การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2550
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3007 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 2
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ
ข้อ 1 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์ด้วยความประมาทเลินเล่อเฉี่ยวชนโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัส โจทก์ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลไปจำนวน 60,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ จำเลยให้การต่อสู้คดีระหว่างพิจารณา บริษัทมิตรแท้ จำกัด ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยยื่นคำร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาต ต่อมา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 20,000 บาท แก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์เสียหายตามฟ้อง ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์เต็มตามฟ้อง จำเลยอุทธรณ์ว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้บริษัทมิตรแท้ จำกัด ร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วม เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ
ให้วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 1 ในประมวลกฎหมายนี้ ถ้าข้อความมิได้แสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น
(5) “คำคู่ความ” หมายความว่า บรรดาคำฟ้อง คำให้การหรือคำร้องทั้งหลายที่ยื่นต่อศาลเพื่อตั้งประเด็นระหว่างคู่ความ
มาตรา 57 บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด
(2) ด้วยความสมัครใจเองเพราะตนมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีนั้น โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลไม่ว่าเวลาใดๆก่อนมีคำพิพากษา ขออนุญาตเข้าเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วมหรือเข้าแทนที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียทีเดียวโดยได้รับความยินยอมของคู่ความฝ่ายนั้น แต่ว่าแม้ศาลจะได้อนุญาตให้เข้าแทนที่กันได้ก็ตาม คู่ความฝ่ายนั้นจำต้องผูกพันตนโดยคำพิพากษาของศาลทุกประการ เสมือนหนึ่งว่ามิได้มีการเข้าแทนที่กันเลย
มาตรา 224 วรรคแรก ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาทหรือไม่เกินจำนวนที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เว้นแต่ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลชั้นต้นได้ทำความเห็นแย้งไว้หรือได้รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้ หรือถ้าไม่มีความเห็นแย้งหรือคำรับรองเช่นว่านี้ต้องได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นหรืออธิบดีผู้พิพากษาภาคผู้มีอำนาจแล้วแต่กรณี
วินิจฉัย
ตามมาตรา 224 วรรคแรก ที่กำหนดว่า ในคดีที่ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาท ในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงนั้น ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทนี้ “ให้ถือเอาทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์” เป็นหลักในการพิจารณา มิใช่ทุนทรัพย์ที่ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น (ฎ.3367/2538)
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์หรือไม่ เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า โจทก์เสียหายตามฟ้อง ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์เต็มตามฟ้อง ถือเป็นอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาเกี่ยวกับการกำหนดค่าเสียหายอันเป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้น จึงเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ตามคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์มีจำนวนเท่ากับค่าเสียหายที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยรับผิดเพิ่มขึ้นจากคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพียง 40,000 บาท ซึ่งถือว่าไม่เกิน 50,000 บาท กรณีเช่นนี้ อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวของโจทก์จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ตามมาตรา 224 วรรคแรก
