การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2551
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3008 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 2
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ต่อมาในวันที่ 29 กรกฎาคม 2551 พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องนายทรงสิทธิ์ในความผิดเรื่องเดียวกัน และข้อหาเดียวกันต่อศาลอีก ศาลมีคำสั่งไม่รับฟ้องทุกฐานความผิด
ดังนี้ คำพิพากษายกฟ้องและคำสั่งไม่รับฟ้องของศาลชอบหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 166 ถ้าโจทก์ไม่มาตามกำหนดนัด ให้ศาลยกฟ้องเสีย แต่ถ้าศาลเห็นว่ามีเหตุสมควรจึงมาไม่ได้ จะสั่งเลื่อนคดีไปก็ได้
คดีที่ศาลได้ยกฟ้องดังกล่าวแล้ว ถ้าโจทก์มาร้องภายในสิบห้าวัน นับแต่วันศาลยกฟ้องนั้น โดยแสดงให้ศาลเห็นได้ว่ามีเหตุสมควรจึงมาไม่ได้ ก็ให้ศาลยกคดีนั้นขึ้นไต่สวนมูลฟ้องใหม่
ในคดีที่ศาลยกฟ้องดังกล่าวแล้ว จะฟ้องจำเลยในเรื่องเดียวกันนั้นอีกไม่ได้ แต่ถ้าศาลยกฟ้องเช่นนี้ในคดีซึ่งราษฎรเท่านั้นเป็นโจทก์ ไม่ตัดอำนาจพนักงานอัยการฟ้องคดีนั้นอีก เว้นแต่จะเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว
วินิจฉัย
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า คำพิพากษายกฟ้องของศาลชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ตามบทบัญญัติมาตรา 166 วรรคแรก ได้กำหนด
หน้าที่ของโจทก์ไว้ว่า “ในวันไต่สวนมูลฟ้องโจทก์จะต้องมาศาลตามกำหนดนัด มิฉะนั้นก็ให้ศาลยกฟ้องเสีย เว้นแต่จะมีเหตุสมควร ศาลจึงจะเลื่อนคดี
ไป” จากบทบัญญัติดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายที่จะเร่งรัดการดำเนินกระบวนพิจารณาให้เป็นไปโดยสะดวกและรวดเร็วมิให้มีการประวิงคดี จึงกำหนดมาตรการดังกล่าวเพื่อให้โจทก์ปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด มิฉะนั้นย่อมเสี่ยงต่อการที่จะถูกยกฟ้อง อันเป็นผลเสียต่อคดีของโจทก์เอง ซึ่งข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ศาลมีคำสั่งให้นัดไต่สวนมูลฟ้อง ในวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 เวลา 9.00 น. และโจทก์ก็ทราบนัดโดยชอบแล้ว กรณีเช่นนี้ โจทก์ก็มีหน้าที่ต้องไปศาลตามกำหนดนัด แต่กลับไม่มีผู้ใดมาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนคดี
ถึงแม้จะปรากกข้อเท็จจริงว่า การส่งหมายนัดและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยโดยวิธีปิดหมายยังไม่มีผลใช้ได้ตามกฎหมายก็หาทำให้โจทก์หมดหน้าที่ที่จะต้องไปศาลตามกำหนดนัดไม่ เมื่อโจทก์และทนายโจทก์ไม่มาศาล การที่ศาลพิพากษายกฟ้องจึงชอบแล้ว (ฎ. 2085/2547)
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า คำสั่งไม่รับฟ้องของศาลชอบหรือไม่ เห็นว่า ตามมาตรา 166 วรรคสาม บัญญัติว่า “ในคดีที่ศาลยกฟ้องดังกล่าวแล้ว จะฟ้องจำเลยในเรื่องเดียวกันนั้นอีกไม่ได้ แต่ถ้าศาลยกฟ้องเช่นนี้ในคดีซึ่งราษฎรเท่านั้นเป็นโจทก์ ไม่ตัดอำนาจพนักงานอัยการฟ้องคดีนั้นอีก เว้นแต่จะเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว” ซึ่งตามข้อเท็จจริงดังกล่าวการที่ธนาคารสยาม จำกัด ซึ่งถือว่าเป็นราษฎรเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายทรงสิทธิ์เป็นจำเลยในความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 มาตรา 268 และมาตรา 341 และศาลยกฟ้อง ปัญหาจึงมีว่า เมื่อพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องนายทรงสิทธิ์ในความผิดเรื่องเดียวกันและข้อหาเดียวกันต่อศาลอีก ความผิดฐานใดจะฟ้องนายทรงสิทธิ์ได้อีก ซึ่งแยกพิจารณาดังนี้
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 และมาตรา 268 ไม่ใช่ความผิดต่อส่วนตัวศาลยกฟ้องเช่นนี้ในคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ ไม่ตัดอำนาจพนักงานอัยการฟ้องคดีนั้นอีก พนักงานอัยการจึงมีอำนาจฟ้องนายทรงสิทธิ์ได้อีก ที่ศาลมีคำสั่งไม่รับฟ้อง 2 ฐานนี้จึงไม่ชอบ
ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 เป็นความผิดต่อส่วนตัว เมื่อศาลยกฟ้องเช่นนี้ในคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ จึงตัดอำนาจพนักงานอัยการ พนักงานอัยการจึงไม่มีอำนาจฟ้องนายทรงสิทธิ์อีก ที่ศาลมีคำสั่งไม่รับฟ้องในฐานความผิดนี้จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
สรุป คำพิพากษายกฟ้องของศาลชอบด้วยกฎหมายแล้ว ส่วนคำสั่งไม่รับฟ้องความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 และมาตรา 268 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคำสั่งไม่รับฟ้องในความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ข้อ 2 คดีอาญาเรื่องหนึ่ง พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องว่านายเจษฎากระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 หรือมาตรา 357 วรรคแรก โดยพนักงานอัยการโจทก์บรรยายฟ้องว่ามีคนร้ายลักรถยนต์ของผู้เสียหายไป ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับนายเจษฎาได้พร้อมด้วยรถยนต์ของกลาง ทั้งนี้โดยนายเจษฎาเป็นผู้ลักทรัพย์นั้นมาหรือรับทรัพย์นั้นไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดกฎหมาย (ฟ้องสมบูรณ์ตามกฎหมายทุกประการ)
