การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2552
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 นายเจี๊ยบผู้พิพากษาศาลจังหวัดได้พิจารณาคดีแพ่งที่นายป๋อฟ้องนายแป๋งว่าทำละเมิด เรียกค่าสินไหมทดแทน 3 แสนบาท นายแป๋งให้การต่อสู้ว่า นายป๋อเป็นผู้ทำละเมิดและฟ้องแย้งเรียกค่าสินไหมทดแทน 4 แสนบาท แล้วพิพากษาให้นายป๋อเป็นฝ่ายชนะคดี ยกฟ้องนายแป๋ง
ท่านว่าการพิจารณาพิพากษาคดีของนายเจี๊ยบชอบหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 25 ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้
(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
วินิจฉัย
ตามหลักพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 25(4) ได้บัญญัติให้ผู้พิพากษาคนเดียวของศาลจังหวัด (ศาลชั้นต้น) มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งที่มีทุนทรัพย์ (ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้อง) ไม่เกิน 3 แสนบาท
การที่นายเจี๊ยบผู้พิพากษาคนเดียวของศาลจังหวัดได้พิจารณาคดีแพ่งที่นายป๋อฟ้องนายแป๋งว่าทำละเมิด เรียกค่าสินไหมทดแทน 3 แสนบาทนั้น ถือว่าเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ คือ จำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน 3 แสนบาท จึงอยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของผู้พิพากษาคนเดียวในศาลจังหวัด ดังนั้นนายเจี๊ยบจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าว
แต่ในกรณีที่นายแป๋งให้การต่อสู้ว่านายป๋อเป็นผู้ทำละเมิด และฟ้องแย้งเรียกค่าสินไหมทดแทน 4 แสนบาทนั้น การฟ้องแย้งของนายแป๋งถือว่าเป็นการฟ้องคดีใหม่ การคำนวณทุนทรัพย์จึงต้องคำนวณแยกจากฟ้องเดิม ดังนั้นเมื่อการฟ้องแย้งของนายแป๋งเป็นคดีทีมีทุนทรัพย์เกิน 3 แสนบาท จึงเกินอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียวที่จะเป็นองค์คณะในการพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าว ดังนั้น นายเจี๊ยบผู้พิพากษาคนเดียวในศาลจังหวัดจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาฟ้องแย้งของนายแป๋ง และเมื่อข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ นายเจี๊ยบได้พิจารณาพิพากษาฟ้องแย้งของนายแป๋งโดยพิพากษายกฟ้องฟ้องแย้งของนายแป๋ง การพิจารณาพิพากษาคดีของนายเจี๊ยบจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
สรุป การพิจารณาพิพากษาคดีของนายเจี๊ยบ ในกรณีที่นายป๋อฟ้องชอบด้วยกฎหมาย แต่การพิจารณาพิพากษาคดีในส่วนที่นายแป๋งฟ้องแย้งนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ 2 ในศาลแขวงพระนครศรีอยุธยา มีนายนิติ ผู้พิพากษาศาลแขวงพระนครศรีอยุธยา ได้พิจารณาคดีแพ่งซึ่งมีทุนทรัพย์สามแสนบาท ต่อมาในระหว่างพิจารณาคดี ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ราคาทรัพย์สินที่พิพาทเกินสามแสนบาท นายนิติเห็นว่าเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ จึงนำคดีไปปรึกษากับนายยิ่งใหญ่ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงพระนครศรีอยุธยาตรวจสำนวนลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาร่วมกับนายนิติ พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี คำพิพากษาดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 17 ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอำนาจทำการไต่สวน หรือมีคำสั่งใดๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง
มาตรา 25 ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้
(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
มาตรา 26 ภายใต้บังคับมาตรา 25 ในการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น นอกจากศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจำศาลเกินหนึ่งคน จึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งหรือคดีอาญาทั้งปวง
มาตรา 31 เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้างล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 นอกจากที่กำหนดไว้ในมาตรา 30 แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย
(4) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวพิจารณาคดีแพ่งตามมาตรา 25(4) ไปแล้ว ต่อมาปรากฏว่าราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้องเกินกว่าอำนาจพิจารณาพิพากษาของผู้พิพากษาคนเดียว
วินิจฉัย
ตามหลักของพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ศาลแขวงซึ่งมีผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งซึ่งมีทุนทรัพย์ (ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้อง) ไม่เกิน 3 แสนบาท (มาตรา 25(4) ประกอบมาตรา 17)
