การสอบไล่ภาค  2   ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3004  พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายสมคิดได้กู้เงินนายเศรษฐีจำนวนห้าแสนบาทตั้งแต่ปี  พ.ศ.2540  และไม่ยอมชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยคืนให้แก่นายเศรษฐี  ต่อมาวันที่  15  มกราคม  2548  นายเศรษฐีจึงได้ยื่นฟ้องนายสมคิดต่อศาลแพ่งขอให้ชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยที่ค้างชำระจำนวนหกแสนบาท

วันที่  30  มกราคม  2548  นายสมคิดได้ทำนิติกรรมยกที่ดินแปลงหนึ่งจำนวนสามสิบตารางวาให้แก่นายโชคดี  ที่ดินแปลงนี้ราคาสามแสนบาท  (ตามราคาประเมินของกรมที่ดิน) 

นายเศรษฐีซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้ทราบการทำนิติกรรมดังกล่าว  จึงมาฟ้องต่อศาลแพ่งขอให้ศาลเพิกถอนการให้ที่ดินของนายสมคิด  เพราะนายสมคิดไม่มีทรัพย์อื่นใด  เมื่อยกที่ดินให้แก่นายโชคดีแล้วหากศาลแพ่งพิพากษาให้ตนชนะคดีข้างต้น  ตนย่อมเสียเปรียบเพราะไม่อาจบังคับคดีให้ได้เงินที่นายสมคิดเป็นหนี้คืน  ศาลแพ่งสั่งไม่รับฟ้องเพราะเห็นว่าที่ดินดังกล่าวมีราคาเพียงสามแสนบาทต้องไปยื่นฟ้องต่อศาลแขวงจึงจะถูกต้อง

ท่านเห็นว่า  การสั่งไม่รับฟ้องของศาลแพ่งชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  17  ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี  และมีอำนาจทำการไต่สวน  หรือมีคำสั่งใดๆ  ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  24  และมาตรา  25  วรรคหนึ่ง

มาตรา  18  ศาลจังหวัดมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งและคดีอาญาทั้งปวงที่มิได้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมอื่น

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง  ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท  ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

วินิจฉัย

เป็นเรื่องที่นายสมคิดลูกหนี้ได้ทำนิติกรรมยกที่ดินแปลงหนึ่งให้แก่นายโชคดี  ซึ่งนายสมคิดไม่มีทรัพย์สินใดอีก  ถือได้ว่าเป็นนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลเจ้าหนี้  ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  237

การที่นายเศรษฐีได้ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งขอให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินของนายสมคิดเป็นเพียงคดีที่ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลเท่านั้น  มิได้เป็นการเรียกร้องเอาทรัพย์มาเป็นของนายเศรษฐี  หรือนายเศรษฐีได้รับประโยชน์แต่อย่างใด  เป็นการเรียกร้องเอาทรัพย์พิพาทกลับมาเป็นของลูกหนี้  ฟ้องเช่นนี้เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้  จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์  (ฎ.919/2508 (ประชุมใหญ่))

เมื่อเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์  ศาลแขวงจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25(4)  ประกอบมาตรา  17 คดีจึงอยู่ในอำนาจของศาลจังหวัด  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  18  คำสั่งของศาลแพ่งที่ไม่รับคดีนี้ไว้พิจารณาจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป  การสั่งไม่รับฟ้องของศาลแพ่งไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ  2  ก  และ  ข  ไปทัศนาจรที่ประเทศสิงคโปร์  ในขณะที่อยู่ในประเทศสิงคโปร์  ก  เกิดทะเลาะกับ  ข  ข  ทำร้ายร่างกาย  ก  บาดเจ็บสาหัสเมื่อ  ก  และ  ข  กลับเข้ามาในประเทศไทย  ก  ได้นำคดีไปฟ้อง  ข  ต่อศาลจังหวัดสงขลา  ศาลจังหวัดสงขลารับประทับฟ้องไว้แล้ว  ก  และ  ข  ได้เดินทางกลับกรุงเทพมหานคร  ต่อมา  ก  เห็นว่าการเดินทางไปดำเนินคดีกับ  ข  ที่ศาลจังหวัดสงขลาเป็นการยุ่งยากและเสียค่าใช้จ่ายมาก  จึงนำคดีมาฟ้องที่ศาลอาญาอีก  ศาลอาญารับประทับฟ้อง  ข  ให้การปฏิเสธและต่อสู้ว่าฟ้องของ  ก  เป็นฟ้องซ้ำ  เพราะ  ก  ฟ้อง  ข  ไว้ที่ศาลจังหวัดสงขลาและศาลจังหวัดสงขลารับประทับฟ้องไว้แล้ว  ขอให้ศาลยกฟ้อง 

ให้วินิจฉัยว่า  การฟ้องคดีของ  ก  และการต่อสู้คดีของ  ข  ถูกต้องหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  15  ห้ามมิให้ศาลยุติธรรมศาลใดศาลหนึ่งรับคดี  ซึ่งศาลยุติธรรมอื่นได้สั่งรับประทับฟ้องโดยชอบแล้วไว้พิจารณาพิพากษา  เว้นแต่คดีนั้นจะได้โอนมาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความหรือตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  22  เมื่อความผิดเกิดขึ้น  อ้างหรือเชื่อว่าได้เกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลใด  ให้ชำระที่ศาลนั้น  แต่ถ้า

(2) เมื่อความผิดเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรไทย  ให้ชำระคดีนั้นที่ศาลอาญา  ถ้าการสอบสวนได้กระทำลงในท้องที่หนึ่งซึ่งอยู่ในเขตของศาลใด  ให้ชำระที่ศาลนั้นได้ด้วย

วินิจฉัย

การฟ้องคดีอาญาซึ่งมูลคดีเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรไทย  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  22(2)  บังคับให้นำคดีไปฟ้องที่ศาลอาญา  เว้นแต่โจทก์หรือผู้เสียหายจะได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในท้องที่ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลใด  ให้ศาลนั้นมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้ด้วยเมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า  ก  ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในท้องที่ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดสงขลาและไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนได้กระทำการสอบสวนแต่อย่างใด  การรับประทับฟ้องคดีของศาลจังหวัดสงขลาจึงเป็นการมิชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  22(2)

สำหรับข้อต่อสู้ของ  ข  ที่ว่าฟ้องของ  ก  เป็นฟ้องซ้ำนั้นฟังขึ้นหรือไม่  เห็นว่า  เมื่อพิจารณาบทบัญญัติของพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  15  ที่ว่า  ห้ามมิให้ศาลใดศาลหนึ่งรับคดีซึ่งศาลอื่นรับประทับฟ้องโดยชอบแล้วไว้พิจารณาพิพากษา  จะเห็นว่าเป็นการห้ามเฉพาะเมื่อศาลอื่นประทับฟ้องคดีไว้โดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น  การฟ้องคดีเรื่องเดียวกันอีกจะเป็นฟ้องซ้อน  ต้องห้ามตามกฎหมาย  แต่หากศาลรับประทับฟ้องไว้โดยไม่ชอบ  โจทก์ก็อาจนำคดีไปฟ้องใหม่ยังศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้นได้  ไม่ต้องห้ามตามมาตรา  15  นี้

ดังนั้นเมื่อศาลจังหวัดสงขลารับประทับฟ้องคดีไว้โดยไม่ชอบ  การที่  ก  นำคดีเรื่องเดียวกันมาฟ้องต่อศาลอาญาอีก  จึงสามารถกระทำได้ศาลอาญามีอำนาจรับประทับฟ้องได้  ไม่ต้องห้ามตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา  15  และไม่เป็นฟ้องซ้อน  (เทียบ  ฎ.122/2547)

ส่วนจะเป็นฟ้องซ้ำหรือไม่  เห็นว่า  การจะเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามกฎหมาย  หมายถึง  คดีเรื่องเดียวกันนั้นศาลได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว  แต่กรณีนี้ศาลจังหวัดสงขลายังมิได้พิจารณาพิพากษาคดี  การฟ้องของ  ก  จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

สรุป  การฟ้องคดีของ  ก  ต่อศาลจังหวัดสงขลาไม่ถูกต้อง  และการต่อสู้คดีของ  ข  ก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน

 

ข้อ  3  นายดีประธานศาลฎีกา  ได้จ่ายสำนวนคดีอาญาเรื่องหนึ่งให้นายหมื่นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา  นายแสนและนายล้านผู้พิพากษาศาลฎีกาเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดี

ในตอนบ่ายวันนั้นเอง  นายหมื่นประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตาย  นายแสนและนายล้านจึงนำเรื่องไปแจ้งต่อนายดีประธานศาลฎีกา  ปรากฏว่านายดีได้ลาพักผ่อนไปต่างประเทศพอดี  นายเก่งรองประธานศาลฎีกาคนที่หนึ่งจึงสั่งให้นายสิบ  ผู้พิพากษาศาลฎีกาเป็นองค์คณะแทนนายหมื่นร่วมกับนายแสนและนายล้านทำการพิจารณาพิพากษาคดีต่อไป

การกระทำของนายเก่งรองประธานศาลฎีกาชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด 

ธงคำตอบ

มาตรา  8  วรรคสอง  เมื่อตำแหน่งประธานศาลอุทธรณ์ภาค  ว่างลงหรือเมื่อผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ให้รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค  เป็นผู้ทำการแทน  ถ้ามีรองประธานศาลอุทธรณ์ภาคหลายคน  ให้รองประธานศาลอุทธรณ์ภาคที่มีอาวุโสสูงสุดเป็นผู้ทำการแทน  ถ้าผู้ที่มีอาวุโสสูงสุดไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ให้ผู้ที่มีอาวุโสถัดลงมาตามลำดับเป็นผู้ทำการแทน

มาตรา  28  ในระหว่างการพิจารณาคดีใด  หากมีเหตุสุดวิสัยหรือมีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้น  ไม่อาจจะนั่งพิจารณาคดีต่อไป  ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้นั่งพิจารณาคดีนั้นแทนต่อไปได้

(1) ในศาลฎีกา  ได้แก่  ประธานศาลฎีกา  หรือรองประธานศาลฎีกา  หรือผู้พิพากษาในศาลฎีกา  ซึ่งประธานศาลฎีกามอบหมาย

ให้ผู้ทำการแทนในตำแหน่งต่างๆ  ตามมาตรา  8  มาตรา  9  และมาตรา  13  มีอำนาจตาม  (1)(2)และ  (3)  ด้วย

มาตรา  30  เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา  28  และมาตรา  29  หมายถึง  กรณีที่ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะนั่งพิจารณาคดีนั้นพ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่  หรือถูกคัดค้านและถอนตัวไป  หรือไม่อาจปฏิบัติราชการจนไม่สามารถนั่งพิจารณา  หรือคำพิพากษาในคดีนั้นได้

วินิจฉัย

นายดี  ประธานศาลฎีกาจ่ายสำนวนคดีให้นายหมื่น  นายแสนและนายล้าน  เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีอาญาเรื่องหนึ่ง  ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  27  วรรคแรก  ที่บังคับว่าในการพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกา  ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย  3  คน  จึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  การที่นายเก่ง  รองประธานศาลฎีกาคนที่หนึ่งสั่งให้นายสิบเป็นองค์คณะแทนนายหมื่น  ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่  เห็นว่า  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา  28  หมายถึงในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย  หรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้เกิดขึ้นแก่ผู้พิพากษาที่เป็นองค์คณะพิจารณาคดี  เช่น  เจ็บ  ป่วย  ตาย  หรือโอนย้ายไปรับราชการในตำแหน่งอื่น  เป็นต้น  ทำให้ขาดองค์คณะพิจารณาคดี  บทบัญญัติมาตรา  28(1)  จึงกำหนดให้ผู้พิพากษาเหล่านั้นมีอำนาจนั่งพิจารณาคดีแทนต่อไปได้

การที่นายหมื่นประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตาย  ถือเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ตามมาตรา  30  ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างการพิจารณาคดี  กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  28(1)  ที่ให้ประธานศาลฎีกาเป็นองค์คณะแทน  หรือมอบหมายให้รองประธานศาลฎีกาหรือผู้พิพากษาในศาลฎีกาเป็นองค์คณะแทนก็ได้  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  นายดี  ประธานศาลฎีกาลาพักผ่อนไปต่างประเทศ  ไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ต้องให้รองประธานศาลฎีกาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลฎีกาเป็นผู้ทำการแทน  ตามมาตรา  8  วรรคสอง  นายเก่งซึ่งเป็นรองประธานศาลฎีกาคนที่หนึ่ง  เป็นรองประธานศาลฎีกาที่มีอาวุโสสูงสุด  จึงต้องเป็นผู้ทำการแทนประธานศาลฎีกา

ดังนั้นการที่นายเก่ง  ผู้ทำการแทนประธานศาลฎีกาสั่งให้นายสิบ  ผู้พิพากษาศาลฎีกาเป็นองค์คณะแทนนายหมื่น  ย่อมสามารถกระทำได้  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  28  ซึ่งกำหนดให้ผู้ทำการแทนมีอำนาจตามมาตรา  28(1)  ในการมอบหมายให้ผู้พิพากษาในศาลฎีกาเป็นองค์คณะแทนได้

สรุป  การกระทำของนายเก่ง  รองประธานศาลฎีกาชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

Advertisement