การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นางพลอยอยู่กินกับสามีโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส  มีบุตรสาวชื่อนางสาวไพลิน  อายุ  19  ปี  นางสาวไพลินกำลังศึกษาอยู่ที่คณะนิติศาสตร์  มหาวิทยาลัยรามคำแหง  ชั้นปีที่  4  นายเสือบุกรุกเข้าไปลักทรัพย์นาฬิกาของนางสาวไพลิน  ที่นางสาวไพลินซื้อมาด้วยเงินรายได้จากการทำงานในวันหยุด  ดังนี้

(ก)  นางสาวไพลินร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนท้องที่เกิดเหตุ  ให้ดำเนินคดีนายเสือฐานบุกรุกและลักทรัพย์  โดยนางพลอยไม่อนุญาต  ถ้าท่านเป็นพนักงานสอบสวน  ท่านจะดำเนินการอย่างไร

(ข)  นางสาวไพลินยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ดำเนินคดีนายเสือฐานบุกรุกและลักทรัพย์  โดยนางพลอยอนุญาตและยินยอม  ถ้าท่านเป็นศาล  ท่านจะวินิจฉัยคดีนี้อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  2  ในประมวลกฎหมายนี้

(4)  ผู้เสียหาย  หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5  และ  6

(7) คำร้องทุกข์  หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้นจะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ

มาตรา  5  บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล  เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทำต่อผู้เยาว์หรือผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล

มาตรา  28  บุคคลเหล่านี้มีอำนาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล

(2) ผู้เสียหาย

วินิจฉัย

(ก)  นางสาวไพลินมีอำนาจร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน  หรือไม่  เห็นว่านางสาวไพลิน  อายุ  19  ปี  จึงมีสถานภาพเป็นผู้เยาว์  ในกรณีที่ผู้เยาว์เป็นผู้เสียหายที่แท้จริงนั้น  ตามกฎหมายได้กำหนดให้ผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นผู้จัดการแทนผู้เยาว์ตามมาตรา  2(4)  ประกอบมาตรา  5(1)  แต่ในเรื่องการร้องทุกข์  ผู้เยาว์ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงสามารถร้องทุกข์เองได้แม้จะไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก็ตาม  (ฎ. 1982/2494)

ดังนั้น  เมื่อได้ความว่า  นางสาวไพลิน  ซึ่งอยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหาย  ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน  ให้ดำเนินคดีกับนายเสือฐานบุกรุกและลักทรัพย์  พนักงานสอบสวนต้องรับคำร้องทุกข์ของนางสาวไพลินและทำการสอบสวนคดีนี้ต่อไป

(ข)  นางสาวไพลินจะยื่นฟ้องต่อศาลได้หรือไม่  เห็นว่า  นางสาวไพลินอายุ  19  ปี  จึงมีสถานภาพเป็นผู้เยาว์  ในกรณีที่ผู้เยาว์เป็นผู้เสียหายที่แท้จริงนั้น  ตามกฎหมายได้กำหนดให้ผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นผู้จัดการแทนผู้เยาว์  ตามมาตรา  2(4)  ประกอบมาตรา  5(1)

ดังนั้น  ในกรณีที่ผู้เยาว์จะฟ้องคดีอาญาต้องให้ผู้แทนโดยชอบธรรมฟ้องคดีแทน  ตามมาตรา  2(4)  5(1)  และมาตรา  28(2)  เนื่องจากผู้เยาว์ไม่สามารถฟ้องคดีอาญาด้วยตนเอง  แม้จะได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก็ตาม  นางสาวไพลินจึงไม่สามารถยื่นฟ้องต่อศาลได้  (ฎ. 563/2517,  ฎ. 631/2538)

สรุป

(ก)  พนักงานสอบสวนต้องรับคำร้องทุกข์ของนางสาวไพลิน  และทำการสอบสวนคดีนี้ต่อไป

(ข)  ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง

 

ข้อ  2  พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องเจี๊ยบเป็นจำเลยในคดีอาญาข้อหาขับรถประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหายตาม  พ.ร.บ. จราจรทางบก  จากกรณีที่เจี๊ยบขับรถประมาทชนท้ายรถของเจ๋งได้รับความเสียหาย  ศาลพิพากษาลงโทษเจี๊ยบตามฟ้อง  คดีถึงที่สุด  ต่อมาเจ๋งเป็นโจทก์ฟ้องเจี๊ยบเป็นจำเลยที่  1  บริษัท  จิ๋วประกันภัย  จำกัด  ซึ่งรับประกันภัยรถยนต์ของเจี๊ยบเป็นจำเลยที่  2  ในคดีแพ่งโดยเจ๋งได้อ้างคำพิพากษาในคดีอาญาข้างต้นเพื่อให้เจี๊ยบและบริษัท  จิ๋วประกันภัย  จำกัด  ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่เจ๋ง

ดังนี้  หากท่านเป็นศาลในคดีแพ่ง  จะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญา  เนื่องจากข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติถึงที่สุดแล้วว่าเจี๊ยบขับรถประมาทชนกับรถของเจ๋งเสียหาย  หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  46  ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง  ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริง  ตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา

วินิจฉัย

การที่จะถือเอาข้อเท็จจริงในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา  มาพิพากษาในคดีส่วนแพ่งได้นั้น  จะต้องเป็นคดีที่มีมูลกรณีเดียวกัน  และเป็นคู่ความเดียวกัน  ซึ่งในคดีอาญาที่พนักงานเป็นโจทก์  คู่ความในคดีส่วนแพ่งก็จะต้องเป็นผู้เสียหายในคดีนั้นด้วย

พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องเจี๊ยบในความผิดตาม  พ.ร.บ.  จราจรทางบกซึ่งเป็นความผิดที่รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย  เจ๋งไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดดังกล่าว  จึงไม่อาจถือได้ว่าพนักงานอัยการฟ้องคดีอาญาแทนเจ๋ง  ผลในคำพิพากษาคดีอาญาจึงไม่ผูกพันเจ๋ง  ส่วนบริษัท  จิ๋วประกันภัย  จำกัด  ก็ไม่ใช่คู่ความในคดีอาญา  จึงนำผลในคำพิพากษาคดีอาญามาผูกพันบริษัท  จิ๋วประกันภัย  จำกัด  ไม่ได้  ดังนั้นศาลในคดีแพ่งจึงไม่ต้องถือข้อเท็จจริง  ตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา  ในกรณีนี้  ไม่ต้องด้วย  มาตรา  46  แต่อย่างใด  (ฎ. 1927 1928/2533)

สรุป  ศาลในคดีแพ่งต้องฟังข้อเท็จจริงในคดีแพ่งใหม่  ไม่จำต้องถือข้อเท็จตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญา

 

ข้อ  3  นายแดงกระทำความผิดฐานลักทรัพย์  ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปี  ขณะที่นายแดงกระทำความผิดนั้นมีอายุ  17  ปีพอดี  มีนายดำอายุ  14  ปีพอดีเหมือนกันเห็นเหตุการณ์  ต่อมาอีก  11  เดือน  ตำรวจจับนายแดงได้  นำส่งพนักงานสอบสวน  พนักงานสอบสวนจึงดำเนินการดังนี้

(ก)  ทำการสอบสวนนายแดงในวันที่รับตัวนายแดงนั้น  โดยจัดหาทนายความให้  และได้สอบต่อหน้าทนายความ  โดยไม่มีบุคคลอื่นใดเข้าร่วมในการสอบปากคำนั้นเลย  นายแดงให้การรับสารภาพซึ่งพนักงานสอบสวนได้บันทึกถ้อยคำนั้นไว้

(ข)  ต่อมาหลังจากที่จับกุมนายแดงได้อีก  3  เดือน  พนักงานสอบสวนจึงเรียกนายดำพยานมาให้ถ้อยคำและให้ชี้ตัวนายแดง  นายดำได้ให้การยืนยันว่าเห็นนายแดงทำผิดและชี้ตัวได้ถูกต้อง  และพนักงานสอบสวนได้บันทึกปากคำไว้  ทั้งนี้เพียงแต่มีบุคคลที่เด็กร้องขอเข้าร่วมในการถามปากคำและร่วมในการชี้ตัวด้วยเท่านั้น

