การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2551
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3007 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 2
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ
ข้อ 1 ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง จำเลยซึ่งแพ้คดีได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นโดยจำเลยชำระค่าธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น แต่ไม่ชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาพร้อมอุทธรณ์ตามมาตรา 229 ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า จำเลยไม่มีเจตนาฝ่าฝืนไม่ชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ จึงให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ ให้จำเลยชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ต่อศาลชั้นต้นภายใน 5 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง แล้วให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งอุทธรณ์ของจำเลยต่อไป จำเลยไม่เห็นชอบด้วยกับคำสั่งศาลอุทธรณ์ ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าจำเลยจะฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 236 วรรคแรก เมื่อคู่ความยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ปฏิเสธไม่ยอมรับอุทธรณ์ให้ศาลส่งคำร้องเช่นว่านั้นไปยังศาลอุทธรณ์โดยไม่ชักช้าพร้อมด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีของศาลชั้นต้นและฟ้องอุทธรณ์ ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นเป็นการจำเป็นที่จะต้องตรวจสำนวน ให้มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ ในกรณีเช่นนี้ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาคำร้อง แล้วมีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นหรือมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ คำสั่งนี้ให้เป็นที่สุด แล้วส่งไปให้ศาลชั้นต้นอ่าน
มาตรา 247 ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาหรือมีคำสั่งในชั้นอุทธรณ์แล้วนั้น ให้ยื่นฎีกาได้ภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งอุทธรณ์นั้นและภายใต้บังคับบทบัญญัติสี่มาตราต่อไปนี้กับกฎหมายอื่นว่าด้วยการฎีกา ให้นำบทบัญญัติในลักษณะ 1 ว่าด้วยอุทธรณ์มาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม
วินิจฉัย
คำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่จะถือว่าเป็นที่สุดตามมาตรา 236 วรรคแรกนั้น ต้องได้ความว่า ศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นหรือมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยจะฎีกาคำสั่งของศาลอุทธรณ์ได้หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์มิได้มีคำสั่งยืนตามคำสั่งปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย และคำสั่งของศาลอุทธรณ์กรณีนี้ก็ไม่ได้มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยแต่ประการใด ศาลอุทธรณ์เพียงแต่เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์ และให้แจ้งจำเลยชำระค่าขึ้นศาลภายในระยะเวลาที่กำหนดและให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งอุทธรณ์ต่อไปเท่านั้น กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 236 วรรคแรก อันจะทำให้คดีถึงที่สุดไม่ ดังนั้น จำเลยจึงชอบที่จะฎีกาต่อไปได้ ตามมาตรา 247 (คำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ 919/2550)
สรุป จำเลยฎีกาคำสั่งของศาลอุทธรณ์ต่อไปได้
ข้อ 2 โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความ 1,000,000 บาท แก่โจทก์จำเลยให้การว่า สัญญาประนีประนอมยอมความตามฟ้องไม่มีมูลหนี้ จำเลยไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้องในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์และจำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า สัญญาประนีประนอมยอมความตามฟ้องมีมูลหนี้ตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายแก่โจทก์ ซึ่งโจทก์เคยฟ้องจำเลยให้รับผิดชำระเงินตามเช็คดังกล่าวแล้ว แต่ศาลพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่าเช็คมีมูลหนี้มาจากการเล่นพนันกัน คดีถึงที่สุดศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์แล้วนัดฟังคำพิพากษา ครั้นถึงวันนัดฟังคำพิพากษาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนการพิจารณาในวันที่โจทก์และจำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงกันดังกล่าว โดยอ้างว่าผิดระเบียบ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องและมีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยฟังข้อเท็จจริงตามที่ได้ความจากคำแถลงรับของโจทก์และจำเลยดังกล่าวจึงวินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยตามฟ้องไม่มีมูลหนี้ จำเลยไม่ต้องรับผิดชำระเงินแก่โจทก์
ให้วินิจฉัยว่า โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่งดสืบพยานโจทก์ และที่ยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอน
การพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวได้หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 24 วรรคแรกและวรรคท้าย เมื่อคู่ความฝ่ายใดยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นอ้าง ซึ่งถ้าหากได้วินิจฉัยให้เป็นคุณแก่ฝ่ายนั้นแล้ว จะไม่ต้องมีการพิจารณาคดีต่อไปอีก หรือไม่ต้องพิจารณาประเด็นสำคัญแห่งคดีบางข้อ หรือถึงแม้จะดำเนินการพิจารณาประเด็นข้อสำคัญแห่งคดีไป ก็ไม่ทำให้ได้ความชัดขึ้นอีกแล้วเมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีคำขอ ให้ศาลมีอำนาจที่จะมีคำสั่งให้มีผลว่าก่อนดำเนินการพิจารณาต่อไป ศาลจะได้พิจารณาปัญหาข้อกฎหมายเช่นว่านี้แล้ววินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหานั้น
คำสั่งใดๆของศาลที่ได้ออกตามมาตรานี้ ให้อุทธรณ์และฎีกาได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 227, 228 และ 247
มาตรา 226 ก่อนศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ถ้าศาลนั้นได้มีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 227 และ 228
(1) ห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณา
(2) ถ้าคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งคำสั่งใด ให้ศาลจดข้อโต้แย้งนั้นลงไว้ในรายงาน คู่ความที่โต้แย้งชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ศาลได้มีคำพิพากษา หรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีนั้นเป็นต้นไป
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ไม่ว่าศาลจะได้มีคำสั่งให้รับคำฟ้องไว้แล้วหรือไม่ ให้ถือว่าคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งของศาลนับตั้งแต่มีการยื่นคำฟ้องต่อศาลนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 227 และ 228 เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
มาตรา 227 คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับหรือให้คืนคำคู่ความตามมาตรา 18 หรือคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา 24 ซึ่งทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องนั้น มิให้ถือว่าเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณาและให้อยู่ภายในข้อบังคับของการอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี
วินิจฉัย
คำสั่งระหว่างพิจารณาจะอุทธรณ์ทันทีไม่ได้ ต้องโต้แย้งคำสั่งไว้เพื่อใช้สิทธิในการอุทธรณ์ภายหลังมีคำพิพากษาแล้ว ตามมาตรา 226
ส่วนกรณีที่ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ตามความในมาตรา 227 และ 228 นั้น คำสั่งศาลกรณีนี้ ตามกฎหมายบัญญัติมิให้ถือว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา และอยู่ภายใต้บังคับการอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี กล่าวคือ คู่ความมีสิทธิอุทธรณ์ได้ทันทีและจะต้องอุทธรณ์ภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดี (โดยไม่ต้องโต้แย้ง)
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่งดสืบพยานโจทก์ได้หรือไม่ เห็นว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่งดสืบพยานโจทก์แล้วมีคำสั่งพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยตรง ฟังข้อเท็จจริงตามที่ได้ความจากคำแถลงรับของโจทก์และจำเลยว่าสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยตามฟ้องไม่มีมูลนั้น จำเลยไม่ต้องรับผิดชำระเงินแก่โจทก์ เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจในการดำเนินกระบวนการพิจารณาสืบพยาน โดยเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่โจทก์และจำเลยแถลงรับกันนั้น เป็นอันเพียงพอที่จะรับฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติได้ โดยไม่จำเป็นต้องให้คู่ความนำพยานหลักฐานมาสืบ จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณามิใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย ตามมาตรา 24 กรณีเช่นนี้โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่งดสืบพยานโจทก์ โดยมิได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าวไว้ก่อนมีคำพิพากษาไม่ได้ ต้องห้ามตามมาตรา 226(2) (ฎ. 201/2524)
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบได้หรือไม่ เห็นว่า คำสั่งของศาลดังกล่าวถือเป็นคำสั่งใดๆ ก่อนที่ศาลนั้นจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีและมิใช่คำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามมาตรา 227, 228 ทั้งมิได้ทำให้คดีนั้นเสร็จไปจากศาล จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในระหว่างพิจารณาและคู่ความฝ่ายที่โต้แย้งคำสั่งนั้นไว้ชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์ได้เมื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีแล้ว ตามมาตรา 226(1) (2) (ฎ. 160/2514 และ ฎ. 7/2544)