ในชั้นพิจารณา นายเจษฎาจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดตามฟ้อง ขอให้ศาลปราณีลดโทษให้ด้วย โจทก์แถลงว่าไม่ติดใจสืบพยาน เช่นนี้ ศาลจะพิพากษาหรือสั่งอย่างไร เพราะเหตุใด
หมายเหตุ ความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่กินหกพันบาท
ความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 357 วรรคแรก ระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ธงคำตอบ
มาตรา 176 ในชั้นพิจารณาถ้าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ เว้นแต่คดีที่มีข้อหาในความผิดซึ่งจำเลยรับสารภาพนั้น กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป หรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น ศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง
ในคดีที่มีจำเลยหลายคน และจำเลยบางคนรับสารภาพ เมื่อศาลเห็นสมควรจะสั่งจำหน่ายคดี สำหรับจำเลยที่ปฏิเสธเพื่อให้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ปฏิเสธนั้น เป็นคดีใหม่ภายในเวลาที่ศาลกำหนดก็ได้
วินิจฉัย
ในกรณีที่คำรับสารภาพของจำเลยไม่ชัดเจนพอที่ฟังได้ว่า จำเลยรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดฐานใด กรณีเช่นนี้จะลงโทษจำเลยไม่ได้ เป็นหน้าที่โจทก์ที่ต้องนำสืบว่าจำเลยกระทำความผิดฐานใด หากโจทก์ไม่ประสงค์จะนำสืบต่อไป ศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้อง (ฎ. 6742/2548, ฎ. 758/2534)
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า ศาลจะพิพากษาหรือสั่งอย่างไร เห็นว่า พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร นายเจษฎาจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดตามฟ้อง คำให้การของจำเลยดังกล่าว นี้ยังไม่ชัดเจนพอที่ฟังได้ว่า จำเลยรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดฐานใดระหว่างลักทรัพย์หรือรับของโจร ในกรณีเช่นนี้ โจทก์ยังต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำความผิดของจำเลย แต่เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะนำสืบพยานต่อไป ศาลจึงพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานใดไม่ได้ ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง (ฎ. 711/2528 , ฎ. 3866/2531 , ฎ. 158/2534)
สรุป ศาลจะต้องยกฟ้อง
ข้อ 3 โจทก์บรรยายฟ้องและมีคำขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอก ข้อเท็จจริงจากการสืบพยานได้ความว่า จำเลยกระทำผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ และจำเลยไม่ได้หลงต่อสู้
ดังนี้ ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานใดได้หรือไม่ เพียงใด
หมายเหตุ ความผิดฐานลักทรัพย์ ระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกพันบาท
ความผิดฐานยักยอก ระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
ธงคำตอบ
มาตรา 192 วรรคแรก วรรคสองและวรรคสาม ห้ามมิให้พิพากษา หรือสั่งเกินคำขอ หรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง
ถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง ให้ศาลยกฟ้องคดีนั้น เว้นแต่ข้อแตกต่างนั้นมิใช่ในข้อสาระสำคัญและทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลจะลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นก็ได้
ในกรณีที่ข้อแตกต่างนั้นเป็นเพียงรายละเอียด เช่น เกี่ยวกับเวลาหรือสถานที่กระทำความผิดหรือต่างกันระหว่างการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ฉ้อโกง โกงเจ้าหนี้ ยักยอก รับของโจร และทำให้เสียทรัพย์ หรือต่างกันระหว่างการกระทำผิดโดยเจตนากับประมาท มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญทั้งนี้มิให้ถือว่าข้อที่พิจารณาได้ความนั้นเป็นเรื่องเกินคำขอหรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ เว้นแต่จะปรากฏแก่ศาลว่าการที่ฟ้องผิดไปเป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้ แต่ทั้งนี้ศาลจะลงโทษจำเลยเกินอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดที่โจทก์ฟ้องไม่ได้
วินิจฉัย
ตามมาตรา 192 วรรคสอง ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า ถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง โดยหลักให้ศาลยกฟ้องคดีนั้น เว้นแต่ข้อแตกต่างนั้นมิใช่ในข้อสาระสำคัญ และจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ในกรณีเช่นนี้ ศาลจะลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นก็ได้
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า ศาลจะลงโทษจำเลยในความผิดฐานใดได้หรือไม่เพียงใด เห็นว่า การที่โจทก์บรรยายฟ้อง และมีคำขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอก ข้อเท็จจริงจากการสืบพยานได้ความว่า จำเลยกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ จึงเป็นกรณีที่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำฟ้อง
ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ที่พิจารณาได้ความ เป็นการลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า เมื่อความผิดฐานยักยอกกับความผิดฐานลักทรัพย์ถือว่าเป็นข้อแตกต่างที่มิใช่ข้อสาระสำคัญ ดังนั้น ระหว่างความผิดฐานยักยอกกับความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์จึงถือว่าเป็นข้อแตกต่างที่ไม่ใช่สาระสำคัญเช่นเดียวกัน เมื่อจำเลยไม่ได้หลงต่อสู้ ศาลจึงพิพากษาลงโทษจำเลยฐานวิ่งราวทรัพย์ ตามที่พิจารณาได้ความได้ ตามมาตรา 192 วรรคสอง
แต่อย่างไรก็ดี ตามมาตรา 192 วรรคสาม ห้ามมิให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยเกินอัตราโทษของฐานความผิดที่ฟ้อง เมื่อความผิดฐานยักยอกที่ฟ้องมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลจึงพิพากษาลงโทษจำเลยเกินกว่ากำหนดดังกล่าวไม่ได้
ดังนั้นกรณีนี้ศาลจึงต้องพิพากษาลงโทษจำเลยฐานวิ่งราวทรัพย์ แต่ลงโทษจำเลยได้เพียงจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สรุป ศาลต้องพิพากษาลงโทษจำเลยฐานวิ่งราวทรัพย์ แต่ลงโทษจำเลยได้เพียงจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรืออทั้งจำทั้งปรับ
ข้อ 4 พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 334 ลงโทษจำคุก 6 เดือน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ให้มีกำหนด 1 ปี โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยให้หนักขึ้น ส่วนจำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ลงโทษจำคุก 3 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ
ดังนี้ จำเลยจะฎีกาขอให้ศาลยกฟ้องได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 218 ในคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างหรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี หรือปรับหรือทั้งจำทั้งปรับแต่โทษจำคุกไม่เกินห้าปีห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ในคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างหรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยเกินห้าปี ไม่ว่าจะมีโทษอย่างอื่นด้วยหรือไม่ ห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
มาตรา 219 ในคดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำเลยไม่เกินกำหนดที่ว่ามานี้ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ข้อห้ามนี้มิให้ใช้แก่จำเลยในกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลย
วินิจฉัย
การที่จำเลยฎีกาขอให้ศาลยกฟ้องถือเป็นฎีกาในปัญหาที่สืบเนื่องจากการที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจลงโทษจำคุกจำเลย 3 เดือน ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 334 ลงโทษจำคุก 6 เดือน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี และศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ลงโทษจำคุก 3 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์เปลี่ยนโทษจำคุกที่ศาลชั้นต้นรอการลงโทษมาเป็นโทษจำคุก จึงถือว่าเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขมาก จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามมาตรา 218 แต่ก็ต้องพิจารณาตามมาตรา 219 ต่อไป
เมื่อพิจารณาตามมาตรา 219 แล้วได้ความว่า การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต่างพิพากษาลงโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท ตามมาตรา 219 ห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่มีข้อยกเว้นให้จำเลยฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงได้ ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลยด้วย
ตามปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าว แม้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย แต่ก็มีเงื่อนไขให้รอการลงโทษจำคุก ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยมากกว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ลงโทษจำเลย 3 เดือน กรณีถือว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขมาก และเพิ่มเติมโทษจำเลยด้วย จำเลยจึงฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงได้ตามมาตรา 219
สรุป จำเลยฎีกาขอให้ศาลยกฟ้องได้