การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2550
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3007 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 2
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ
ข้อ 1 ในคดีแพ่ง จำเลยซึ่งแพ้คดีในศาลชั้นต้นได้อุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายเวลาวางเงินค่าขึ้นศาล ศาลอนุญาตแต่ถึงกำหนดจำเลยไม่วางเงินเพราะหาเงินไม่ทัน จากนั้นจำเลยร้องขอดำเนินคดีชั้นอุทธรณ์อย่างอนาถา ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตโดยยกคำร้องพร้อมกับมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ จำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นแต่ประการใด ดังนี้ จำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฟ้องอุทธรณ์ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 234 ถ้าศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ ผู้อุทธรณ์อาจอุทธรณ์คำสั่งศาลนั้น ไปยังศาลอุทธรณ์โดยยื่นคำขอเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้น และนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง
วินิจฉัย
ตามมาตรา 234 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ไว้ดังนี้
1) ต้องทำเป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์
2) ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นภายใน 15 วัน นับแต่ศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์
3) นำค่าฤชาธรรมเนียมมาวางศาล
4) ถ้าหากเป็นหนี้เงินก็ต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษา หรือหาประกันไว้ต่อศาล
กรณีตามอุทาหรณ์ จำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฟ้องอุทธรณ์ได้หรือไม่ เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นไม่อนุญาตโดยยกคำร้องขอดำเนินคดีชั้นอุทธรณ์อย่างอนาถาของจำเลย พร้อมกับมีคำสั่งไม่รับฟ้องอุทธรณ์ กรณีเช่นนี้ จำเลยก็ชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ได้โดยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้แม้ได้ความว่าจำเลยจะไม่ได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าวไว้ก็ตาม เพราะคำสั่งดังกล่าวไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา จึงไม่อยู่ในบังคับที่ต้องโต้แย้งคำสั่งก่อนแต่ประการใด
สรป จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฟ้องอุทธรณ์ได้
ข้อ 2 โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายฐานละเมิดรวม 2 ล้านบาท จำเลยให้การสู้คดีตามกฎหมายขอให้ศาลยกฟ้อง ศาลชั้นต้นฟังพยานของคู่ความทั้งสองฝ่ายเสร็จสิ้นแล้วนัดฟังคำพิพากษา ก่อนถึงวันนัด 2 วัน ผู้ร้องยื่นคำร้องเข้ามาในคดีขอเป็นโจทก์ร่วมอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ให้โจทก์ยืมไปแล้วสูญหายเนื่องจากการละเมิดของจำเลยแล้วเรียกเอาค่าเสียหายเพิ่มเติมรวม 3 ล้าน ศาลชั้นต้นเห็นว่าผู้ร้องควรไปฟ้องเป็นคดีใหม่เพราะคดีเดิมจะพิพากษาอยู่แล้ว มีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยมีความเห็นว่าศาลชั้นต้นควรรับพิจารณาคดีของผู้ร้องไปเสียทีเดียว หากให้ไปฟ้องเป็นคดีใหม่ จำเลยจะต้องเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น ต้องจ้างทนายสู้คดีอีก ดังนี้ จำเลยจะขออุทธรณ์ให้ศาลอุทธรณ์กลับคำสั่งศาลชั้นต้นให้รับพิจารณาคดีของผู้ร้องต่อไปได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 223 ภายใต้บังคับบทบัญญัติมาตรา 138 168 188 และ 222 และในลักษณะนี้ คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นนั้น ให้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ เว้นแต่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นจะได้บัญญัติว่าให้เป็นที่สุด