แต่อย่างไรก็ดีคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226(2) คู่ความจะต้องโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้เสียก่อนจึงจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ภายหลัง และประการสำคัญศาลต้องให้คู่ความมีโอกาสและมีเวลาพอสมควรที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นได้ แต่เมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งดังกล่าวแล้วมีคำพิพากษาในวันเวลาเดียวกัน ย่อมทำให้โจทก์ไม่มีเวลาและโอกาสยื่นคำโต้แย้งและคำสั่งดังกล่าวได้ กรณีเช่นนี้โจทก์จึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้โดยไม่ต้องโต้แย้งไว้ก่อนมีคำพิพากษา (ฎ. 169/2511)
สรุป โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่งดสืบพยานโจทก์ไม่ได้ แต่โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบได้
ข้อ 3 โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับขับไล่จำเลยออกไปจากบ้านและที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การต่อสู้ว่าบ้านและที่ดินเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย และจำเลยก็เป็นทายาท โจทก์จะขับไล่จำเลยไม่ได้ ขอให้ศาลยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าบ้านและที่ดินเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย และโจทก์จำเลยต่างก็เป็นทายาทของผู้ตาย และมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะส่งสำนวนความอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลว่าบ้านและที่ดินที่พิพาทมีค่าเช่าเดือนละ 20,000 บาท ในระหว่างคดี และโจทก์เป็นผู้รับไปแต่ฝ่ายเดียว ขอให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์นำค่าเช่ามาวางต่อศาล ศาลไต่สวนไดข้อเท็จจริงตามคำร้องของจำเลย และมีคำสั่งให้โจทก์นำค่าเช่ามาวางต่อศาล
ดังนี้ ศาลใดมีอำนาจสั่งคำร้องของจำเลย และคำสั่งให้โจทก์นำค่าเช่ามาวางต่อศาลชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 264 นอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในมาตรา 253 และมาตรา 254 คู่ความชอบที่จะยื่นคำขอต่อศาล เพื่อให้มีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างการพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษา เช่น ให้นำทรัพย์สินหรือเงินที่พิพาทมาวางต่อศาลหรือต่อบุคคลภายนอก หรือให้ตั้งผู้จัดการหรือผู้รักษาทรัพย์สินของห้างร้านที่ทำการค้าที่พิพาท หรือให้จัดให้บุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่ในความปกครองของบุคคลภายนอก
คำขอตามวรรคแรกให้บังคับตามมาตรา 21 มาตรา 25 มาตรา 227 มาตรา 228 มาตรา 260 และมาตรา 262
วินิจฉัย
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า ศาลใดมีอำนาจสั่งคำร้องของจำเลย เห็นว่า การที่จำเลยร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์นำค่าเช่ามาวางต่อศาล ถือเป็นคำขอวิธีการชั่วคราว ตามมาตรา 264 เมื่อจำเลยยื่นในระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นศาลที่คดีนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณา จึงเป็นศาลที่มีอำนาจสั่งคำร้องของจำเลย ทั้งมาตรา 264 ก็มิได้บัญญัติให้นำมาตรา 254 วรรคท้ายมาใช้กับคำขอ ตามมาตรา 264
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า คำสั่งให้โจทก์นำค่าเช่ามาวางศาลชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ในการพิจารณาเพื่อมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอที่ยื่นไว้ ตามมาตรา 264 ศาลจะต้องพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอเพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิ หรือประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งที่พิพาทในคดีให้ได้รับการคุ้มครองไว้ก่อนพิพากษา
เมื่อจำเลยให้การต่อสู้และให้ศาลยกฟ้องโจทก์ แต่จำเลยมิได้ฟ้องแย้งให้ใช้ค่าเสียหายที่มิได้รับผลประโยชน์จากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายด้วย กรณีเช่นนี้ จำเลยจะร้องขอให้โจทก์นำผลประโยชน์และค่าเช่ามาวางศาลอุทธรณ์ไม่ได้ เพราะถ้าจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีศาลก็จะพิพากษายกฟ้องโจทก์ไปตามคำขอท้ายคำให้การของจำเลยเท่านั้น ไม่มีผลบังคับไปถึงค่าเช่าและผลประโยชน์อันเกิดจากที่ดินพิพาทด้วยแต่ประการใด ดังนั้น การที่ศาลมีคำสั่งให้โจทก์นำค่าเช่ามาวางต่อศาลจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 264 ( ฎ. 1463/2515)
สรุป ศาลอุทธรณ์เป็นศาลที่อำนาจสั่งคำร้องของจำเลย และคำสั่งที่ให้โจทก์นำค่าเช่ามาวางต่อศาลไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ 4 ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีถึงที่สุดให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทของโจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 30,000 บาท จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดีระหว่างพนักงานบังคับคดีจัดการตามคำพิพากษา จำเลยได้นำเงิน 30,000 บาท มาวางต่อศาลชั้นต้นเพื่อชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา ในกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(1) นายจันทร์ยื่นคำร้องว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับคดี ขอให้ศาลมีคำสั่งกันที่ดินพิพาทจากการบังคับคดีของโจทก์
(2) นายอังคารยื่นคำร้องว่า นายอังคารเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยซึ่งศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 50,000 บาท แก่นายอังคาร แต่จำเลยไม่มีทรัพย์สินใดที่นายอังคารอาจบังคับคดีได้ ขอให้มีคำสั่งให้นายอังคารเฉลี่ยทรัพย์จากเงินที่จำเลยนำมาวางต่อศาลชั้นต้น
ให้วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งรับคำร้องของนายจันทร์ และนายอังคารไว้พิจารณาหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 287 ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 288 และ 289 บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น ย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงบุริมสิทธิหรือสิทธิอื่นๆ ซึ่งบุคคลภายนอกอาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ตามกฎหมาย
มาตรา 290 เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินอย่างใดของลูกหนี้ตามคำพิพากษาไว้แทนเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว ห้ามไม่ให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นยึดหรืออายัดทรัพย์สินนั้นซ้ำอีก แต่ให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเช่นว่านี้มีอำนาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลที่ออกหมายบังคับให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินนั้นเพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้ตนเข้าเฉลี่ยในทรัพย์สินหรือเงินที่ขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินนั้นได้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ไม่ว่าในกรณีใดๆ ห้ามมิให้ศาลอนุญาตตามคำขอเช่นว่ามานี้ เว้นแต่ศาลเห็นว่าผู้ยื่นคำขอไม่สามารถเอาชำระได้จากทรัพย์สินอื่นๆของลูกหนี้ตามคำพิพากษา
วินิจฉัย
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งรับคำร้องของนายจันทร์ไว้พิจารณาหรือไม่ เห็นว่า คำร้องของนายจันทร์ที่ขอให้ศาลมีคำสั่งกันที่ดินพิพาทจากการบังคับคดีของโจทก์ ถือเป็นคำขอ ตามมาตรา 287 ซึ่งบัญญัติว่า “การบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงบุริมสิทธิหรือสิทธิอื่นๆ ซึ่งบุคคลภายนอกอาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ตามกฎหมาย” ซึ่งการที่โจทก์ขอให้บังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการให้โจทก์เข้าครอบครองบ้านพิพาทนั้นถือเป็นการใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของโจทก์จากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิที่จะยึดไว้ มิใช่เป็นการบังคับคดีหรือบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในอันที่ผู้ร้องจะขอกันส่วนบ้านพิพาทในคดีนี้ได้ ทั้งนี้เพราะการร้องขอกันส่วน ได้แก่ การที่บุคคลภายนอกผู้เป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิหรือสิทธิอื่นๆ ร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่มีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินนั้น หรือขอให้เอาเงินที่ได้จากการขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินของลูกนี้ตามคำพิพากษามาชำระหนี้ของตนก่อนเจ้าหนี้อื่น แต่กรณีมิใช่การบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 287 ดังกล่าว นายจันทร์จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอกันส่วนที่ดินพิพาทจากการบังคับคดีของโจทก์ในที่ดินได้ ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งรับคำร้องของนายจันทร์ไว้พิจารณาไม่ได้ (ฎ. 4832/2536)
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งรับคำร้องของนายอังคารไว้พิจารณาหรือไม่ เห็นว่า โดยหลักแล้ว ตามมาตรา 290 กำหนด ให้อำนาจเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นของลูกหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งให้ตนเฉลี่ยในทรัพย์สินหรือเงินที่ขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดหรืออายัดไว้แทนเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น แต่เงินจำนวน 30,000 บาท เป็นเงินที่จำเลยนำมาวางต่อศาลชั้นต้นเพื่อชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา มิใช่ทรัพย์สินหรือเงินที่ได้จากการขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดหรืออายัดไว้แทนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา กรณีเช่นนี้แม้นายอังคารเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นของจำเลย นายอังคารก็ไม่มีสิทธิขอให้ศาลมีคำสั่งให้นายอังคารเฉลี่ยทรัพย์ตามคำร้องได้ ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งรับคำร้องของนายอังคารไว้พิจารณาไม่ได้ (ฎ. 1324/2503 (ประชุมใหญ่) ฎ. 6324/2538)
สรุป ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับคำร้องของนายจันทร์และนายอังคาร