การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2552
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 นายคมถูกพนักงานสอบสวนจับกุมสอบสวนในข้อหาฉ้อโกง นายหนึ่งและนายสอง และทำร้ายร่างกายนายสองได้รับอันตรายสาหัส ต่อมาพนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องนายคมในข้อหาฉ้อโกงแต่มีคำสั่งฟ้องนายคมในข้อหาทำร้ายร่างกายนายสองได้รับอันตรายสาหัส แล้วยื่นฟ้องนายคม ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษนายคมตามฟ้อง นายคมอุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ นายสองได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ส่วนคดีข้อหาฉ้อโกง นายหนึ่งได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีเอง ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น นายสองได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับนายหนึ่ง ให้วินิจฉัยว่า
(ก) นายสองมีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในคดีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย เป็นเหตุให้นายสองได้รับอันตรายสาหัสหรือไม่ เพราะเหตุใด
(ข) นายสองมีสิทธิเข้าร่วมเป็นโจทก์กับนายหนึ่งในความผิดฐานฉ้อโกงหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 30 คดีอาญาใดซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนั้นก็ได้
มาตรา 31 คดีอาญาที่มิใช่ความผิดต่อส่วนตัว ซึ่งผู้เสียหายยื่นฟ้องแล้ว พนักงานอัยการจะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในระยะใดก่อนคดีเสร็จเด็ดขาดก็ได้
(ก) วินิจฉัย
กำหนดระยะเวลาการขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการนั้นตามมาตรา 30 ได้กำหนดให้ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาเท่านั้น กรณีตามอุทาหรณ์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษนายคมตามฟ้องแล้ว ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ นายสองได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 30 ดังนั้น นายสองจึงไม่มีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ (ฎ. 392/2512)
(ข) วินิจฉัย
เมื่อพิจารณาบทบัญญัติมาตรา 30 และ 31 จะเห็นว่ากฎหมายประสงค์ให้มีการร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้เฉพาะกรณีที่ผู้เสียหายร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ และกรณีที่พนักงานอัยการร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับผู้เสียหายสำหรับคดีที่มิใช่วามผิดต่อส่วนตัวเท่านั้น สิทธิในการขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีอาญานอกจาก 2 กรณีดังกล่าวนี้แล้วย่อมไม่อาจมีได้
ดังนั้นกรณีนี้ เมื่อปรากฏว่านายหนึ่งได้เป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาแล้ว นายสองจึงต้องร้องเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมในคดีนี้ไม่ได้ เนื่องจาก กรณีที่ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับผู้เสียหายด้วยกันไม่ได้มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจไว้นั่นเอง
สรุป
(ก) นายสองไม่มีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ
(ข) นายสองยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับนายหนึ่งไม่ได้
ข้อ 2 พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนางเจ๋งเป็นจำเลยคดีอาญา ฐานขับรถประมาททำให้ทรัพย์สินเสียหายและกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 จากเหตุที่นางเจ๋งขับรถประมาทชนรถของนางจิ๋มเสียหาย และนางแจ๋วซึ่งนั่งโดยสารมาในรถของนางจิ๋มได้รับอันตรายสาหัสขาหัก ศาลอาญาพิพากษาลงโทษนางเจ๋ง ตามฟ้อง คดีถึงที่สุด แต่นางเจ๋งไม่ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นางจิ๋มและนางแจ๋ว นางจิ๋มและนางแจ่วจึงต่างเป็นโจทก์ฟ้องนางเจ๋งเป็นจำเลยในคดีแพ่ง ฐานละเมิดและเรียกค่าเสียหายโดยนางจิ๋มและนางแจ๋วต่างก็อ้างคำพิพากษาคดีอาญาที่พิพากษาลงโทษนางเจ๋งดังกล่าว ดังนี้ ศาลในคดีแพ่งจะวินิจฉัยคดีของนางจิ๋มและคดีของนางแจ๋วอย่างไร
ธงคำตอบ
มาตรา 2 ในประมวลกฎหมายนี้
