การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2549
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3007 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 2
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ
ข้อ 1 โจทก์ฟ้องว่าได้ทำสัญญาซื้อผ้าแพรจากจำเลยรวมเป็นเงิน 5 ล้านบาท โจทก์วางมัดจำไว้ 1 ล้านบาท ถึงกำหนดส่งสินค้า จำเลยผิดสัญญาไม่ส่งสินค้าให้โจทก์ ขอให้ศาลบังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายที่ขาดผลกำไรจากการขายสินค้านั้นรวม 1 ล้านบาท จำเลยให้การต่อสู้ว่าสัญญาซื้อขายดังกล่าวเป็นโมฆะ เพราะเป็นสินค้าหนีภาษี โจทก์ไม่เสียหาย ขอให้ศาลยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วข้อเท็จจริงได้ความตามข้อต่อสู้ของจำเลย พิพากษายกฟ้อง โจทก์ไม่อุทธรณ์แต่นำคดีนั้นมาฟ้องใหม่เรียกให้จำเลยคืนเงินมัดจำ 1 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย ระหว่างศาลชั้นต้นพิจารณาคดีคู่ความตกลงประนีประนอมยอมความ โดยจำเลยยอมผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์เป็นงวดๆและศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมแล้ว ภายหลังจำเลยจะกลับใจอุทธรณ์ ขอยกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้น หากยังอยู่ในระยะเวลาที่อุทธรณ์ได้ ดังนี้จำเลยจะอุทธรณ์เช่นว่านี้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 138 ในคดีที่คู่ความตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดีโดยมิได้มีการถอนคำฟ้องนั้น และข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความกันนั้นไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ให้ศาลจดรายงานพิสดารแสดงข้อความแห่งข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความเหล่านั้นไว้ แล้วพิพากษาไปตามนั้น
ห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาเช่นว่านี้ เว้นแต่ในเหตุต่อไปนี้
(1) เมื่อมีข้อกล่าวอ้างว่าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฉ้อฉล
(2) เมื่อคำพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่าเป็นการละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
(3) เมื่อคำพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่ามิได้เป็นไปตามข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความ
มาตรา 148 คดีที่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว ในคดีที่มีคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความของคู่ความแล้ว จะอุทธรณ์ต่อไปไม่ได้ เว้นแต่กรณีเข้าข้อยกเว้นอย่างหนึ่งอย่างใด ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 138 วรรคสอง กล่าวคือ
(1) เมื่อมีข้อกล่าวอ้างว่าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฉ้อฉล
(2) เมื่อคำพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่าเป็นการละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
(3) เมื่อคำพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่ามิได้เป็นไปตามข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความ
จำเลยจะอุทธรณ์ได้หรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์ได้นำคดีเดิมซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว เนื่องจากโจทก์ไม่อุทธรณ์มาฟ้องจำเลยอีก เมื่อได้ความว่า คดีนี้กับคดีเดิมโจทก์จำเลยก็เป็นคู่ความเดียวกัน ประเด็นที่นำมาฟ้องก็เป็นประเด็นเดียวกันกับคดีก่อน จึงเป็นกรณีที่โจทก์รื้อฟ้องกัน อีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน อันถือว่าเป็นการฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามมาตรา 148
เมื่อฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำแล้ว คำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้นจึงถือว่าละเมิดต่อกฎหมาย อันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน กรณีเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 138 วรรคสอง (2) เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่ายังอยู่ในช่วงเวลาที่จะอุทธรณ์ได้ จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมได้ ตามมาตรา 138 วรรคสอง (2) (ฎ. 2684/2539)
สรุป จำเลยชอบที่จะอุทธรณ์เช่นว่านี้ได้
ข้อ 2 โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระหนี้ค่าซื้อสินค้าค้างชำระพร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายรวม 2 ล้านบาท จำเลยให้การต่อสู้ว่าไม่ได้ซื้อเชื่อสินค้าโจทก์ ลายมือผู้เซ็นรับสินค้าในใบสินค้าปลอมคดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ศาลยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีให้จำเลยชำระหนี้ตามฟ้องโจทก์พร้อมค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนาย จำเลยประสงค์จะอุทธรณ์ว่าไม่ได้ซื้อเชื่อสินค้าโจทก์ ลายมือผู้เซ็นรับสินค้าในใบรับสินค้าที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นลายมือปลอม หนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ฟ้องคดีมิได้ปิดอากรแสตมป์ตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง คดีโจทก์ขาดอายุความ
ดังนี้ จำเลยจะอุทธรณ์เช่นว่านี้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 225 ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างในการยื่นอุทธรณ์นั้น คู่ความจะต้องกล่าวไว้โดยชัดแจ้งในอุทธรณ์และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งจะต้องเป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยด้วย
ถ้าคู่ความฝ่ายใดมิได้ยกปัญหาข้อใดอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นหรือคู่ความฝ่ายใดไม่สามารถยกปัญหาข้อกฎหมายใดๆขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นเพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ หรือเพราะเหตุเป็นเรื่องที่ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติว่าด้วยกระบวนพิจารณาชั้นอุทธรณ์ คู่ความที่เกี่ยวข้องย่อมมีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างซึ่งปัญหาเช่นว่านั้นได้
วินิจฉัย
ตามมาตรา 225 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายในการยื่นอุทธรณ์นั้น
1) ต้องกล่าวไว้โดยชัดแจ้งในอุทธรณ์
2) ต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น และ
3) อุทธรณ์นั้นไม่ว่าในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายนั้นจะต้องเป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยด้วย
เว้นแต่ จะต้องด้วยหลักเกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ แม้จะไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ก็ยังมีสิทธิที่จะอ้างอิงปัญหา เพื่ออุทธรณ์ในชั้นอุทธรณ์ได้ คือ
1) เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
2) เป็นปัญหาที่คู่ความฝ่ายใดไม่สามารถยกข้อกฎหมายใดๆขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นเพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ หรือ
3) เพราะเหตุเป็นเรื่องศาลชั้นต้นที่ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติว่าด้วยกระบวนพิจารณาชั้นอุทธรณ์
ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวสามารถแยกอุทธรณ์ของจำเลยได้ 3 ประเด็นดังนี้
1 จำเลยไม่ได้ซื้อเชื่อจากโจทก์ ลายมือผู้เซ็นรับสินค้าในใบรับสินค้าที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นลายเซ็นปลอม
2 หนังสือมอบอำนาจโจทก์ให้ฟ้องคดีมิได้ปิดอากรแสตมป์ตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
3 คดีโจทก์ขาดอายุความ
จำเลยจะสามารถอุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าวได้หรือไม่ เห็นว่า ในประเด็นที่ 1 และประเด็นที่ 3 ประเด็นเหล่านี้จำเลยได้ต่อสู้ไว้โดยชอบแล้วในศาลชั้นต้น จำเลยจึงชอบที่จะอุทธรณ์ประเด็นดังกล่าวได้ ตามมาตรา 225 วรรคแรก
ส่วนในประเด็นที่ 2 เรื่องหนังสือมอบอำนาจฟ้องคดีมิได้ปิดอากรแสตมป์ตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้โดยชอบในศาลชั้นต้น ซึ่งโดยปกติแล้ว จะยกขึ้นอุทธรณ์ไม่ได้แต่อย่างไรก็ดี ในกรณีอำนาจฟ้องถือว่าเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงต้องด้วยยกเว้น ตามมาตรา 225 วรรคสอง กรณีเช่นนี้ แม้จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้โดยชอบในศาลชั้นต้น จำเลยก็ชอบที่จะอุทธรณ์ได้ (ฎ. 5095/2548)
สรุป จำเลยอุทธรณ์ได้
หมายเหตุ “ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน” หมายถึง ปัญหาที่ไม่เกี่ยวเฉพาะตัวโจทก์หรือจำเลย แต่เป็นเรื่องทั่วไปของสาธารณชน ประเทศชาติและสังคม เช่น เรื่องเขตอำนาจศาล อำนาจฟ้อง การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลหรือการพิพากษาชอบหรือไม่ การปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์หรือไม่ เป็นต้น
ข้อ 3 ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่งจำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดี ศาลจังวัดยะลาพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ พร้อมค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ระหว่างศาลอุทธรณ์พิจารณาคดี โจทก์ได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ประเทศมาเลเซีย โดยไม่เหลือทรัพย์สินใดๆในประเทศไทย จำเลยทราบข่าวการย้ายภูมิลำเนาของโจทก์ เกรงว่าถ้าโจทก์แพ้คดีในชั้นอุทธรณ์จะหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายแก่จำเลย จำเลยได้ยื่นคำร้องอ้างว่าโจทก์มิได้มีภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานอยู่ในราชอาณาจักร และไม่มีทรัพย์สินที่อาจถูกบังคับคดีได้ในราชอาณาจักร ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้โจทก์วางเงินหรือหาประกันค่าฤชาธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายมาวางศาลก่อนที่ศาลอุทธรณ์จะมีคำพิพากษา ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า
(ก) ศาลใดมีอำนาจไต่สวนและสั่งคำร้องของจำเลย
(ข) ศาลจะสั่งให้โจทก์วางเงินหรือหาประกันฯ ตามคำร้องของจำเลยได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 253 วรรคแรก ถ้าโจทก์มิได้มีภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานอยู่ในราชอาณาจักรและไม่มีทรัพย์สินที่อาจถูกบังคับคดีได้อยู่ในราชอาณาจักร หรือถ้าเป็นที่เชื่อได้ว่าเมื่อโจทก์แพ้คดีแล้วจะหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย จำเลยอาจยื่นคำร้องต่อศาลไม่ว่าเวลาใดๆก่อนพิพากษาขอให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์วางเงินต่อศาลหรือหาประกันมาให้เพื่อการชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้
มาตรา 253 ทวิ ในกรณีที่โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาคัดค้านคำพิพากษาถ้ามีเหตุใดเหตุหนึ่งตามมาตรา 253 วรรคหนึ่ง จำเลยอาจยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาแล้วแต่กรณีไม่ว่าเวลาใดๆ ก่อนพิพากษา ขอให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์วางเงินต่อศาลหรือหาประกันมาให้เพื่อการชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้
วินิจฉัย
(ก) ศาลใดมีอำนาจไต่สวนและสั่งคำร้องของจำเลย เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยร้องขอคุ้มครองในขณะที่คดีอยู่ระหว่างศาลอุทธรณ์พิจารณาคดี กรณีเช่นนี้ แสดงว่าศาลชั้นต้นได้ส่งสำนวนความไปยังศาลอุทธรณ์แล้ว ศาลอุทธรณ์จึงเป็นศาลที่มีอำนาจไต่สวนและสั่งคำร้องของจำเลย
(ข) ศาลจะสั่งให้โจทก์วางเงินหรือหาประกันฯตามคำร้องของจำเลยได้หรือไม่ เห็นว่า โดยหลักแล้ว การคุ้มครองประโยชน์ ตามมาตรา 253 ทวิ ต้องเป็นกรณีโจทก์แพ้คดีในศาลชั้นต้น แล้วโจทก์อุทธรณ์ ระหว่างศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีโจทก์ได้ย้ายภูมิลำเนาไปจากประเทศไทยทั้งไม่มีสำนักทำการงานและทรัพย์สินที่อาจถูกบังคับคดีได้อยู่ในราชอาณาจักร หรือเป็นคดีที่เชื่อได้ว่าเมื่อโจทก์แพ้คดีแล้วจะหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วจำเลยอาจร้องขอคุ้มครอง ตามมาตรา 253 และมาตรา 253 ทวิได้ แต่ข้อเท็จจริงในกรณีนี้ปรากฏว่า จำเลยเป็นฝ่ายอุทธรณ์ กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตราดังกล่าว ดังนั้น ศาลอุทธรณ์จะสั่งตามคำร้องขอของจำเลยไม่ได้ เพราะคำร้องขอของจำเลยไม่เข้าหลักเกณฑ์ มาตรา 253 ทวิ วรรคแรก
สรุป
(ก) ศาลอุทธรณ์เป็นศาลที่มีอำนาจไต่สวนและสั่งคำร้องของจำเลย
(ข) ศาลอุทธรณ์จะสั่งตามคำร้องขอของจำเลยไม่ได้
ข้อ 4 โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยคืนแหวนเพชร ราคา 200,000 บาท ที่จำเลยยืมไปใช้ในวันแต่งงานของเพื่อนร่วมรุ่น ถ้าคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 200,000 บาท จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนแหวนเพชรดังกล่าว ถ้าคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาตามฟ้องแก่โจทก์ คดีถึงที่สุด จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ เนื่องจากคนร้ายยกเค้าบ้าน แหวนถูกลักไป ทั้งไม่มีเงินจะใช้ราคา โจทก์ได้ขอหมายบังคับคดียึดรถยนต์ของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ ก่อนถึงวันนัดขายทอดตลาดตำรวจจับคนร้ายได้พร้อมของกลางได้คืนแหวนเพชรให้จำเลย จำเลยได้นำแหวนเพชรมาคืนให้โจทก์แต่โจทก์ไม่ยอมรับ อ้างว่าได้ยึดทรัพย์แล้วเลยขั้นตอนที่จะรับคืน จึงไม่รับคืน ดังนี้ข้ออ้างของโจทก์รับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 271 ถ้าคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดี (ลูกหนี้ตามคำพิพากษา) มิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทั้งหมดหรือบางส่วน คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะ (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษา หรือคำสั่งนั้นได้ภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง โดยอาศัยและตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว การบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลต้องดำเนินการบังคับคดีก่อนหลังตามลำดับที่ระบุไว้ในคำพิพากษา หาใช่เป็นสิทธิของโจทก์ที่จะเลือกให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาอย่างหนึ่งอย่างใดตามอำเภอใจไม่ (ฎ. 5641/2540 , ฎ 788/2543)
คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยคืนแหวนเพชร ถ้าคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 200,000 บาท ให้แก่โจทก์นั้น เป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาให้เป็นไปตามลำดับในคำพิพากษา กล่าวคือ ถ้าการบังคับคดีตามลำดับนั้น ในลำดับแรกยังบังคับได้อยู่ ลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่มีสิทธิเลือกปฏิบัติการชำระหนี้ อีกทั้งฝ่ายเจ้าหนี้ก็ไม่มีสิทธิบังคับชำระหนี้ในลำดับหลังเช่นกัน
เมื่อได้ความว่า ตำรวจจับคนร้ายพร้อมของกลางและได้คืนแหวนเพชรให้จำเลย ทำให้จำเลยสามารถนำแหวนเพชรมาคืนให้โจทก์ได้ กรณีเช่นนี้ ต้องถือว่าจำเลยได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว ข้อที่ว่าหากจำเลยคืนแหวนเพชรไม่ได้ให้จำเลยใช้ราคาจึงไม่เกิดขึ้น แม้โจทก์ได้ขอหมายบังคับคดียึดรถยนต์ของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดมาชำระหนี้ ซึ่งเป็นการบังคับชำระหนี้ในลำดับที่ 2 แล้วก็ตาม แต่เมื่อจำเลยอยู่ในวิสัยที่จะนำแหวนเพชรมาคืนให้โจทก์ได้ ก็ไม่มีเหตุที่จะขายทอดตลาดรถยนต์อีกต่อไป
ดังนั้น เมื่อจำเลยได้นำแหวนเพชรมาคืนโจทก์ โจทก์ไม่ยอมรับโดยอ้างว่าได้ยึดทรัพย์แล้ว เลยขั้นตอนที่จะรับคืน จึงรับคืนไม่ได้ ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น
สรุป ข้ออ้างของโจทก์ฟังไม่ขึ้น