การดำเนินการสอบสวนของพนักงานสอบสวนทั้งสองกรณีนั้น  ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  133  ทวิ  ในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกายอันมิใช่ความผิดที่เกิดจากการชุลมุนต่อสู้  ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพ  ความผิดฐานกรรโชก  ชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์  ตามประมวลกฎหมายอาญา  ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี  ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก  ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการหรือคดีความผิดอื่นที่มีอัตราโทษจำคุกซึ่งผู้เสียหายหรือพยานที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปีให้พนักงานสอบสวนแยกกระทำเป็นสัดส่วนในสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเด็ก  และให้มีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์  บุคคลที่เด็กร้องขอและพนักงานอัยการร่วมอยู่ด้วยในการถามปากคำเด็กนั้น  และในกรณีที่นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์เห็นว่าการถามปากคำเด็กคนใดหรือคำถามใด  อาจจะมีผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจเด็กอย่างรุนแรง  ให้พนักงานสอบสวนถามผ่านนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์เป็นการเฉพาะตามประเด็นคำถามของพนักงานสอบสวนโดยมิให้เด็กได้ยินคำถามของพนักงานสอบสวนและห้ามมิให้ถามเด็กซ้ำซ้อนหลายครั้งโดยไม่มีหตุอันสมควร

มาตรา  133  ตรี  ในกรณีที่พนักงานสอบสวนมีความจำเป็นต้องจัดให้ผู้เสียหายหรือพยานที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปีชี้ตัวบุคคลใดให้พนักงานสอบสวนจัดให้มีการชี้ตัวบุคคลในสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเด็กและสามารถป้องกันมิให้บุคคลซึ่งจะถูกชี้ตัวนั้น  เห็นตัวเด็ก  โดยให้มีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์  บุคคลที่เด็กร้องขอและพนักงานอัยการร่วมอยู่ด้วย  ในการชี้ตัวบุคคลนั้น  เว้นแต่มีเหตุจำเป็นไม่อาจหาหรือรอบุคคลหนึ่งได้และเด็กไม่ประสงค์จะให้มีหรือรอบุคคลดังกล่าวต่อไป  ทั้งนี้  ให้พนักงานสอบสวนบันทึกเหตุดังกล่าวไว้ในสำนวนการสอบสวนด้วย

มาตรา  134/2  ให้นำบทบัญญัติในมาตรา  133  ทวิ  มาใช้บังคับโดยอนุโลมแก่การสอบสวนผู้ต้องหาที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี

วินิจฉัย

(ก)  ขณะเกิดเหตุนายแดงมีอายุ  17  ปีพอดี  ต่อมาอีก  11  เดือน  จึงจับได้และทำการสอบปากคำในวันจับได้นั้น  แสดงว่านายแดงเป็นผู้ต้องหาในขณะนั้นมีอายุยังไม่เกิน  18  ปี  และในคดีลักทรัพย์มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน  3  ปี  ฝนการสอบสวนปากคำผู้ต้องหาจึงต้องมีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์บุคคลที่เด็กร้องขอและพนักงานอัยการเข้าร่วมในการถามปากคำนั้นด้วยตาม  มาตรา  133  ทวิประกอบมาตรา  134/2

(ข)  นายดำเป็นพยานขณะเกิดเหตุมีอายุ  17  ปี  ต่อมาอีก  11  เดือน  จับนายแดงได้และอีก  3  เดือนต่อมา  พนักงานสอบสวนจึงเรียกมาให้ถ้อยคำและได้ชี้ตัวนายแดง  แสดงว่าขณะที่พนักงานสอบสวนถามปากคำและให้ชี้ตัวนั้น  นายดำมีอายุเกินกว่า  18  ปีแล้ว

เช่นนี้จึงไม่ต้องมีบุคคลอื่นใดตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  133  ทวิ  และมาตรา  133  ตรี  เข้าร่วมในการสอบปากคำและชี้ตัวด้วย  ทั้งนี้การถามปากคำหรือชี้ตัวของพยานเด็กอายุไม่เกิน  18  ปีนั้น  ต้องถืออายุในขณะถามปากคำและชี้ตัวเป็นสำคัญ  เมื่อขณะถามปากคำและชี้ตัวนั้น  นายดำมีอายุเกิน  18  ปีแล้ว  จึงไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรา  133  ทวิและมาตรา  133  ตรี  แม้จะมีบุคคลที่เด็กร้องขอฟังอยู่ด้วยก็ไม่มีกฎหมายห้าม  การสอบปากคำและชี้ตัวของนายดำ  จึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

(ก)  การสอบสวนของพนักงานสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข)  การสอบสวนของพนักงานสอบสวนชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  4  พ.ต.ต. สิทธิชัยขับรถออกตรวจท้องที่เวลาห้าทุ่ม  เห็นนายสุเมธยกปืนขึ้นเล็งไปที่นายปริญญาซึ่งทั้งนายสุเมธและนายปริญญาอยู่ภายในบ้านของนางปุ้ย  พ.ต.ต.สิทธิชัยจึงเข้าไปทำการจับกุมนายสุเมธในบ้านของนางปุ้ยทันทีโดยที่ไม่มีหมายจับและหมายค้น

ดังนี้การที่  พ.ต.ต.สิทธิชัยเข้าไปจับนายสุเมธในบ้านของนางปุ้ยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  78  พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับผู้ใด  โดยไม่มีหมายจับหรือคำสั่งของศาลนั้นไม่ได้  เว้นแต่

(1) เมื่อบุคคลนั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้าดังได้บัญญัติไว้ในมาตรา  80

มาตรา  80  วรรคแรก  ที่เรียกว่าความผิดซึ่งหน้านั้น  ได้แก่  ความผิดซึ่งเห็นกำลังกระทำหรือพบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยได้เลยว่าเขาได้กระทำผิดมาแล้วสดๆ

มาตรา  81  ไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม  ห้ามมิให้จับในที่รโหฐาน  เว้นแต่จะได้ทำตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน

มาตรา  92  ห้ามมิให้ค้นในที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นหรือคำสั่งของศาล  เว้นแต่พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเป็นผู้ค้นและในกรณีดังต่อไปนี้

(2)  เมื่อปรากฏความผิดซึ่งหน้ากำลังกระทำลงในที่รโหฐาน

มาตรา  96  การค้นในที่รโหฐานต้องกระทำระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและตก  มีข้อยกเว้นดังนี้

(2) ในกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่งหรือซึ่งมีกฎหมายอื่นบัญญัติให้ค้นได้เป็นพิเศษ  จะทำการค้นในเวลากลางคืนก็ได้

วินิจฉัย

การจับของ  พ.ต.ต.  สิทธิชัยเป็นการจับในที่รโหฐานในเวลากลางคืน  (เนื่องจากตามข้อเท็จจริงการกระทำความผิดเกิดเวลาห้ามทุ่ม)  ซึ่งการที่จะเข้าไปจับได้ต้องมีอำนาจในการจับโดยมีหมายจับ  หรืออำนาจที่กฎหมายให้ทำการจับได้โดยไม่ต้องมีหมายและต้องทำตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน  คือ  มีอำนาจในการค้นโดยมีหมายค้นหรือมีอำนาจที่กฎหมายให้ทำการค้นได้โดยไม่ต้องมีหมาย  รวมถึงจะต้องมีอำนาจที่จะเข้าไปทำการค้นในที่รโหฐานในเวลากลางคืน

การที่  พ.ต.ต. สิทธิชัย  เห็นนายสุเมธยกปืนขึ้นเล็งไปที่นายปริญญา  การกระทำของนายสุเมธเป็นความผิดฐานพยายามฆ่านายปริญญา  ตาม  ป.อ.  มาตรา  288  ประกอบมาตรา  80  เมื่อ  พ.ต.ต.  สิทธิชัย  เห็นการกระทำดังกล่าวจึงมีอำนาจในการจับเนื่องจากเป็นความผิดซึ่งหน้า  ประเภทความผิดซึ่งหน้าอย่างแท้จริงกรณีเห็นบุคคลกำลังกระทำความผิดตามมาตรา  78  ประกอบมาตรา  80  วรรคแรก  และตามปัญหาเป็นกรณีนายสุเมธกระทำความผิดซึ่งหน้า  (พ.ต.ต. สิทธิชัย)  ในบ้านของนางปุ้ยซึ่งเป็นที่รโหฐาน  จึงถือว่า  พ.ต.ต. สิทธิชัย  ได้ทำตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐานคือมีอำนาจในการค้นแล้วตามมาตรา  92(2) ประกอบมาตรา  81  ถือเป็นกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่งซึ่งจะทำการค้นในที่รโหฐานเวลากลางคืนก็ได้ตามมาตรา  96(2)  เนื่องจากหาก  พ.ต.ต. สิทธิชัยไม่เข้าไปขณะนั้น  (เวลาห้าทุ่ม)  นายปริญญาอาจได้รับอันตรายถึงชีวิตได้  พ.ต.ต. สิทธิชัยจึงสามารถเข้าไปทำการจับนายสุเมธในบ้านของนางปุ้ยได้

สรุป  การที่  พ.ต.ต. สิทธิชัยเข้าไปจับนายสุเมธในบ้านของนางปุ้ยชอบด้วยกฎหมาย 

Advertisement