การสอบซ่อมภาค 1 ปีการศึกษา 2549
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 ในศาลจังหวัดแห่งหนึ่งมีนายยิ่งยศ ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาล และมีนายเก่งผู้พิพากษาอาวุโส นายซื่อ นายสัตย์ และนางสาวสุดสวย ผู้พิพากษาศาลจังหวัดตามลำดับ นายยิ่งยศได้จ่ายสำนวนคดีแพ่งให้นายสัตย์ และนางสาวสุดสวยเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา เมื่อองค์คณะทั้งสองได้พิจารณาคดีจนเสร็จสิ้นแล้วจึงประชุมปรึกษาคดีกัน ปรากฏว่าทั้งสองมีความเห็นไม่ตรงกัน จึงนำสำนวนคดีไปปรึกษานายเก่งผู้พิพากษาอาวุโส (ในขณะนั้นนายยิ่งยศได้เดินทางไปราชการต่างประเทศ) เมื่อนายเก่งได้ตรวจสำนวนคดีดังกล่าวแล้วปรากฏว่านายเก่งมีความเห็นเช่นเดียวกับนางสาวสุดสวยจึงร่วมกันลงลายมือชื่อทำคำพิพากษากับองค์คณะทั้งสอง (แม้นายสัตย์จะไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษานายสัตย์ก็ยอมลงลายมือชื่อในคำพิพากษาเพราะเห็นว่าตนเป็นองค์คณะเดิม)
ท่านเห็นว่า คำพิพากษาของศาลจังหวัดดังกล่าวชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 9 วรรคสองและวรรคท้าย เมื่อตำแหน่งผู้พิพากษาศาลจังหวัดหรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงว่างลง หรือเมื่อผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้นเป็นผู้ทำการแทน ถ้าผู้ที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้นไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสถัดลงมาตามลำดับในศาลนั้นเป็นผู้ทำการแทน
ผู้พิพากษาอาวุโสหรือผู้พิพากษาประจำศาลจะเป็นผู้ทำการแทนในตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลไม่ได้
มาตรา 29 ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา และเฉพาะในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และศาลชั้นต้นมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว
(3) ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แล้วแต่กรณี
มาตรา 31 เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้างล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 นอกจากที่กำหนดไว้ในมาตรา 30 แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย
(3) กรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งคดีแพ่งเรื่องใดของศาลนั้น จะต้องกระทำโดยองค์คณะซึ่งประกอบด้วย ผู้พิพากษาหลายคน และผู้พิพากษาในองค์คณะนั้นมีความเห็นแย้งกันจนหาเสียงข้างมากมิได้
วินิจฉัย
เมื่อผู้พิพากษาที่เป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีแพ่ง มีความเห็นแย้งกันในการทำคำพิพากษาจนหาเสียงข้างมากมิได้ ถือว่าเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 31(4) ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างการทำคำพิพากษา พระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 29(3) จึงกำหนดให้อธิบดีผู้พิพากษาภาค หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล หรือผู้ทำการแทนลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาเป็นองค์คณะด้วย กรณีนี้นายยิ่งยศ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจึงต้องเป็นองค์คณะร่วมลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา
แต่เมื่อในขณะนั้นนายยิ่งยศได้เดินทางไปราชการต่างประเทศไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ดังนั้นตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 29 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 9 วรรคสอง จึงให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้นเป็นผู้ทำการแทน ซึ่งในที่นี้ก็คือ นายซื่อ
การที่นายเก่งได้ตรวจสำนวนคดีดังกล่าวแล้ว มีความเห็นเช่นเดียวกับนางสาวสุดสวย จึงร่วมลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา คำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 9 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 29 เพราะผู้พิพากษาอาวุโสไม่อาจเป็นผู้ทำการแทนผู้พิพากษาหัวหน้าศาลได้
สรุป คำพิพากษาของศาลจังหวัดดังกล่าวไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
ข้อ 2 นายเขียวบุตรชายคนเดียวของนายดำผู้ตาย ได้ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายดำต่อศาลแขวงธนบุรี เนื่องจากนายดำมีที่ดินจำนวนสิบตารางวา ซึ่งมีราคาสามแสนบาทถ้วน ตามราคาประเมินของกรมที่ดิน ศาลแขวงธนบุรีสั่งไม่รับคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายเขียว ท่านเห็นว่าคำสั่งของศาลแขวงดังกล่าวชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 17 ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอำนาจทำการไต่สวน หรือมีคำสั่งใดๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง
มาตรา 25 ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้
(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์คำร้องขอแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกดังกล่าว ถือเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทและไม่มีทุนทรัพย์ จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลแขวง ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25(4) ประกอบมาตรา 17 ดังนั้นคำสั่งของศาลแขวงธนบุรีที่ไม่รับคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายเขียว จึงชอบแล้ว
สรุป
คำสั่งของศาลแขวงธนบุรีชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
ข้อ 3 นายหนึ่งฟ้องนายสองข้อหาชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสองหมื่นบาทต่อศาลอาญา มีนายเอกอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาเป็นผู้ไต่สวนมูลฟ้อง นายเอกเห็นว่าคำฟ้องของนายหนึ่งไม่มีมูลจึงพิพากษายกฟ้องของนายหนึ่ง โดยนายเอกได้ให้นายโทรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ซึ่งมีอาวุโสน้อยที่สุดเข้าร่วมตรวจสำนวนและลงลายมือชื่อทำคำพิพากษายกฟ้องนายหนึ่ง
การไต่สวนมูลฟ้องของนายเอกและการพิพากษายกฟ้องของนายเอกและนายโท ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 25 ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้
(3) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญา
(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่จะลงโทษจำคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้
มาตรา 29 ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา และเฉพาะในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และศาลชั้นต้นมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว
(3) ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แล้วแต่กรณี
มาตรา 31 เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้างล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 นอกจากที่กำหนดไว้ในมาตรา 30 แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย
(1) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาแล้วเห็นว่าควรพิพากษายกฟ้อง แต่คดีนั้นมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนดเกินกว่าอัตราโทษตามมาตรา 25(5)
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว ผู้พิพากษาคนเดียวไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาฐานชิงทรัพย์ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25(5) เพราะความผิดฐานชิงทรัพย์ มีกำหนดอัตราโทษตามกฎหมายให้จำคุกเกิน 3 ปี ต้องให้ผู้พิพากษาอย่างน้อย 2 คนเป็นองค์คณะ
แต่สำหรับการไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญา ไม่ว่าคดีนั้นกฎหมายจะกำหนดอัตราโทษจำคุกกี่ปีก็ตาม ผู้พิพากษาคนเดียวก็ย่อมมีอำนาจกระทำได้ ตามมาตรา 25(3) เมื่อนายเอกไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีไม่มีมูลควรพิพากษายกฟ้อง แต่คดีนั้นมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนดเกินกว่าอัตราโทษ ตามมาตรา 25(5) ถือได้ว่าเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ตามมาตรา 31(1) ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างการทำคำพิพากษา จึงต้องให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา หรือรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาเข้าร่วมตรวจสำนวนและลงลายมือชื่อทำคำพิพากษายกฟ้องด้วย ตามมาตรา 29(3) แต่เมื่อนายเอกเป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา จึงไม่อาจลงลายมือชื่อในอีกฐานะหนึ่งได้ เพราะตนเป็นผู้พิพากษาผู้ไต่สวนมูลฟ้องแล้ว กรณีนี้จึงต้องให้รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาเป็นผู้ลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา จึงจะชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
สรุป
การไต่สวนมูลฟ้องของนายเอก และการพิพากษายกฟ้องของนายเอกและนายโทชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม