาใช้บังคับโดยอนุโลม  เป็นผลให้ปัญหาข้อเท็จจริงที่จะอุทธรณ์ต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นด้วย  (ฎ. 900/2509 (ประชุมใหญ่) ฎ. 1609/2535)

เมื่อได้ความว่าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องในศาลชั้นต้นพร้อมทั้งขอให้ศาลลงโทษสถานเบา  และขอให้รอการลงโทษจำคุก  เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วจำเลยจะมาอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้องโจทก์ไม่ได้  เพราะข้อเท็จจริงเรื่องนี้จำเลยไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ในศาลชั้นต้นมาก่อนจึงต้องห้ามตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  225  ประกอบมาตรา  15

สรุป  จึงเลยจึงอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้องโจทก์ไม่ได้

Advertisement