การที่ศาลแขวงพระนครศรีอยุธยาได้พิจารณาคดีแพ่งซึ่งมีทุนทรัพย์ 3 แสนบาทนั้น นายนิติผู้พิพากษาศาลแขวงฯ ย่อมมีอำนาจพิจารณาคดีดังกล่าวได้ตามมาตรา 25(4) ประกอบมาตรา 17 แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏในระหว่างการพิจารณาคดีว่าราคาทรัพย์สินที่พิพาทเกิน 3 แสนบาท คดีจึงเกินอำนาจของศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษา ดังนั้นนายนิติผู้พิพากษาศาลแขวงพระนครศรีอยุธยาจะต้องมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบบความ และคืนฟ้องให้โจทก์เพื่อให้โจทก์นำคดีไปฟ้องยังศาลที่มีอำนาจ นายนิติจะนำคดีไปปรึกษากับนายยิ่งใหญ่ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงพระนครศรีอยุธยาตรวจสำนวนและลงลายมือชื่อเป็นองค์คณะทำคำพิพากษา โดยเห็นว่าเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 31(4) มิได้ เพราะตามมาตรา 26 ประกอบกับมาตรา 31(4) นั้นเป็นการให้อำนาจแก่ผู้พิพากษาในการพิจารณาพิพากษาคดีในศาลชั้นต้นเท่านั้น มิได้ให้อำนาจแก่ผู้พิพากษาในการพิพากษาคดีในศาลแขวงแต่อย่างใด อีกทั้งถ้าให้อำนาจผู้พิพากษาคนเดียวในศาลแขวงดำเนินการดังกล่าวได้ ก็จะเป็นการขยายอำนาจของศาลแขวงให้มีอำนาจเหมือนศาลจังหวัด
ดังนั้น การที่นายนิติไม่สั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความแต่นำคดีดังกล่าวไปปรึกษากับนายยิ่งใหญ่ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงพระนครศรีอยุธยาตรวจสำนวน และลงลายมือชื่อร่วมกับนายนิติ พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีนั้น คำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
สรุป คำพิพากษาของศาลแขวงพระนครศรีอยุธยาไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ 3 นายขาว นายดำ นายเทา ผู้พิพากษาศาลฎีกา ได้เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง ปรากฏว่าคดีดังกล่าวมีปัญหาข้อกฎหมายที่องค์คณะทั้งสามไม่อาจหาข้อยุติได้ จึงได้เสนอต่อประธานศาลฎีกาให้มีการนำคดีเข้าที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ในการประชุมใหญ่นั้น มีองค์คณะทั้งสามคนและผู้พิพากษาในศาลฎีกาอีกแปดสิบคนเข้าร่วมประชุมจนได้ข้อยุติ แต่นายเทาไม่เห็นด้วยกับมติที่ประชุมใหญ่ จึงไม่ยอมลงลายมือชื่อในคำพิพากษาเป็นองค์คณะ นายเก่งผู้พิพากษาศาลฎีกาที่มิได้เข้าร่วมประชุมใหญ่ศาลฎีกา จึงลงลายมือชื่อในคำพิพากษาร่วมเป็นองค์คณะกับนายขาวและนายดำหลังจากได้ตรวจสำนวนคดีแล้ว
คำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 27 ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค หรือศาลฎีกา ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสามคนจึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้
ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค และผู้พิพากษาศาลฎีกาที่เข้าประชุมใหญ่ในศาลนั้นหรือในแผนกคดีของศาลดังกล่าว เมื่อได้ตรวจสำนวนคดีที่ประชุมใหญ่หรือที่ประชุมแผนกคดีแล้ว มีอำนาจพิพากษาหรือทำคำสั่งคดีนั้นได้ และเฉพาะในศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย
วินิจฉัย
ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 27 วรรคแรก ได้บัญญัติว่า ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลฎีกานั้น จะต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย 3 คนจึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้ ดังนั้นตามอุทาหรณ์ การที่นายขาว นายดำ และนายเทา ผู้พิพากษาศาลฎีกาได้เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งเรื่องหนึ่งนั้น การพิจารณาพิพากษาคดีของผู้พิพากษาทั้งสามคนในคดีดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย
และในกรณีที่มีการนำคดีเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา พระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 27 วรรคสอง ได้บัญญัติให้ผู้พิพากษาศาลฎีกาที่เข้าประชุมใหญ่ศาลฎีกาเมื่อได้ตรวจสำนวนคดีที่ประชุมใหญ่แล้ว มีอำนาจพิพากษาคดีนั้นได้
เมื่อตามอุทาหรณ์ ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ได้มีการนำคดีแพ่งเรื่องดังกล่าวทีมีปัญหาข้อกฎหมายที่องค์คณะทั้งสามไม่อาจหาข้อยุติได้เข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจนได้ข้อยุติ แต่นายเทาซึ่งไม่เห็นด้วยกับมติที่ประชุมใหญ่ จึงไม่ยอมลงลายมือชื่อในคำพิพากษาเป็นองค์คณะ และนายเก่งผู้พิพากษาศาลฎีกาที่มิได้เข้าประชุมใหญ่ศาลฎีกา จึงลงลายมือชื่อในคำพิพากษาร่วมเป็นองค์คณะกับนายขาว และนายดำหลังจากได้ตรวจสำนวนแล้วนั้น คำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าวย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะแม้คำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าวจะได้มีผู้พิพากษาลงลายมือชื่อในคำพิพากษาครบ 3 คนเป็นองค์คณะแล้วก็ตาม แต่นายเก่งมิได้เข้าร่วมประชุมใหญ่ของศาลฎีกาในครั้งนี้ ดังนั้นนายเก่งจึงไม่มีอำนาจในการตรวจสำนวนและลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาตามมาตรา 27 วรรคสอง
สรุป คำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย