การสอบซ่อมภาค 2 และภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2547
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 นายเก่งกาจอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ได้จ่ายสำนวนคดีอาญาเรื่องหนึ่งให้นายมานะผู้พิพากษาอาวุโสและนายรองฤทธิ์ผู้พิพากษาประจำศาลเป็นองค์คณะ เมื่อองค์คณะทั้งสองได้พิจารณาคดีเสร็จแล้ว จึงนำสำนวนคดีไปปรึกษานายเก่งกาจอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา เมื่อนายเก่งกาจได้ตรวจสำนวนคดีแล้ว มีความเห็นเช่นเดียวกันกับองค์คณะทั้งสองว่า จำเลยกระทำความผิดจริง สมควรลงโทษจำคุกจำเลยสิบปี นายมานะซึ่งป่วยเป็นโรคหัวใจอยู่แล้วได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหันโดยที่ยังไม่ทันได้ทำคำพิพากษา นายรองฤทธิ์ซึ่งเป็นองค์คณะที่เหลืออยู่ได้เรียบเรียงคำพิพากษาแล้วนำไปให้นายสมเดชรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาซึ่งมีอาวุโสน้อยที่สุดในจำนวนรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาทั้งหมด นายสมเดชได้ตรวจสำนวนคดีแล้วมีความเห็นเช่นเดียวกับองค์คณะเดิมและอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาซึ่งได้เคยปรึกษาคดีกันมาก่อนจึงลงลายมือชื่อในคำพิพากษาเป็นองค์คณะร่วมกับนายรองฤทธิ์ (ในขณะนั้นอธิบดีผู้พิพากษาและรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาอีกสองคนยังคงมาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ)
ท่านเห็นว่าการให้คำปรึกษาของอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาและการลงลายมือชื่อของนายสมเดชชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 11 ประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น และผู้พิพากษาหัวหน้าศาล ต้องรับผิดชอบในราชการของศาลให้เป็นไปโดยเรียบร้อย และให้มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ด้วย
(4) ให้คำแนะนำแก่ผู้พิพากษาในศาลนั้นในข้อขัดข้องเนื่องในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษา
มาตรา 29 ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา และเฉพาะในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และศาลชั้นต้นมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว
(3) ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แล้วแต่กรณี
มาตรา 30 เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 หมายถึง กรณีที่ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะนั่งพิจารณาคดีนั้นพ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่ หรือถูกคัดค้านและถอนตัวไป หรือไม่อาจปฏิบัติราชการจนไม่สามารถนั่งพิจารณา หรือคำพิพากษาในคดีนั้นได้
วินิจฉัย
อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญามีอำนาจให้คำปรึกษาได้ ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 11(4) ที่ให้อำนาจอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นให้คำแนะนำแก่ผู้พิพากษาในศาลนั้นในข้อขัดข้องเนื่องในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษา หรือการพิจารณาพิพากษาคดี ทั้งนี้จะบังคับหรือสั่งให้กระทำตามความเห็นของตนมิได้ เพราะกฎหมายให้อำนาจเพียงแค่การให้คำแนะนำเท่านั้น ผู้พิพากษาจะเห็นด้วยหรือไม่เป็นดุลพินิจ
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายมานะและนายรองฤทธิ์เป็นองค์คณะพิจารณาคดีเสร็จแล้ว คดีจึงอยู่ระหว่างการทำคำพิพากษา การที่นายมานะซึ่งป่วยเป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว ได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหันโดยที่ยังไม่ทันได้ทำคำพิพากษา จึงถือเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ตามมาตรา 30 ต้องให้ผู้พิพากษาตามมาตรา 29(3) มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาเป็นองค์คณะร่วม ซึ่งได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา หรือรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา หรือผู้ทำการแทน ดังนั้นการที่นายสมเดชตรวจสำนวนคดีและร่วมลงลายมือชื่อในคำพิพากษาเป็นองค์คณะร่วมกับนายรองฤทธิ์ จึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมแล้ว แม้ขณะนั้นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาและรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาที่มีอาวุโสมากกว่ายังคงมาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติก็ตาม
สรุป การให้คำปรึกษาของอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
การลงลายมือชื่อของนายสมเดชชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
ข้อ 2 ประธานศาลอุทธรณ์ได้จ่ายสำนวนคดีให้นายบันลือ นายก้องเกียรติ และนายมีศักดิ์เป็นองค์คณะพิจารณาคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง ต่อมาคดีนี้ได้นำเข้าพิจารณาในที่ประชุมใหญ่ของศาลอุทธรณ์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ทุกคนได้เข้าประชุมใหญ่ พิจารณาคดีแพ่งเรื่องดังกล่าวจนเสร็จสิ้น นายบันลือ นายก้องเกียรติ และนายมีศักดิ์ได้ร่วมกันทำคำพิพากษาตามมติที่ประชุมใหญ่ นายเก่งผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ซึ่งได้เข้าประชุมใหญ่ด้วย แต่มีความเห็นไม่ตรงกับที่ประชุมใหญ่ ได้ลงลายมือชื่อในคำพิพากษาและทำความเห็นแย้งหลังจากได้ตรวจสำนวนคดีที่ประชุมใหญ่แล้ว
ท่านเห็นว่า คำพิพากษาดังกล่าวชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 27 ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค หรือศาลฎีกา ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสามคนจึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้
ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค และผู้พิพากษาศาลฎีกาที่เข้าประชุมใหญ่ในศาลนั้นหรือในแผนกคดีของศาลดังกล่าว เมื่อได้ตรวจสำนวนคดีที่ประชุมใหญ่หรือที่ประชุมแผนกคดีแล้ว มีอำนาจพิพากษาหรือทำคำสั่งคดีนั้นได้ และเฉพาะในศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย
วินิจฉัย
การที่ประธานศาลอุทธรณ์จ่ายสำนวนคดีให้นายบันลือ นางก้องเกียรติและนายมีศักดิ์เป็นองค์คณะพิจารณาคดีแพ่งเรื่องหนึ่งนั้น ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 27 วรรคแรกที่บังคับว่าต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย 3 คนเป็นองค์คณะ
เมื่อคดีเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมใหญ่ของศาลอุทธรณ์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่เข้าประชุมใหญ่ในศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิพากษาคดีนั้นได้ เมื่อได้ตรวจสำนวนคดีที่ประชุมใหญ่แล้ว ดังนั้นการที่นายบันลือ นายก้องเกียรติ และนายมีศักดิ์ได้ร่วมกันทำคำพิพากษาตามมติที่ประชุมใหญ่ และนายเก่งได้ลงลายมือชื่อในคำพิพากษาด้วยนั้น คำพิพากษาดังกล่าวก็ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 27 วรรคสอง เพระนายเก่งเป็นผู้พิพากษาที่เข้าประชุมใหญ่นั้น แม้จะทำให้มีองค์คณะเกินกว่า 3 คน ก็ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 27 วรรคแรกแต่อย่างใด
ส่วนการที่นายเก่งมีความเห็นไม่ตรงกับที่ประชุมใหญ่ และได้ทำความเห็นแย้งหลังจากได้ตรวจสำนวนคดีที่ประชุมใหญ่แล้วนั้น นายเก่งมีอำนาจกระทำได้ ตามมาตรา 27 วรรคสองตอนท้าย
สรุป คำพิพากษาดังกล่าวชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
ข้อ 3 ศาลอาญากรุงเทพใต้มีนายดำเป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ มีนายเอก นายโท นายตรี เป็นรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้เรียงลำดับความอาวุโส มีนายเก่งเป็นผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ที่มีอาวุโสรองจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้
นายหนึ่งฟ้องนายสองข้อหาชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสองหมื่นบาทต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยมีนายดำอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้เป็นผู้ไต่สวนมูลฟ้อง นายดำเห็นว่าคำฟ้องของนายหนึ่งไม่มีมูล จึงพิพากษายกฟ้องของนายหนึ่ง โดยนายดำให้นายเก่งผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ที่มีอาวุโสรองจากนายดำอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้เข้าร่วมตรวจสำนวนและลงลายมือชื่อทำคำพิพากษายกฟ้องของนายหนึ่ง
การไต่สวนมูลฟ้องดังกล่าว และการพิพากษายกฟ้องที่นายดำทำร่วมกับนายเก่งชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่ อย่างไร
ธงคำตอบ
มาตรา 25 ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้
(3) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญา
มาตรา 29 ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา และเฉพาะในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และศาลชั้นต้นมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว
(3) ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แล้วแต่กรณี
มาตรา 31 เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้างล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 นอกจากที่กำหนดไว้ในมาตรา 30 แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย
(1) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาแล้วเห็นว่าควรพิพากษายกฟ้อง แต่คดีนั้นมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนดเกินกว่าอัตราโทษตามมาตรา 25(5)
วินิจฉัย
นายดำ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งเป็นผู้พิพากษาคนเดียวทำการไต่สวนมูลฟ้องในคดีอาญาความผิดฐานชิงทรัพย์ ย่อมมีอำนาจกระทำได้ ตามมาตรา 25(3)
เมื่อนายดำผู้พิพากษาคนเดียวไต่สวนมูลฟ้องคดีดังกล่าวแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูล ควรพิพากษายกฟ้อง แต่ความผิดฐานชิงทรัพย์นั้นมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนด คือ จำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 ถึง 20,000 บาท ซึ่งถือว่าเกินอัตราโทษตามมาตรา 25(5) คือ อัตราโทษจำคุกเกินกว่า 3 ปี ไม่อยู่ในอำนาจของผู้พิพากษาศาลชั้นต้นคนเดียว นายดำผู้พิพากษาที่ทำการไต่สวนมูลฟ้องจะพิพากษายกฟ้องไม่ได้ กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 31(1) ถือได้ว่ามีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดี ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ ดังนั้นจึงต้องมีผู้พิพากษาสองคนเป็นองค์คณะ และผู้พิพากษาที่จะเป็นองค์คณะมีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษานั้นได้แก่ ผู้พิพากษาที่บัญญัติไว้ในมาตรา 29(3) คือ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาหรือรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา
เมื่อนายดำเป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้และเป็นผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีนี้จึงไม่อาจลงลายมือชื่อเดียวในสองฐานะได้ ผู้ที่จะเข้ามาร่วมทำคำพิพากษายกฟ้องกับนายดำต้องเป็นรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งก็คือ นายเอก นายโท หรือนายตรี ดังนั้นการที่นายดำให้นายเก่งผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้เข้าร่วมตรวจสำนวนและลงลายมือชื่อทำคำพิพากษายกฟ้องนายหนึ่ง จึงมิชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 31(1) ประกอบมาตรา 29(3)
สรุป
การไต่สวนมูลฟ้องของนายดำชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
การพิพากษายกฟ้องของนายดำและนายเก่งมิชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม