การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2552
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3004 (LA 304),(LW 305) พระธรรมนูญศาลยุติธรรม
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 โจทก์ฟ้องนาย ก ว่ากระทำความผิดฐานลักทรัพย์ต่อศาลจังหวัดราชบุรี ระหว่างพิจารณาคดีนาย ก ไปกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ขึ้นอีกในเขตอำนาจของศาลแขวงราชบุรี ศาลแขวงราชบุรีพิจารณาแล้วพิพากษาลงโทษจำคุกนาย ก มีกำหนด 6 เดือน แต่ให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 2 ปี ในระหว่างที่ยังไม่พ้นกำหนดการรอการลงโทษ ศาลจังหวัดราชบุรีพิพากษาให้จำคุกนาย ก มีกำหนด 1 ปี และให้นำโทษจำคุกที่ศาลแขวงราชบุรีรอการลงโทษไว้มาบวกเข้าเป็นลงโทษจำคุกนาย ก 1 ปี 6 เดือน
คำพิพากษาของศาลจังหวัดราชบุรีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 58 วรรคแรก เมื่อความปรากฏแก่ศาลเอง หรือความปรากฏตามคำแถลงของโจทก์หรือเจ้าพนักงานว่า ภายในเวลาที่ศาลกำหนดตามมาตรา 56 ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาได้กระทำความผิดอันมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกสำหรับความผิดนั้น ให้ศาลที่พิพากษาคดีหลังกำหนดโทษที่รอการกำหนดไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษในคดีหลัง หรือบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลัง แล้วแต่กรณี
วินิจฉัย
การบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ เป็นการนำเอาโทษที่ศาลในคดีก่อนพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดและกำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลยไว้ แต่ให้รอการลงโทษที่กำหนดไว้นั้นภายในเวลาที่ศาลกำหนด เมื่อจำเลยมากระทำผิดขึ้นอีกภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนดไว้ และคดีนั้นอยู่ในอำนาจศาลจังหวัด ศาลจังหวัดก็จะต้องนำเอาโทษที่ศาลในคดีก่อนกำหนดและให้รอการลงโทษจำเลยไว้มาบวกกับโทษในคดีหลังตาม ป.อ.มาตรา 58
คำพิพากษาศาลจังหวัดราชบุรีไม่ชอบ เพราะนาย ก กระทำความผิดในคดีก่อนคดีที่ศาลแขวงราชบุรีจะพิจารณาพิพากษาให้รอการลงโทษ ไม่ได้กระทำผิดในระหว่างที่ศาลแขวงพิพากษาให้รอการลงโทษ ทั้งนี้แม้ศาลจังหวัดจะพิพากษาให้จำคุกนาย ก ศาลจังหวัดก็ไม่มีอำนาจที่จะนำโทษจำคุกในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษในคดีของศาลจังหวัดราชบุรีได้ เพราะมิใช่เป็นการกระทำความผิดภายในระยะเวลาที่ศาลรอการลงโทษ (ฎ.3523/2545)
สรุป คำพิพากษาของศาลจังหวัดราชบุรีไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ 2 พันตำรวจเอกขาวออกตรวจราชการในเวลากลางคืนพบนายแดงขับรถในขณะเมาสุรา จึงเรียกให้หยุดและทำการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ แต่นายแดงไม่ยอมอ้างว่าไม่ได้เมาสุรา นายดำเพื่อนนายแดงซึ่งนั่งอยู่ในรถด้วย จึงออกมาโต้เถียงแทนนายแดง เมื่อเห็นว่าพันตำรวจเอกขาวไม่ยอมปล่อยนายแดงแน่แล้วจึงด่าทอพันตำรวจเอกขาวด้วยถ้อยคำหยาบคายต่อหน้าตำรวจผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคน ต่อมาพนักงานอัยการโจทก์ยื่นฟ้องนายดำต่อศาลแขวงขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกิน 20,000 บาท และขอให้ศาลแขวงบังคับให้นายดำจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นจำนวนเงิน 300,000 บาทด้วย เมื่อเสร็จการพิจารณาศาลแขวงได้พิพากษาลงโทษจำคุกนายดำมีกำหนด 6 เดือน และให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 100,000 บาท คำพิพากษาของศาลแขวงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 17 ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอำนาจทำการไต่สวน หรือมีคำสั่งใดๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง
มาตรา 25 ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้
(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่จะลงโทษจำคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 วรรคแรก ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ ถ้าผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุได้รับอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือได้รับความเสื่อมเสียต่อเสรีภาพในร่างกาย ชื่อเสียงหรือได้รับความเสียหายในทางทรัพย์สินอันเนื่องมาจากกากระทำความผิดของจำเลย ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญาขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนก็ได้
วินิจฉัย
ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาในความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกิน 20,000 บาท ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 25(5) ประกอบมาตรา 17