(4) ผู้เสียหาย หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6
มาตรา 46 ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว การที่จะถือเอาข้อเท็จจริงในคำพิพากษาคดีส่วนอาญามาพิพากษาในคดีส่วนแพ่งได้นั้น จะต้องเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญาซึ่งศาลได้วินิจฉัยไว้โดยแจ้ง และคำพิพากษาคดีอาญาต้องถึงที่สุดแล้ว ประการสำคัญคือ ผู้ที่จะถูกข้อเท็จจริงในคดีอาญามาผูกพันในคดีแพ่ง จะต้องเป็นคู่ความในคดีอาญาเท่านั้น
คดีของนางจิ๋ม เนื่องจากนางจิ๋มมิใช่ผู้เสียหายในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนางเจ๋งเป็นจำเลยในฐานความผิดต่อ พ.ร.บ. จราจรทางบกฯ จากเหตุที่นางเจ๋งขับรถประมาทชนรถของนางจิ๋มเสียหายตามมาตรา 2(4) เพราะความผิดต่อ พ.ร.บ. จราจรทางบกฯ เป็นความผิดเกี่ยวกับรัฐ รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้องคดี นางจิ๋มย่อมไม่มีอำนาจฟ้องคดีอาญา จึงถือไม่ได้ว่าพนักงานอัยการฟ้องคดีอาญาแทนนางจิ๋ม คำพิพากษาคดีส่วนอาญาจึงไม่ผูกพันนางเจ๋ง ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ศาลในคดีแพ่งที่นางจิ๋มเป็นโจทก์ฟ้องนางเจ๋งจึงต้องพิจารณาและฟังข้อเท็จจริงในคดีแพ่งใหม่ (ฎ. 1927/2514 , ฎ. 1997/2524 , ฎ. 778/2532)
คดีของนางแจ๋ว นางแจ๋วเป็นผู้เสียหายโดยตรงตามมาตรา 2(4) ในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนางเจ๋งเป็นจำเลยฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา 300 พนักงานอัยการจึงอยู่ในฐานะฟ้องคดีอาญาแทนนางแจ๋ว คำพิพากษาคดีส่วนอาญาจึงผูกพันนางเจ๋ง และนางแจ๋ว ดังนั้นในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาว่านางเจ๋งกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นางแจ๋วได้รับอันตรายสาหัส จะฟังข้อเท็จจริงใหม่ให้ขัดกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีนั้นไม่ได้ (ฎ. 6598/2539)
สรุป ศาลในคดีแพ่งที่นางจิ๋มเป็นโจทก์ฟ้องนางเจ๋ง ต้องพิจารณาและฟังข้อเท็จจริงในคดีแพ่งใหม่
ส่วนในคดีแพ่งที่นางแจ๋วเป็นโจทก์ฟ้องนางเจ๋ง ต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาว่านางเจ๋งกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นางแจ๋วได้รับอันตรายสาหัส
ข้อ 3 นายแดงซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีฆ่าผู้อื่นได้เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน เมื่อพนักงานสอบสวนได้ถามชื่อ ที่อยู่แล้ว ก็ได้แจ้งให้ทราบถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำที่กล่าวหาว่าผู้ต้องหาได้กระทำความผิด หลังจากนั้นก็แจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นให้ทราบ เมื่อผู้ต้องหาได้ทราบข้อหาแล้วจึงให้การสารภาพพนักงานสอบสวนจึงรีบบันทึกถ้อยคำรายละเอียดแห่งการรับสารภาพนั้น เพราะกลัวจะบันทึกไม่ทันรายละเอียดแห่งคำรับสารภาพของผู้ต้องหา หลังจากนั้นจึงได้บันทึกเกี่ยวกับการถามเรื่องทนายความ และแจ้งให้ทราบว่าผู้ต้องหามีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้ ถ้อยคำที่ให้การไปแล้วนั้นใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้ และผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการถามปากคำตนได้ ต่อมาพนักงานอัยการได้ฟ้องคดีนี้ต่อศาลและอ้างคำรับสารภาพของผู้ต้องหาดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานยันจำเลยในชั้นศาล
เช่นนี้ คำรับสารภาพของผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนนั้นจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหานั้นได้เพียงใดหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 134/4 ในการถามคำให้การผู้ต้องหา ให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบก่อนว่า
(1) ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้ ถ้าผู้ต้องหาให้การถ้อยคำที่ผู้ต้องหาให้การนั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้
(2) ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้
ถ้อยคำใดๆที่ผู้ต้องหาให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนก่อนมีการแจ้งสิทธิตามวรรคหนึ่ง หรือก่อนที่จะดำเนินการตามมาตรา 134/1 มาตรา 134/2 และมาตา 134/3 จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้นั้นไม่ได้
วินิจฉัย
เมื่อพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว ในการถามคำให้การผู้ต้องหา พนักงานสอบสวนมีหน้าที่ต้องแจ้งสิทธิให้ผู้ต้องหาทราบก่อนว่า
(1) ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้ ถ้าผู้ต้องหาให้การถ้อยคำที่ผู้ต้องหาให้การนั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้
(2) ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้
หากได้ความว่าพนักงานสอบสวนไม่แจ้งสิทธิดังกล่าวหรือแจ้งสิทธิดังกล่าวไม่ครบ ถ้อยคำของผู้ต้องหาที่ได้ให้ไว้ ย่อมไม่อาจรับฟังเป้นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหาได้ตามมาตรา 134/4 วรรคแรก (1) (2) ประกอบวรรคท้าย
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า คำสารภาพของนายแดงในชั้นสอบสวนนั้น จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของนายแดงนั้นได้พียงใดหรือไม่ เห็นว่า เมื่อนายแดงผู้ต้องหาเข้ามอบตัว ก่อนถามคำให้การพนักงานสอบสวนได้ถามเพียงชื่อ ที่อยู่ และแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นให้นายแดงทราบเท่านั้น แต่ไม่ได้แจ้งสิทธิตามกฎหมายให้นายแดงผู้ต้องหาทราบก่อนถามคำให้การ ดังนั้นถ้อยคำรับสารภาพและรายละเอียดแห่งคำรับสารภาพที่นายแดงให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนนั้น จึงไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของนายแดงได้ ต้องห้ามตามมาตรา 134/4 วรรคท้าย (ฎ. 769/2482 , ฎ. 57/2498)
สรุป คำรับสารภาพของนายแดงผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนนั้นจะรับเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดไม่ได้
ข้อ 4 พ.ต.ท. ปวัน และ ร.ต.อ มานเมตต์ พบนายรังสี กำลังรอขึ้นเครื่องบินที่สนามบินสุวรรณภูมิ พ.ต.อ. ปวัน บอก ร.ต.อ. มานเมตต์ว่า เมื่อสองวันมาแล้วนายรังสีหลบหนีการควบคุมหลังจากการจับกุมของตนตามหมายจับในข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับอันตรายสาหัส ร.ต.อ. มานเมตต์ได้เดินเข้าไปหานายรังสีแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและแจ้งว่าต้องถูกจับ ทั้งแจ้งข้อหาดังกล่าวกับแจ้งสิทธิตามกฎหมาย จากนั้นได้จับนายรังสีนำส่งพนักงานสอบสวน
ดังนี้ การจับของ ร.ต.อ. มานเมตต์ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 66 เหตุที่จะออกหมายจับได้มีดังต่อไปนี้
(2) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทำความผิดอาญาและมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนีหรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุอันตรายประการอื่น
มาตรา 68 หมายจับคงใช้ได้อยู่จนกว่าจะจับได้ เว้นแต่ความผิดอาญาตามหมายนั้นขาดอายุความหรือศาลซึ่งออกหมายนั้นได้ถอนหมายคืน
มาตรา 78 พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับผู้ใด โดยไม่มีหมายจับหรือคำสั่งของศาลนั้นไม่ได้ เว้นแต่
(3) เมื่อมีเหตุที่จะออกหมายจับบุคคลนั้นตามมาตรา 66(2) แต่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่อาจขอให้ศาลออกหมายจับบุคคลนั้นได้
วินิจฉัย
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า การจับของ ร.ต.อ. มานเมตต์ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า แม้ ร.ต.อ. มานเมตต์ไม่ใช่ผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานผู้จัดการตามหมายจับ และหมายจับใช้ไม่ได้เพราะจับตัวผู้ต้องหาตามหมายจับได้แล้วตามมาตรา 68 ก็ตาม แต่ ร.ต.อ. มานเมตต์ก็มีอำนาจจับผู้ต้องหาได้เนื่องจากมีหลักฐานตามสมควรว่านายรังสีผู้ต้องหาน่าจะได้กระทำความผิดอาญาจนมีการออกหมายจับแล้วและมีเหตุอันควรเชื่อว่าน่าจะหลบหนี เพราะเคยหลบหนีแล้ว ประกอบกับมีความจำเป็นเร่งด่วนไม่อาจขอให้ศาลออกหมายจับนายรังสีได้ เพราะนายรังสีกำลังรอขึ้นเครื่องบิน ดังนั้น การจับของ ร.ต.อ. มานเมตต์จึงชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 78(3) ประกอบมาตรา 66(2)
สรุป การจับของ ร.ต.อ. มานเมตต์ชอบด้วยกฎหมาย