การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2552
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3008 (LA 308),(LW 309) กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 2
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ให้วินิจฉัยตามประเด็นต่อไปนี้
(ก) คดีหลังที่นายมะม่วงเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายมังคุดเป็นจำเลยต่อศาลด้วยตนเอง ศาลจะสั่งประทับฟ้องไว้พิจารณาโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องก่อนได้หรือไม่
(ข) หากปรากฏว่าในการไต่สวนมูลฟ้องคดีหลัง นายมังคุดจำเลยได้นำเอกสารรายงานการตรวจศพของแพทย์มาถามค้านนายมะม่วงโจทก์เกี่ยวกับเรื่องวิถีกระสุนปืน เพื่อสนับสนุนว่าตนมิได้มีเจตนาฆ่านายมันแกว แต่นายมะม่วงโจทก์ไม่ยอมรับรองความถูกต้องของพยานเอกสารดังกล่าว นายมังคุดจำเลยจะขอส่งเอกสารดังกล่าวเป็นพยานต่อศาลได้หรือไม่
(ค) หากศาลไต่สวนมูลฟ้องคดีหลังแล้วเห็นว่าคดีมีมูล จึงให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา นายมังคุดจำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งคดีมีมูลต่อศาลอุทธรณ์ได้หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 162 ถ้าฟ้องถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ให้ศาลจัดการสั่งต่อไปนี้
(1) ในคดีราษฎรเป็นโจทก์ ให้ไต่สวนมูลฟ้อง แต่ถ้าคดีนั้นพนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยโดยข้อหาอย่างเดียวกันด้วยแล้ว ให้จัดการตามอนุมาตรา (2)
(2) ในคดีพนักงานอัยการเป็นโจทก์ ไม่จำเป็นต้องไต่สวนมูลฟ้อง แต่ถ้าเห็นสมควรจะสั่งให้ไต่สวนมูลฟ้องก่อนก็ได้
มาตรา 165 วรรคสอง จำเลยไม่มีอำนาจนำพยานมาสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง แต่ทั้งนี้ไม่เป็นการตัดสิทธิในการที่จำเลยจะมีทนายมาช่วยเหลือ
มาตรา 170 วรรคแรก คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด แต่คำสั่งที่ว่าคดีไม่มีมูลนั้นโจทก์มีอำนาจอุทธรณ์ฎีกาได้ตามบทบัญญัติว่าด้วยลักษณะอุทธรณ์ฎีกา
วินิจฉัย
(ก) ตามมาตรา 162(1) ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า ในคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ โดยหลักแล้วศาลต้องไต่สวนมูลฟ้องทุกคดี เว้นแต่พนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยโดยข้อหาอย่างเดียวกันด้วยแล้ว ต้องจัดการตามมาตรา 162(2) กล่าวคือ ไม่จำต้องไต่สวนมูลฟ้องก่อนประทับฟ้องไว้พิจารณาก็ได้
กรณีตามอุทาหรณ์ ศาลจะสั่งประทับฟ้องไว้พิจารณาโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องก่อนได้หรือไม่ เห็นว่า แม้พนักงานอัยการจะได้ฟ้องนายมังคุดเป็นจำเลยในคดีแรกด้วยก็ตาม แต่พนักงานอัยการได้ฟ้องนายมังคุดในข้อหากระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้นายมันแกวถึงแก่ความตาย ตาม ป.อ. มาตรา 291 ซึ่งเป็นความผิดคนละข้อหากับคดีหลังที่นายมะม่วงเป็นโจทก์ฟ้องนายมังคุดเป็นจำเลย ขอให้ลงโทษฐานฆ่านายมันแกวตายโดยเจตนา ตาม ป.อ. มาตรา 288 กรณีนี้จึงไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นของมาตรา 162(1) ที่ศาลจะจัดการสั่งตามอนุมาตรา (2) คือ ใช้ดุลพินิจสั่งประทับฟ้องไว้พิจารณาโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องก่อนได้ ดังนั้นศาลจึงอยู่ในบังคับที่ต้องจัดการสั่งตามหลักในอนุมาตรา (1) กล่าวคือ ต้องจัดการสั่งให้ไต่สวนมูลฟ้องก่อน
(ข) โดยหลักแล้ว ในคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ จำเลยไม่มีสิทธินำพยานมาสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง แต่ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิในการที่จำเลยจะมีทนายมาช่วยเหลือ ตามมาตรา 165 วรรคสอง
กรณีตามอุทาหรณ์ ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง นายมังคุดจำเลยนำเอกสารรายงานการตรวจศพของแพทย์ มาถามค้านนายมะม่วงโจทก์เกี่ยวกับเรื่องวิถีกระสุนปืน เพื่อสนับสนุนว่าตนมิได้มีเจตนาฆ่านายมันแกว แต่นายมะม่วงโจทก์ไม่ยอมรับรองความถูกต้องของพยานหลักฐานเอกสารดังกล่าว และนายมังคุดจะขอส่งเอกสารดังกล่าวเป็นพยานต่อศาลนั้น ในกรณีเช่นนี้เท่ากับว่านายมังคุดจำเลยเรียกพยานหลักฐานของตนเข้าสืบจึงเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 165 วรรคสอง ดังนั้นนายมังคุดจึงไม่อาจของส่งเอกสารดังกล่าวเป็นพยานต่อศาลได้ (ฎ. 6557/2539)
(ค) การที่ศาลไต่สวนมูลฟ้องคดีหลังที่นายมะม่วงเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษนายมังคุดจำเลยฐานฆ่านายมันแกวตายโดยเจตนา ตาม ป.อ. มาตรา 288 แล้วเห็นว่า คดีมีมูลให้ประทับฟ้องไว้พิจารณานั้น เห็นว่า แม้นายมังคุดจะมีฐานะเป็นจำเลยในคดีหลังแล้วก็ตาม แต่คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลเช่นว่านั้น ย่อมเป็นอันเด็ดขาดตามมาตรา 170 วรรคแรก ดังนั้นนายมังคุดจำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งคดีมีมูลต่อศาลอุทธรณ์ไม่ได้
สรุป
(ก) ศาลจะสั่งประทับฟ้องไว้พิจารณาโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องก่อนไม่ได้
(ข) นายมังคุดไม่อาจขอส่งเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้
(ค) นายมังคุดจำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งคดีมีมูลต่อศาลอุทธรณ์ไม่ได้
ข้อ 2 ให้วินิจฉัยว่า การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นในกรณีดังต่อไปนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
(ก) พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ เมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 2 หลบหนี ศาลชั้นต้นให้ออกหมายจับจำเลยที่ 2 แล้วเลื่อนไปนัดสืบพยานโจทก์ในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์จำเลยที่ 1 และทนายจำเลยทั้งสองมาศาล ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จนเสร็จ เมื่อถึงวันนัดสืบพยานจำเลย เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 2 มาส่งศาล จำเลยที่ 2 แถลงไม่ติดใจซักค้านพยานโจทก์และไม่ติดใจสืบพยานจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นได้สืบพยานจำเลยที่ 1 จนเสร็จ และงดสืบพยานจำเลยที่ 2 แล้วนัดฟังคำพิพากษา
(ข) พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคสาม ซึ่งมีอัตราโทษประหารชีวิต ในวันนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นสอบถามจำเลยในเรื่องทนายความ จำเลยแถลงว่า ไม่ต้องการทนายความ ศาลชั้นต้นจึงได้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นได้เลื่อนไปนัดสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลย ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ไปจนเสร็จสิ้นและให้รอฟังคำพิพากษาในวันเดียวกันก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษา จำเลยแต่งทนายความให้เข้ามาฟังคำพิพากษาด้วย ศาลชั้นต้นจึงอ่านคำพิพากษาให้โจทก์ จำเลย และทนายจำเลยฟัง แล้วให้ลงลายชื่อไว้
ธงคำตอบ
มาตรา 172 วรรคแรก การพิจารณาและสืบพยานในศาล ให้ทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลยเว้นแต่บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
มาตรา 173 วรรคแรกและวรรคสอง ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต หรือในคดีที่จำเลยมีอายุไม่เกินสิบแปดปีในวันที่ถูกฟ้องต่อศาล ก่อนเริ่มพิจารณาให้ศาลถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ให้ศาลตั้งทนายความให้
ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุกก่อนเริ่มพิจารณาให้ศาลถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีและจำเลยต้องการทนายก็ให้ศาลตั้งทนายความให้
(ก) วินิจฉัย
การสืบพยานในศาลไม่ว่าชั้นสืบพยานโจทก์ พยานร่วมหรือพยานจำเลยจะต้องกระทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลยตามมาตรา 172 วรรคแรก เว้นแต่เมื่อศาลเห็นเป็นการสมควร จะอนุญาตให้จำเลยไม่มาฟังการพิจารณาและการสืบพยานนั้นได้ตามมาตรา 172 วรรคแรก ประกอบมาตรา 172 ทวิ
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า เมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 2 หลบหนี ศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลยที่ 2 แล้ว เลื่อนไปนัดสืบพยานโจทก์ เมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ จำเลยที่ 1 และทนายจำเลยทั้ง 2 มาศาลแต่ไม่มีจำเลยที่ 2 ดังนี้ การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ว่าการสืบพยานจะได้กระทำต่อหน้าจำเลยที่ 1 แต่ก็ไม่อาจถือว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำแทนจำเลยที่ 2 เนื่องจากคดีอาญาเป็นคดีที่ต้องนำตัวจำเลยมาลงโทษ การพิจารณาต้องพิจารณาคดีต่อหน้าจำเลยแต่ละคน เมื่อต่อมาจับจำเลยที่ 2 ได้ในภายหลังกรณีเช่นนี้ ศาลก็ต้องสืบพยานโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ที่ถูกจับได้ในภายหลังใหม่ ทั้งนี้ เพราะการสืบพยานต้องกระทำต่อหน้าจำเลยตามมาตรา 172 วรรคแรก (ฎ.1736/2550 , ฎ. 651/2549)
อนึ่ง แม้ภายหลังเจ้าพนักงานตำรวจจะจับจำเลยที่ 2 มาส่งศาล และจำเลยที่ 2 แถลงติดใจไม่ซักค้านพยานโจทก์และไม่ติดใจสืบพยานก็ไม่ทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่ต้นกลับมาชอบด้วยกฎหมายได้
(ข) วินิจฉัย
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 1 ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคสาม อันเป็นคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต ซึ่งตามมาตรา 173 วรรคแรก วางหลักว่า ก่อนเริ่มพิจารณาให้ศาลถามจำเลยว่า มีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ให้ศาลตั้งทนายความให้ อันเป็นคนละกรณีกับวรรคสองของบทมาตราดังกล่าว ซึ่งเป็นคดีที่มีอัตราโทษจำคุกที่ศาลต้องสอบถามด้วยว่าจำเลยต้องการทนายความหรือไม่ ดังนั้น ตามมาตรา 173 วรรคแรก เมื่อจำเลยไม่มีทนายความศาลก็ต้องตั้งทนายความให้โดยไม่ต้องคำนึงว่าจำเลยจะต้องการทนายความหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อความคุ้มครองแก่จำเลยในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิตในการต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่
แต่คดีนี้ปรากฏข้อเท็จจริงเพียงว่า ศาลชั้นต้นสอบถามจำเลยในเรื่องทนายความ จำเลยแถลงว่าไม่ต้องการทนายความ ดังนี้ จึงเป็นการที่ศาลชั้นต้นเพียงแต่สอบถามจำเลยเรื่องทนายความโดยไม่ตั้งทนายความให้จำเลย แล้วดำเนินการสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยไปจนเสร็จ แม้ต่อมาจำเลยจะได้แต่งทนายความเข้ามา แต่ก็เป็นการแต่งทนายความเข้ามาในภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานโจทก์จนเสร็จแล้ว ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ขณะที่ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานโจทก์ในคดีนี้ ยังไม่มีทนายความคอยช่วยเหลือในการดำเนินคดี จึงเป็นการดำเนินพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 173 วรรคแรก (ฎ. 3133/2551)
สรุป การดำเนินกระบวนพิจารณาทั้ง (ก) และ (ข) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ 3 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่หนึ่ง จำเลยที่สอง และจำเลยที่สาม ร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 , 83 (ฟ้องถูกต้องตามกำหมายทุกประการ) แต่ทางพิจารราฟังได้ว่า จำเลยที่หนึ่งและจำเลยที่สองร่วมกันชิงทรัพย์ผู้เสียหายแล้วนำมาขายให้จำเลยที่สามโดยที่จำเลยที่สามรับซื้อทั้งที่รู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้จากการกระทำความผิด อันเป็นความผิดฐานรับของโจร โดยจำเลยทั้งสามมิได้หลงต่อสู้
ดังนี้ ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสามได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 192 วรรคสอง วรรคสาม และวรรคหก ถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง ให้ศาลยกฟ้องคดีนั้น เว้นแต่ข้อแตกต่างนั้นมิใช่ในข้อสาระสำคัญและทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลจะลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นก็ได้
ในกรณีที่ข้อแตกต่างนั้นเป็นเพียงรายละเอียด เช่น เกี่ยวกับเวลาหรือสถานที่กระทำความผิดหรือต่างกันระหว่างการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ฉ้อโกง โกงเจ้าหนี้ ยักยอก รับของโจร และทำให้เสียทรัพย์ หรือต่างกันระหว่างการกระทำผิดโดยเจตนากับประมาท มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญทั้งนี้มิให้ถือว่าข้อที่พิจารณาได้ความนั้นเป็นเรื่องเกินคำขอหรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ เว้นแต่จะปรากฏแก่ศาลว่าการที่ฟ้องผิดไปเป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้ แต่ทั้งนี้ศาลจะลงโทษจำเลยเกินอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดที่โจทก์ฟ้องไม่ได้
ถ้าความผิดตามที่ฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่าง แต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเองศาลจะลงโทษจำเลยในการกระทำผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่พิจารณาได้ความก็ได้
วินิจฉัย
ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสามได้หรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามฟ้อง ย่อมรวมการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ซึ่งอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ดังนั้นแม้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่หนึ่ง และจำเลยที่สองร่วมกับจำเลยที่สาม กระทำความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่า เฉพาะจำเลยที่หนึ่ง และจำเลยที่สองเท่านั้นที่ร่วมกันชิงทรัพย์ผู้เสียหาย กรณีเช่นนี้ ศาลย่อมมีอำนาจที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันชิงทรัพย์ตามที่พิจารณาได้ความได้ตามมาตรา 192 วรรคหก (ฎ. 2161 / 2531)
ส่วนในกรณีของจำเลยที่สามได้ความว่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่สาม ฐานร่วมกับจำเลยที่หนึ่งและจำเลยที่สองฐานปล้นทรัพย์ แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาได้ความว่าจำเลยที่สามกระทำความผิดฐานรับของโจร ซึ่งถือไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับฟ้องในข้อสาระสำคัญ เพราะการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามฟ้องก็เป็นการลักทรัพย์โดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ซึ่งความผิดฐานลักทรัพย์กับความผิดฐานรับของโจรตามมาตรา 192 วรรคสาม ถือเป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียด มิใช่ข้อแตกต่างสาระสำคัญ (ฎ. 1043 / 2535)
แต่อย่างไรก็ดี ตามบทบัญญัติมาตรา 192 วรรคสองนั้น การที่ศาลจะมีอำนาจลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนั้น นอกจากจะได้ความว่าข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องในข้อที่มิใช่สาระสำคัญแล้วยังต้องปรากฏด้วยว่าจำเลยมิได้หลงต่อสู้ด้วย ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยที่สามมิได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยที่สามฐานรับของโจรได้
สรุป ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยที่หนึ่งและที่สองในความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์ตามที่พิจารณาได้ความได้ และลงโทษจำเลยที่สามในความผิดฐานรับของโจรได้
ข้อ 4 คดีอาญาเรื่องหนึ่ง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 20 ปี ฐานฆ่าผู้อื่น ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟัง เมื่อวันจันทร์ที่ 29 มกราคม 2533 และเดือนกุมภาพันธ์ 2533 มี 28 วัน
(ก) จำเลยยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น ในวันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม 2533 หรือ
(ข) จำเลยยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในวันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ 2533 ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลย ต่อมาวันศุกร์ที่ 23 เดือนเดียวกัน จำเลยยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาต หลังจากนั้นในวันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ 2533 จำเลยนำอุทธรณ์ฉบับใหม่มายื่นต่อศาลชั้นต้น โดยแถลงว่าขอถอนอุทธรณ์ฉบับแรกไปนั้นเพราะเข้าใจผิดว่าจะมีการอภัยโทษจำเลย เมื่อปรากฏว่าไม่มีการอภัยโทษ จำเลยจึงยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์คดีนี้ไม่อุทธรณ์
แต่ละกรณีดังกล่าว ศาลชั้นต้นจะสั่งอุทธรณ์ของจำเลยอย่างไร
ธงคำตอบ
มาตรา 15 วิธีพิจารณาข้อใดซึ่งประมวลกฎหมายนี้มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้
มาตรา 198 วรรคแรก การยื่นอุทธรณ์ ให้ยื่นต่อศาลชั้นต้นในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งให้คู่ความฝ่ายที่อุทธรณ์ฟัง
มาตรา 202 วรรคสอง เมื่อถอนไปแล้ว ถ้าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นย่อมเด็ดขาดเฉพาะผู้ถอน ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งอุทธรณ์ จะเด็ดขาดต่อเมื่อคดีถึงที่สุดโดยไม่มีการแก้คำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้น
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 แต่การขยายหรือย่นเวลาเช่นว่านี้ให้พึงทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการพิเศษ แต่ศาลได้มีคำสั่งหรือคู่ความมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้น เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/5 ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นสัปดาห์ เดือน หรือปี ให้คำนวณตามปีปฏิทิน
ถ้าระยะเวลามิได้กำหนดนับแต่วันต้นแห่งสัปดาห์ วันต้นแห่งเดือนหรือปี ระยะเวลาย่อมสิ้นสุดลงในวันก่อนหน้าจะถึงวันแห่งสัปดาห์ เดือน หรือปีสุดท้าย อันเป็นวันตรงกับวันเริ่มระยะเวลานั้น ถ้าในระยะเวลานับเป็นเดือนหรือปีนั้น ไม่มีวันตรงกันในเดือนสุดท้าย ให้ถือเอาวันสุดท้ายแห่งเดือนนั้นเป็นวันสิ้นสุดระยะเวลา
(ก) วินิจฉัย
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า ศาลชั้นต้นจะสั่งอุทธรณ์ของจำเลยอย่างไร เห็นว่า โดยหลักแล้ว เมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาแล้วหากคู่ความฝ่ายใดประสงค์จะอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ต้องยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งให้คู่ความฝ่ายที่อุทธรณ์ฟังตามมาตรา 198 ซึ่งกำหนดระยะเวลา 1 เดือน ต้องคำนวณตามปีปฏิทิน และถ้าไม่มีวันตรงกันในเดือนสุดท้ายก็ให้ถือเอาวันสุดท้ายแห่งเดือนนั้นเป็นวันสิ้นสุดระยะเวลาตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/5 เมื่อได้ความว่า ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟังเมื่อวันจันทร์ที่ 29 มกราคม 2533 และเดือนกุมภาพันธ์ 2533 มี 28 วัน ดังนั้น จำเลยต้องยื่นอุทธรณ์ภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2533 และหากจำเลยยื่นอุทธรณ์ภายในเวลากำหนดดังกล่าวไม่ทัน จำเลยต้องยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องขอให้ขยายเวลายื่นอุทธรณ์ออกไปได้เมื่อมีพฤติการณ์พิเศษ เว้นแต่มีเหตุสุดวิสัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ประกอบมาตรา 15 แต่เมื่อได้ความว่า วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2533 เป็นวันพุธมิใช่วันหยุดราชการ กรณีจึงไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ออกไปได้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิยื่นอุทธรณ์เกิน 1 เดือน นับแต่วันที่อ่านคำพิพากษา เมื่อจำเลนยื่นอุทธรณ์ในวันที่ 1 มีนาคม 2533 ซึ่งถือว่าเกิน 1 เดือน ศาลชั้นต้นจึงต้องมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ (ฎ. 8721/2544)
(ข) วินิจฉัย
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า ศาลชั้นต้นจะสั่งอุทธรณ์ของจำเลยอย่างไร เห็นว่า จำเลยยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นภายในกำหนด 1 เดือน คือวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2533 ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลย ต่อมาวันที่ 23 เดือนเดียวกันจำเลยยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นอนุญาต กรณีเช่นนี้ เมื่อจำเลยถอนอุทธรณ์ไปแล้ว และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง (โจทก์) มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น ย่อมเด็ดขาดเฉพาะผู้ถอน ดังนั้น จำเลยจะนำอุทธรณ์ฉบับใหม่มายื่นต่อศาลไม่ได้ ทั้งนี้แม้จะยังไม่พ้นกำหนดระยะเวลาการยื่นอุทธรณ์ก็ตาม ต้องห้ามตามมาตรา 202 วรรคสอง
สรุป ศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้ง (ก) และ (ข)