แม้ศาลแขวงจะพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 6 เดือน ซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลแขวงตามมาตรา 25(5) ก็ตาม แต่กรณีเรียกค่าสินไหมทดแทนนั้น พนักงานอัยการไม่มีอำนาจเรียกแทนผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 ดังนั้น คำพิพากษาของศาลแขวงจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
สรุป คำพิพากษาของศาลแขวงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ 3 ศาลจังหวัดมีนบุรีได้พิจารณาคดีอาญาความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ซึ่งมีระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี แล้วพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต พ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้วคู่ความมิได้อุทธรณ์ ศาลจังหวัดมีนบุรีจึงส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ได้รับสำนวนคดีดังกล่าวแล้วจึงนำมาดำเนินการพิจารณาพิพากษาองค์คณะของศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำของจำเลยมีพฤติการณ์ทารุณโหดร้าย จึงร่วมกันแก้ไขคำพิพากษาของศาลจังหวัดมีนบุรีเป็นประหารชีวิต
ท่านเห็นว่าการรับคดีซึ่งคู่ความมิได้อุทธรณ์ และพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว ตลอดจนการแก้ไขคำพิพากษาศาลจังหวัดมีนบุรีของศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 22 ศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาคมีอำนาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการอุทธรณ์ และว่าด้วยเขตอำนาจศาลและมีอำนาจดังต่อไปนี้
(1) พิพากษายืนตาม แก้ไข กลับ หรอยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพาทลงโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ในเมื่อคดีนั้นได้ส่งขึ้นมายังศาลอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ภาคตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 คดีที่จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาที่ให้ลงโทษ ห้ามมิให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย เว้นแต่โจทก์จะได้อุทธรณ์ในทำนองนั้น
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งสำนวนคดีที่พิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต ไปยังศาลอุทธรณ์ในเมื่อไม่มีการอุทธรณ์คำพิพากษานั้น และคำพิพากษาเช่นว่านี้จะยังไม่ถึงที่สุด เว้นแต่ศาลอุทธรณ์จะได้พิพากษายืน
วินิจฉัย
ตามบทบัญญัติมาตรา 22 ของพระธรรมนูญศาลยุติธรรมดังกล่าวจะเห็นว่าโดยหลักการแล้ว ศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคจะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่คู่ความอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นมาเท่านั้น ดังนั้นหากคู่ความมิได้อุทธรณ์ คดีย่อมยุติเสร็จเด็ดขาดไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น แต่ความในมาตรา 22(1) ได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นกำหนดให้ศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาคมีอำนาจพิพากษายืนตาม แก้ไข กลับ หรือยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาลงโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต ในเมื่อคดีได้ส่งมายังศาลอุทธรณ์ หรือศาลอุทธรณ์ภาคตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 245 วรรคสอง คือ เมื่อโจทก์และจำเลยไม่ได้อุทธรณ์คำพิพากษานั้น และพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว ในกรณีนี้หากศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คดีเป็นอันยุติ คู่ความจะฎีกาต่อไปอีกไม่ได้
ดังนั้น เมื่อศาลจังหวัดมีนบุรีพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต พ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว โจทก์จำเลยไม่อุทธรณ์ ศาลจังหวัดมีนบุรีจึงต้องส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 245 วรรคสอง การที่ศาลอุทธรณ์ได้รับสำนวนดังกล่าวมาเพื่อพิจารณาพิพากษาจึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 22(1)
แต่อย่างไรก็ตาม ศาลอุทธรณ์จะแก้ไขคำพิพากษาของศาลจังหวัดมีนบุรีเพื่อลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 212 ทั้งนี้เพราะคดีดังกล่าวโจทก์และจำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคดีนั้นโจทก์อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษจำเลยเท่านั้น
สรุป
การรับคดีของศาลอุทธรณ์ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
การแก้ไขคำพิพากษาโดยศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา