การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2551
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3004 (LA 304),(LW 305) พระธรรมนูญศาลยุติธรรม
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 นาย ก ฟ้องนาย ข ฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาโดยไตร่ตรองไว้ก่อนต่อศาลจังหวัด ขอให้ศาลจังหวัดพิพากษาลงโทษประหารชีวิต ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดจ่ายสำนวนให้นายยุติธรรมผู้พิพากษาศาลจังหวัดทำการไต่สวนมูลฟ้อง นายยุติธรรมไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า
(ก) คดีมีมูล จึงสั่งประทับฟ้อง
(ข) คดีไม่มีมูล จึงพิพากษายกฟ้อง
คำสั่ง หรือคำพิพากษาของนายยุติธรรมทั้งสองกรณีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ให้อธิบายและยกเหตุผลประกอบคำตอบ
ธงคำตอบ
มาตรา 25 ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้
(3) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญา
(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่จะลงโทษจำคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้
มาตรา 29 ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา และเฉพาะในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และศาลชั้นต้นมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว
(3) ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แล้วแต่กรณี
มาตรา 31 เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้างล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 นอกจากที่กำหนดไว้ในมาตรา 30 แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย
(1) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาแล้วเห็นว่าควรพิพากษายกฟ้อง แต่คดีนั้นมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนดเกินกว่าอัตราโทษตามมาตรา 25(5)
วินิจฉัย
(ก) การที่นายยุติธรรมผู้พิพากษาศาลจังหวัด ซึ่งเป็นผู้พิพากษาคนเดียวทำการไต่สวนมูลฟ้องในคดีอาญาความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาโดยไตร่ตรองไว้ก่อนแล้วเห็นว่าคดีมีมูล จึงมีคำสั่งประทับฟ้อง นายยุติธรรมย่อมมีอำนาจทำได้ คำสั่งของนายยุติธรรมกรณีนี้จึงชอบด้วยกฎหมาย เพราะคำสั่งประทับฟ้องเป็นคำสั่งตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25(3) ไม่ทำให้คดีที่ผู้พิพากษาคนเดียวไต่สวนมูลฟ้องเสร็จเด็ดขาด จะต้องมีการดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
(ข) เมื่อนายยุติธรรมผู้พิพากษาคนเดียวไต่สวนมูลฟ้องคดีดังกล่าวแล้วเห็นว่าคดีไม่มีมูล ควรพิพากษายกฟ้อง แต่คดีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้นมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนด คือมีอัตราโทษประหารชีวิต ซึ่งถือว่าเกินอัตราโทษตามมาตรา 25(5) ไม่อยู่ในอำนาจของผู้พิพากษาศาลชั้นต้นคนเดียว นายยุติธรรมผู้พิพากษาที่ทำการไต่สวนมูลฟ้องจะพิพากษายกฟ้อง กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 31(1) ถือได้ว่ามีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ระหว่างการทำพิพากษาคดี ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ ดังนั้นจึงต้องมีผู้พิพากษาสองคนเป็นองค์คณะ ตามมาตรา 26 และผู้พิพากษาที่จะเป็นองค์คณะมีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาดังกล่าวนั้นได้แก่ ผู้พิพากษาที่บัญญัติไว้ในมาตรา 29(3) คือ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล หรือผู้ทำการแทนผู้พิพากษาหัวหน้าศาล
ดังนั้นการที่นายยุติธรรมโดยลำพังไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง คำพิพากษาของนายยุติธรรมจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
สรุป
(ก) คำสั่งประทับฟ้องของนายยุติธรรมชอบด้วยกฎหมาย
(ข) คำพิพากษายกฟ้องของนายยุติธรรมไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ 2 นายขาวฟ้องนายดำฐานยักยอก ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท ต่อศาลแขวง โดยมีนายธรรมผู้พิพากษาประจำศาลแขวง เป็นผู้พิจารณาคดี ต่อมานายธรรมพิพากษาลงโทษจำคุกนายดำ 1 ปี นายธรรมจึงนำสำนวนไปปรึกษานายจักร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวง แต่เนื่องจากนายจักรติดราชการที่อื่น จึงมอบหมายให้นายดุล ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลแขวงนั้นเป็นผู้ทำการแทน เมื่อนายดุลตรวจสำนวนแล้ว จึงลงลายมือชื่อร่วมกับนายธรรม คำพิพากษานี้ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 25 ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้
(3) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญา
(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่จะลงโทษจำคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้
ผู้พิพากษาประจำศาลไม่มีอำนาจตาม (3) (4) หรือ (5)
มาตรา 29 ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา และเฉพาะในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และศาลชั้นต้นมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว
(3) ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แล้วแต่กรณี
มาตรา 31 เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้างล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 นอกจากที่กำหนดไว้ในมาตรา 30 แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย
(2) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวพิจารณาคดีอาญาตามมาตรา 25(5) แล้ว เห็นว่าควรพิพากษาลงโทษจำคุกเกินกว่าหกเดือนหรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับนั้นอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่างเกินอัตราดังกล่าว
วินิจฉัย
ผู้พิพากษาประจำศาลไม่มีอำนาจในคดีอาญาตามมาตรา 25(3) และ (5) กล่าวคือ ไม่มีอำนาจไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญา และไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่จะลงโทษจำคุกเกิน 6 เดือน หรือปรับเกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้
เมื่อนายธรรมผู้พิพากษาประจำศาลแขวงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี การที่นายธรรมพิพากษาลงโทษจำคุกนายดำเกิน 1 ปี คำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 วรรคท้าย
ดังนั้น เมื่อนายธรรมไม่มีอำนาจมาตั้งแต่ต้นแล้ว แม้จะพิพากษาลงโทษจำคุกเกิน 6 เดือน ก็ไม่จำต้องพิเคราะห์บทบัญญัติตามมาตรา 29(3) และมาตรา 31(2) แต่อย่างใด
สรุป คำพิพากษาไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
ข้อ 3 ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา (ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288) แล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยฆ่าผู้อื่นตามที่โจทก์ฟ้องจริง จึงพิพากษาจำคุกจำเลยตลอดชีวิต พนักงานอัยการโจทก์และจำเลยไม่อุทธรณ์ภายในระยะเวลาอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นจึงส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น พนักงานอัยการโจทก์เห็นว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยเบาไป ควรลงโทษประหารชีวิต ส่วนจำเลย เห็นว่าศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยหนักเกินไป พนักงานอัยการโจทก์และจำเลยจึงฎีกาขึ้นไปยังศาลฎีกา โดยพนักงานอัยการโจทก์ฎีกาขอให้ศาลฎีกาลงโทษประหารชีวิตจำเลย ส่วนจำเลยฎีกาขอให้ศาลฎีกาลงโทษจำเลยเบากว่าที่ศาลล่างลงโทษ
ถ้าท่านเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา ท่านจะพิจารณาพิพากษาคดีนี้ว่าอย่างไร
ธงคำตอบ
มาตรา 22 ศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาคมีอำนาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการอุทธรณ์ และว่าด้วยเขตอำนาจศาลและมีอำนาจดังต่อไปนี้
(1) พิพากษายืนตาม แก้ไข กลับ หรอยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพาทลงโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ในเมื่อคดีนั้นได้ส่งขึ้นมายังศาลอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ภาคตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งสำนวนคดีที่พิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต ไปยังศาลอุทธรณ์ในเมื่อไม่มีการอุทธรณ์คำพิพากษานั้น และคำพิพากษาเช่นว่านี้จะยังไม่ถึงที่สุด เว้นแต่ศาลอุทธรณ์จะได้พิพากษายืน
วินิจฉัย
ตามบทบัญญัติมาตรา 22 ของพระธรรมนูญศาลยุติธรรมดังกล่าว จะเห็นว่าโดยหลักการแล้ว ศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคจะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่คู่ความอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นมาเท่านั้น ดังนั้นหากคู่ความมิได้อุทธรณ์ คดีย่อมยุติเสร็จเด็ดขาดไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น แต่ความในมาตรา 22(1) ได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นกำหนดให้ศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาคมีอำนาจพิพากษายืนตาม แก้ไข กลับ หรือยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาลงโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต ในเมื่อคดีได้ส่งขึ้นมายังศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง คือ เมื่อโจทก์และจำเลยไม่ได้อุทธรณ์คำพิพากษานั้น และพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว ในกรณีนี้ถ้าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คดีก็เป็นอันยุติ จะฎีกาอีกต่อไปมิได้
ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต พ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว โจทก์และจำเลยไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นจึงต้องส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง การที่ศาลอุทธรณ์ได้รับสำนวนไว้พิจารณาและพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คดีจึงเป็นอันยุติ ตามมาตรา 245 วรรคสองตอนท้าย โจทก์และจำเลยจะฎีกาต่อไปไม่ได้ ดังนั้นถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจะยกฎีกาของทั้งโจทก์และจำเลย
สรุป ข้าพเจ้าฯจะยกฎีกาของทั้งโจทก์และจำเลย