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้บริษัทมิตรแท้ จำกัด ร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบนั้น เมื่อพิจารณาแล้วได้ความว่า คำร้องสอดของบริษัทมิตรแท้ จำกัด ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่ขอเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ตามมาตรา 57(2) ถือเป็นคำคู่ความ ตามมาตรา 1(5) เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตตามคำร้องของบริษัทมิตรแท้ จำกัด ผู้ร้องสอดในฐานะคู่ความผู้ถูกกระทบสิทธิโดยผลของคำสั่งนั้น จึงชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ตามมาตรา 233 คดีนี้เมื่อปรากฏว่าบริษัทฯ มิได้อุทธรณ์ จำเลยย่อมไม่มีสิทธิที่จะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวแทนผู้ร้องแต่ประการใด ทั้งนี้เพราะจำเลยมิใช่คู่ความในส่วนของคดีร้องสอดหรือไม่เป็นบุคคลภายนอกที่ถูกกระทบกระเทือนหรือมีส่วนได้เสียในการที่ศาลยกคำร้องดังกล่าวนั่นเอง (ฎ. 1254/2527)
สรุป ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยไม่ได้
ข้อ 2 ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ จำเลยต่างอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 อุทธรณ์พร้อมกับขอดำเนินอย่างคนอนาถาขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล รวมทั้งเงินวางศาล ศาลอนุญาต จำเลยที่ 2 อุทธรณ์แต่ไม่วางค่าธรรมเนียมศาลตามมาตรา 229 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ทนายของจำเลยที่ 2 มีความเห็นว่า เป็นหนี้ร่วมที่จำเลยที่ 1 และ 2 ต้องร่วมกันรับผิดชอบ เมื่อศาลยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลให้จำเลยที่ 1 ย่อมมีผลถึงจำเลยที่ 2 ด้วย ดังนี้ ความเห็นของทนายจำเลยที่ 2 รับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 229 การอุทธรณ์นั้นให้ทำเป็นหนังสือยื่นต่อศาลชั้นต้นซึ่งมีคำพิพากษาหรือคำสั่งภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น และผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์นั้นด้วย ให้ผู้อุทธรณ์ยื่นสำเนาอุทธรณ์ต่อศาล เพื่อส่งให้แก่จำเลยอุทธรณ์ (คือฝ่ายโจทก์หรือจำเลยความเดิมซึ่งเป็นฝ่ายที่มิได้อุทธรณ์ความนั้น) ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 235 และ 236
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว การอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลนั้น ตามมาตรา 229 ได้กำหนดให้ผู้อุทธรณ์ต้องวางค่าธรรมเนียมศาลพร้อมอุทธรณ์ เว้นแต่ คดีที่ขอฟ้องหรือต่อสู้คดีอย่างคนอนาถา และศาลได้อนุญาต ตามมาตรา 157 และมาตรา 149 วรรคท้ายแล้ว ผู้อุทธรณ์ไม่ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนอีกฝ่ายหนึ่งมาวางศาล (ฎ. 316/2518)
การที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสองจึงเป็นลูกหนี้ร่วมกันที่จะต้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ คำพิพากษาของศาลชั้นต้นพร้อมกับคำขอดำเนินคดีชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลอนุญาต กรณีเช่นนี้การที่ศาลอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถา จะมีผลไปถึงจำเลยที่ 2 ด้วยหรือไม่ เห็นว่า ตามมาตรา 157 บัญญัติว่า “เมื่อศาลอนุญาตให้บุคคลใดฟ้องหรือต่อสู้ความอย่างอนาถา บุคคลนั้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลในการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้น ค่าธรรมเนียมเช่นว่านั้นให้รวมถึงเงินค่าวางศาลในการยื่นฟ้องอุทธรณ์หรือฎีกา” ซึ่งเมื่อพิจารณาตามหลักบทบัญญัติดังกล่าว แสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งว่า การยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลรวมทั้งเงินวางศาลในการยื่นอุทธรณ์แก่จำเลยที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างอนาถานั้น เป็นเรื่องของจำเลยแต่ละคน แม้ศาลจะอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถาก็ไม่มีผลถึงจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด (ฎ. 8188/2538)
ดังนั้น ความเห็นของทนายจำเลยที่ 2 ที่ว่า เป็นหนี้ร่วมที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องร่วมกันรับผิดชอบ เมื่อศาลยกค่าธรรมเนียมศาลให้จำเลยที่ 1 ย่อมมีผลถึงจำเลยที่ 2 ด้วย จึงฟังไม่ขึ้น
สรุป การที่ศาลอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาไม่มีผลถึงจำเลยที่ 2 ความเห็นของทนายจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
ข้อ 3 โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลย ห้ามมิให้จำเลยใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์ และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 10 ล้านบาท ฐานละเมิดลอกเลียนแบบเครื่องหมายการค้าโจทก์ จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าจำเลยไม่ได้ลอกเลียนแบบเครื่องหมายการค้าโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง ก่อนวันสืบพยานโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้มีคำสั่งอายัดเงินที่จำเลยฝากไว้กับธนาคารและห้ามมิให้จำเลยใช้เครื่องหมายการค้าที่พิพาทไว้ก่อนมีคำพิพากษา แต่มิได้แนบสำเนาคำร้องเพื่อส่งให้แก่จำเลย และศาลมิได้สั่งให้ส่งสำเนาคำร้องให้จำเลยได้มีโอกาสได้คัดค้านก่อน ในวันไต่สวนศาลสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว โดยจำเลยไม่ได้มีโอกาสได้คัดค้านก่อน และมีคำสั่งให้อายัดเงินฝากธนาคารและห้ามจำเลยใช้เครื่องหมายการค้าที่พิพาทไว้ก่อนมีคำพิพากษา
ดังนี้ การที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอของโจทก์ โดยไม่ส่งสำเนาคำร้องเพื่อให้โอกาสจำเลยได้คัดค้านก่อนชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 21 เมื่อคู่ความฝ่ายใดเสนอคำขอหรือคำแถลงต่อศาล
(3) ถ้าประมวลกฎหมายนี้บัญญัติไว้ว่า คำขออันใดอาจทำได้แต่ฝ่ายเดียวแล้ว ให้ศาลมีอำนาจที่จะฟังคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือคู่ความอื่นๆ ก่อนออกคำสั่งในเรื่องนั้นๆได้ เว้นแต่ในกรณีที่คำขอนั้นเป็นเรื่องขอหมายเรียกให้ให้การ หรือเพื่อยึดหรืออายัดทรัพย์สินก่อนคำพิพากษา หรือเพื่อให้ออกหมายบังคับ หรือเพื่อจับหรือกักขังจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษา
มาตรา 254 ในคดีอื่นๆ นอกจากคดีมโนสาเร่ โจทก์ชอบที่จะยื่นต่อศาลพร้อมกับคำฟ้องหรือในเวลาใดๆ ก่อนพิพากษา ซึ่งคำขอฝ่ายเดียว ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งภายในบังคับแห่งเงื่อนไขซึ่งจะกล่าวต่อไปเพื่อจัดให้มีวิธีคุ้มครองใดๆดังต่อไปนี้
(1) ให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของจำเลยทั้งหมดหรือบางส่วนไว้ก่อนพิพากษา รวมทั้งจำนวนเงินหรือทรัพย์สินของบุคคลภายนอกซึ่งถึงกำหนดชำระแก่จำเลย
(2) ให้ศาลมีคำสั่งห้ามชั่วคราวมิให้จำเลยกระทำซ้ำหรือกระทำต่อไป ซึ่งการละเมิดหรือการผิดสัญญาหรือการกระทำที่ถูกฟ้องร้อง หรือมีคำสั่งอื่นใดในอันที่จะบรรเทาความเดือดร้อนเสียหายที่โจทก์อาจได้รับต่อไปเนื่องจากการกระทำของจำเลยหรือมีคำสั่งห้ามชั่วคราวมิให้จำเลยโอน ขาย ยักย้ายหรือจำหน่ายซึ่งทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของจำเลย หรือมีคำสั่งให้หยุดหรือป้องกันการเปลืองไปเปล่าหรือการบุบสลายซึ่งทรัพย์สินดังกล่าว ทั้งนี้ จนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว คำขอคุ้มครองชั่วคราว ตามมาตรา 254 วรรคแรก ถือเป็นคำขอฝ่ายเดียวโดยเฉพาะคำขอให้ยึดหรืออายัด ตามมาตรา 254(1) และคำขอให้จับกุมและกักขังจำเลย ตามมาตรา 254(4) และถือว่าเป็นคำขอฝ่ายเดียวโดยเคร่งครัด กล่าวคือ ศาลจะสั่งคำขอโดยไม่ต้องส่งสำเนาคำขอและไม่ต้องฟังคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อน ส่วนคำขอห้ามชั่วคราว ตามมาตรา 254(2)และ(3) ถือเป็นดุลพินิจของศาลที่จะฟังคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือไม่ก็ได้ (ฎ. 699/2508)
การที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอของโจทก์ โดยไม่ส่งสำเนาคำร้องเพื่อให้โอกาสจำเลยได้คัดค้านก่อนชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แยกพิจารณาดังนี้
ประเด็นแรก โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งอายัดเงินที่จำเลยฝากไว้กับธนาคาร เห็นว่าคำร้องของโจทก์ดังกล่าวถือเป็นคำขอ ตามมาตรา 254(1) ซึ่งถือว่าเป็นคำขอฝ่ายเดียว และเป็นคำขอฝ่ายเดียวโดยเคร่งครัดที่ศาลอยู่ในบังคับที่จะฟังคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ ดังนั้น การที่ศาลไต่สวนสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวโดยไม่ได้ส่งสำเนาคำร้องขอให้จำเลย จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ตามมาตรา 254(2) ประกอบมาตรา 21(3) ตอนท้าย
อนึ่ง เมื่อได้ความว่าเป็นคำขอฝ่ายเดียวโดยเคร่งครัด หากศาลยังส่งสำเนาคำร้องให้จำเลยกรณีเช่นนี้ อาจทำให้ผู้ขอได้รับความเสียหาย กล่าวคือ จำเลยอาจยักย้ายทรัพย์สินหลบหนีการยึดหรืออายัดได้
ประเด็นที่สอง คำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามมิให้จำเลยใช้เครื่องหมายการค้าที่พิพาทไว้ก่อนมีคำพิพากษา เห็นว่า คำร้องขอของโจทก์ดังกล่าวถือเป็นคำขอ ตามมาตรา 254(2) อันเป็นคำขอฝ่ายเดียวที่ไม่เคร่งครัด กล่าวคือ เป็นดุลพินิจของศาลที่จะส่งสำเนาให้อีกฝ่ายหนึ่งหรือไม่ก็ได้ ดังนั้น เมื่อได้ความว่า ศาลไต่สวนสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวโดยไม่ส่งสำเนาคำร้องให้จำเลยได้มีโอกาสคัดค้านก่อน อันถือว่า ศาลใช้ดุลพินิจไม่รับฟังคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง ตามมาตรา 21(3) ตอนต้น ฉะนั้น คำสั่งศาลในกรณีนี้จึงชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน
สรุป คำสั่งศาลที่อนุญาตตามคำขอของโจทก์โดยไม่ส่งสำเนาคำร้องเพื่อให้โอกาสจำเลยได้คัดค้านก่อนทั้ง 2 กรณีนั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ข้อ 4 ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินแก่โจทก์กึ่งหนึ่งในฐานะเจ้าของร่วม จำเลยไม่ปฏิบัติ ศาลแพ่งออกหมายบังคับตามคำร้องขอของโจทก์ และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดินดังกล่าวเพื่อขายนำเงินมาแบ่งให้โจทก์กึ่งหนึ่ง ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินที่เป็นส่วนของโจทก์กึ่งหนึ่ง ขอให้กันเงินที่ได้จากการขายที่ดินส่วนที่โจทก์จะได้รับดังกล่าวกึ่งหนึ่ง
ให้วินิจฉัยว่า ศาลแพ่งจะมีคำสั่งรับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณาได้หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 282 วรรคแรก ถ้าคำพิพากษาหรือคำสั่งใดกำหนดให้ชำระเงินจำนวนหนึ่ง ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติห้ามาตราต่อไปนี้ เจ้าพนักงานบังคับคดีย่อมมีอำนาจที่จะรวบรวมเงินให้พอชำระตามคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยวิธียึดหรืออายัด และขายทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามบทบัญญัติในลักษณะนี้
มาตรา 287 ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 288 และ 289 บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น ย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงบุริมสิทธิหรือสิทธิอื่นๆ ซึ่งบุคคลภายนอกอาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ตามกฎหมาย
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว การที่บุคคลภายนอกจะใช้สิทธิทางศาล ตามมาตรา 287 ได้นั้น ต้องได้ความว่า มีการบังคับคดีหรือบังคับชำระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ และการบังคับคดีนั้น ไปกระทบกระเทือนถึงบุริมสิทธิ์หรือสิทธิอื่นๆของบุคคลภายนอก
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า ศาลแพ่งจะมีคำสั่งรับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณาได้หรือไม่ เห็นว่า คำพิพากษาที่ให้จำเลยแบ่งกรรมสิทธิ์รวมที่ดินแก่โจทก์กึ่งหนึ่งในฐานะเจ้าของร่วมด้วยกันนั้น โจทก์และจำเลยมิได้อยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ต่อกัน การบังคับคดีแก่ที่ดินเพื่อแบ่งในระหว่างเจ้าของรวม จึงมิใช่การบังคับแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเพื่อชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 282 วรรคแรก กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ ตามมาตรา 287 ที่บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 288 และ 289 บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น ย่อมไม่กระทบกระเทือนถึงบุริมสิทธิ์หรือสิทธิอื่นๆ ซึ่งบุคคลภายนอกอาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ตามกฎหมาย” ผู้ร้องย่อมไม่อาจกล่าวอ้างสิทธิของผู้ร้องที่มีอยู่แก่โจทก์เข้ามาในชั้นบังคับคดีนี้ได้ หากผู้ร้องมีสิทธิในเงินที่โจทก์จะได้รับจากการบังคับคดีแก่ที่ดินในคดีนี้อย่างไรก็ชอบที่จะว่ากล่าวเอาแก่โจทก์ต่างหากจากคดีนี้ ศาลแพ่งชอบที่จะไม่รับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณา (ฎ.5470/2536)
สรุป ศาลแพ่งชอบที่จะไม่รับคำร้องขอกันส่วนของผู้ร้องไว้พิจารณา