วินิจฉัย
เมื่อพิจารณาบทบัญญัติมาตรา 223 ดังกล่าวข้างต้นจะเห็นว่ากฎหมาย ไม่ได้บัญญัติชัดแจ้งว่า “คู่ความอุทธรณ์ได้” เท่านั้น คงบัญญัติแต่เพียงว่าให้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ ดังนั้นการอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นตามมาตรา 223 จึงหาได้จำกัดแต่เพียงว่าผู้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นจะต้องเป็นคู่ความเท่านั้น ถ้าผู้อุทธรณ์เป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดีแล้ว ก็สามารถยื่นอุทธรณ์ได้เช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ผู้มีสิทธิอุทธรณ์ตามมาตรา 223 จึงอาจแบ่งได้ 2 กรณี คือ
1) คู่ความ กล่าวคือ บุคคลผู้ยื่นฟ้องหรือถูกฟ้องต่อศาล
2) บุคคลภายนอกซึ่งถูกกระทบกระทั่งหรือมีส่วนได้เสียในคดี
คดีโจทก์ฟ้องจำเลยเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายฐานละเมิด ในส่วนนี้เป็นเรื่องที่โจทก์จำเลยพิพาทกันและถือว่าโจทก์จำเลยมีฐานะเป็นคู่ความในคดี
ส่วนการที่ผู้ร้องยื่นคำร้องเข้ามาแล้วศาลมีคำสั่งยกคำร้องนั้น กรณีเช่นนี้ ผู้ที่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งได้คือ ผู้ร้อง เมื่อได้ความว่า ผู้ร้องมิได้อุทธรณ์ จำเลยย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์ เพราะจำเลยไม่ใช่คู่ความในส่วนคดีของผู้ร้อง อีกทั้ง การที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นบุคคลภายนอกซึ่งถูกกระทบกระทั่งหรือมีส่วนได้เสียในคดีแต่ประการใด ดังนั้น จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นต้องห้ามตามมาตรา 223 (ฎ. 1254/2547)
สรุป จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น
ข้อ 3 (ก) คำว่า “ยึด” ตาม ป.วิ.แพ่ง หมายความว่าอย่างไร จงอธิบายพอสังเขป
(ข) โจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่งระหว่างศาลชั้นต้นพิจารณาคดี โจทก์สืบทราบว่าจำเลยลักลอบนำทองแท่งหนีภาษีเข้ามาในประเทศ ถูกเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรจับกุมจำเลยพร้อมของกลางเก็บไว้ เพื่อเป็นหลักฐานจะดำเนินคดีตามกฎหมาย และจะขอให้ศาลริบของกลางต่อไป ดังนี้ โจทก์จะขอให้ศาลยึดทองแท่งนี้ไว้ชั่วคราวก่อนศาลพิพากษาได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 254 ในคดีอื่นๆ นอกจากคดีมโนสาเร่ โจทก์ชอบที่จะยื่นต่อศาลพร้อมกับคำฟ้องหรือในเวลาใดๆ ก่อนพิพากษา ซึ่งคำขอฝ่ายเดียว ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งภายในบังคับแห่งเงื่อนไขซึ่งจะกล่าวต่อไปเพื่อจัดให้มีวิธีคุ้มครองใดๆดังต่อไปนี้
(1) ให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของจำเลยทั้งหมดหรือบางส่วนไว้ก่อนพิพากษา รวมทั้งจำนวนเงินหรือทรัพย์สินของบุคคลภายนอกซึ่งถึงกำหนดชำระแก่จำเลย
(ก) อธิบาย คำว่า “ยึด” หมายถึง การที่โจทก์หรือเจ้าพนักงานบังคับคดีจะได้ไปกระทำการยึดทรัพย์สิน และทรัพย์สินหรือเงินที่ยึดจะต้องเป็นกรรรมสิทธิ์ของจำเลย ( ฎ. 481/2541) และจะอยู่ในความครอบครองของบุคคลใดไม่สำคัญ เช่น จำเลยนำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองประกันเงินกู้ไว้กับธนาคาร กรรมสิทธิ์ในที่ดินยังเป็นของจำเลย แม้ที่ดินจะติดจำนองอยู่ โจทก์ก็นำยึดได้ แต่ถ้าเปลี่ยนข้อเท็จจริงเป็นว่า ที่ดินเป็นของจำเลยแต่นำไปขายฝากกับบุคคลภายนอกไว้ โดยหลักกฎหมายเกี่ยวกับขายฝาก กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายฝากย่อมตกเป็นของผู้ซื้อฝากตั้งแต่วันทำสัญญา (ป.พ.พ. มาตรา 491) เมื่อกรรมสิทธิ์ในที่ดินไม่ใช่ของจำเลย โจทก์จึงยึดไม่ได้
(ข) วินิจฉัย โจทก์จะขอให้ศาลมีคำสั่งยึดทองแท่งนี้ไว้ชั่วคราวก่อนศาลพิพากษาได้หรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์ประสงค์จะขอให้ศาลมีคำสั่งยึดทองแท่ง ถือเป็นการขอคุ้มครองประโยชน์ระหว่างศาลพิจารณาก่อนพิพากษา ตามมาตรา 254(1) เมื่อได้ความว่า ศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ริบทองแท่งหนีภาษีนี้ก็ยังถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ดังนั้นโจทก์ก็ชอบจะให้ศาลมีคำสั่งให้ริบทรัพย์ดังกล่าวเป็นการชั่วคราวก่อนพิพากษาได้ ตามมาตรา 254(1) (ฎ. 1533/2525)
สรุป โจทก์ชอบจะขอให้ศาลมีคำสั่งริบทองแท่งดังกล่าวได้
ข้อ 4 บริษัทเอ เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของนายบี คดีถึงที่สุดแล้วนายบีไม่ชำระหนี้ บริษัทเอได้ขอให้ยึดทรัพย์สินของนายบีเพื่อขายทอดตลาด ก่อนถึงวันนัดขายทอดตลาด บริษัทซีได้ร้องขอเข้ามาในคดีอ้างว่าตนเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของบริษัทเอ บริษัทเอไม่มีทรัพย์สินใดๆ ที่จะบังคับคดีเอาชำระหนี้ได้นอกจากสิทธิบังคับเอาจากทรัพย์สินนายบี บริษัทซีของสวมสิทธิของบริษัทเอขายทอดตลาดเอาชำระหนี้ของตน ดังนี้ บริษัทซีจะดำเนินการเช่นว่านี้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 271 ถ้าคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดี (ลูกหนี้ตามคำพิพากษา) มิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทั้งหมดหรือบางส่วน คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะ (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษา หรือคำสั่งนั้นได้ภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง โดยอาศัยและตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น
วินิจฉัย
บริษัทซีผู้ร้องจะขอสวมสิทธิบริษัทเอขายทอดตลาดเอาชำระหนี้แก่ตนได้หรือไม่ เห็นว่า โดยหลักแล้ว ผู้ที่จะมีสิทธิบังคับคดีและผู้มีหน้าที่ต้องถูกบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นนั้น ตามมาตรา 271 กำหนด ให้เป็นสิทธิและหน้าที่ของคู่ความ หรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดี หรือเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดีหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น
เมื่อข้อเท็จจริงดังกล่าวรับฟังได้ว่า บริษัทซีผู้ร้องเป็นบุคคลภายนอกที่อ้างว่าตนเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของบริษัทเอ ประสงค์จะขอสวมสิทธิของบริษัทเอขายทอดตลาดเอาชำระหนี้แก่ตน เช่นนี้ บริษัทซีผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามิใช่คู่ความในคดีหรือเป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะเป็นฝ่ายชนะคดี (ฎ. 8325/2544) ดังนั้น จึงไม่อาจสวมสิทธิบริษัทเอเพื่อดำเนินการขายทอดตลาดเอาชำระหนี้แก่ตนได้ ทั้งกรณีดังกล่าวนี้ ก็ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดให้อำนาจบริษัทซีเข้าสวมสิทธิในการบังคับคดีซึ่งเป็นสิทธิเฉพาะแก่บุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีได้แต่ประการใด (เทียบ ฎ. 7567/2547)
สรุป บริษัทซีไม่อาจสวมสิทธิของบริษัทเอเพื่อดำเนินการขายทอดตลาดเอาชำระหนี้แก่ตนได้