การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2549
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3004 (LA 304),(LW 305) พระธรรมนูญศาลยุติธรรม
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 ศาลแขวงพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงินสามแสนบาท จำเลยไม่ชำระ โจทก์ขอให้ศาลแขวงออกหมายบังคับคดี และนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของจำเลยเพื่อนำไปขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ชี้ให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์คันหนึ่งที่จอดอยู่ในโรงรถในบ้านของจำเลย เพื่อนำไปขายทอดตลาด ปรากฏว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นรถของนาย ก เพื่อนบ้านของจำเลยนำมาอาศัยจอดไว้เพราะบ้านของนาย ก ไม่มีที่จอดรถ นาย ก เจ้าของรถต้องการจะเอารถของตนคืน และรถยนต์ที่ถูกยึดมีราคาสองล้านบาท
นาย ก มาปรึกษาท่านว่าทำอย่างไรจึงจะได้รถยนต์ของตนคืน ให้ท่านให้คำแนะนำที่ถูกต้องตามกฎหมายแก่ นาย ก
ธงคำตอบ
มาตรา 17 ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอำนาจทำการไต่สวน หรือมีคำสั่งใดๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง
มาตรา 25 ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้
(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ถ้าบุคคลใดกล่าวอ้างว่าจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ บุคคลนั้นอาจยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีให้ปล่อยทรัพย์สินเช่นว่านั้น
วินิจฉัย
นาย ก เจ้าของรถยนต์ที่ถูกยึดจะต้องไปยื่นคำร้องขอปล่อยทรัพย์ต่อศาลแขวงที่ออกหมายบังคับคดี การยื่นคำร้องขอปล่อยทรัพย์ผู้ร้องจะต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลตามราคาทรัพย์ แม้ทรัพย์นั้นจะมีราคามากกว่า 3 แสนบาท ซึ่งถือว่าเกินอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงก็ตาม แต่เนื่องจากการยื่นคำร้องขอปล่อยทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 บัญญัติบังคับให้ยื่นต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดี ผู้ยื่นคำร้องขอปล่อยทรัพย์จึงต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลแขวงเพราะเป็นศาลที่ออกหมายบังคับคดีและต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลตามราคาทรัพย์ โดยไม่ถูกจำกัดราคาทรัพย์ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25(4) ประกอบมาตรา 17 (ฎ.901/2511)
สรุป ข้าพเจ้าจะแนะนำนาย ก ให้ยื่นคำร้องขอปล่อยทรัพย์ต่อศาลแขวง เพราะเป็นศาลที่ออกหมายบังคับคดี
ข้อ 2 ในศาลฎีกา นายเอกผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลฎีกา นายโทและนายตรีผู้พิพากษาศาลฎีกา เป็นองค์คณะพิจารณาคดีแพ่งทุนทรัพย์สามสิบล้านบาท องค์คณะทั้งสามได้ร่วมกันพิจารณาและประชุมปรึกษาคดีกันแล้วทั้งสามคนมีความเห็นแตกต่างกันเป็นสามแนวทางไม่สามารถที่จะทำคำพิพากษาได้ จึงได้นำสำนวนคดีไปปรึกษากับนายใหญ่ ประธานศาลฎีกา นายใหญ่ติดงานราชการหลายอย่างจึงยังมิได้ตรวจดูสำนวนคดีและให้คำปรึกษาปรากฏว่าจนถึงวันที่ 30 กันยายน นายใหญ่และรองประธานศาลฎีกาอีกหกท่านได้พ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากมีอายุครบหกสิบปีและไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสพิจารณาคดีที่ศาลชั้นต้น (วันที่ 1 ตุลาคม ประธานศาลฎีกาและรองประธานศาลฎีกาทั้งสามยังไม่มารับตำแหน่ง) นายบดีซึ่งเป็นผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลฎีกาจึงได้นำสำนวนคดีดังกล่าวมาตรวจสำนวนและลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาร่วมกับนายเอกและนายโท แต่นายตรีนั้นไม่เห็นด้วยจึงไม่ยอมลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา
ท่านเห็นว่า คำพิพากษาชอบด้วยกฎหมายพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 8 วรรคสองและวรรคสาม เมื่อตำแหน่งประธานศาลอุทธรณ์ภาค ว่างลงหรือเมื่อผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค เป็นผู้ทำการแทน ถ้ามีรองประธานศาลอุทธรณ์ภาคหลายคน ให้รองประธานศาลอุทธรณ์ภาคที่มีอาวุโสสูงสุดเป็นผู้ทำการแทน ถ้าผู้ที่มีอาวุโสสูงสุดไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้ผู้ที่มีอาวุโสถัดลงมาตามลำดับเป็นผู้ทำการแทน
ในกรณีที่ไม่มีผู้ทำการแทนประธานศาลฎีกา ตามวรรคสอง หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้นเป็นผู้ทำการแทน ถ้าผู้ที่มีอาวุโสสูงสุดไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสถัดลงมาตามลำดับเป็นผู้ทำการแทน
มาตรา 29 ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา และเฉพาะในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และศาลชั้นต้นมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว
(1) ในศาลฎีกา ได้แก่ ประธานศาลฎีกาหรือรองประธานศาลฎีกา
ให้ผู้ทำการแทนในตำแหน่งต่างๆตามมาตรา 8 มาตรา 9 และมาตรา 13 มีอำนาจตาม (1) (2) และ (3) ด้วย
มาตรา 31 เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้างล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 นอกจากที่กำหนดไว้ในมาตรา 30 แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย
(3) กรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งคดีแพ่งเรื่องใดของศาลนั้น จะต้องกระทำโดยองค์คณะซึ่งประกอบด้วย ผู้พิพากษาหลายคน และผู้พิพากษาในองค์คณะนั้นมีความเห็นแย้งกันจนหาเสียงข้างมากมิได้
วินิจฉัย
ในศาลฎีกาที่องค์คณะทั้งสามคนมีความเห็นต่างกันจนไม่สามารถทำคำพิพากษาได้นั้น ถือเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ตามมาตรา 31(3) ผู้ที่จะเข้าเป็นองค์คณะแทนในระหว่างการทำคำพิพากษาได้นั้น ได้แก่ ผู้พิพากษาตามมาตรา 29(1) ซึ่งได้แก่ ประธานศาลฎีกาหรือรองประธานศาลฎีกา แต่เนื่องจากประธานศาลฎีกาได้พ้นจากตำแหน่งจึงต้องให้ผู้ที่ทำการแทนประธานศาลฎีกามีอำนาจเข้าเป็นองค์คณะแทนได้ ทั้งนี้ผู้ทำการแทนประธานศาลฎีกา ได้แก่ รองประธานศาลฎีกา ตามมาตรา 8 วรรคสอง แต่เมื่อรองประธานศาลฎีกาอีกหกคนได้พ้นจากตำแหน่งด้วย จึงถือว่าไม่มีผู้ทำการแทนประธานศาลฎีกา ตามมาตรา 8 วรรคสาม จึงกำหนดให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้นเป็นผู้ทำการแทน
ดังนี้การที่นายบดีเป็นผู้พิพากษาที่มีความอาวุโสสูงสุดในศาลฎีกา ได้นำสำนวนคดีมาตรวจและลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาร่วมกับนายเอกและนายโท แม้นายตรีจะไม่เห็นด้วยและไม่ยอมลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา คำพิพากษาดังกล่าวก็ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
สรุป คำพิพากษาดังกล่าวชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
ข้อ 3 โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดว่าโจทก์ได้ขายฝากที่ดินแก่จำเลย โดยจดทะเบียนการขายฝาก ณ สำนักงานที่ดิน ต่อมาโจทก์ได้ไถ่การขายฝากและจดทะเบียนการไถ่แล้ว แต่จำเลยไม่ยอมคืนโฉนดที่ดินที่ขายฝากให้แก่โจทก์ ขอให้ศาลจังหวัดบังคับให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ ในวันนัดพิจารณานัดแรกผู้พิพากษาศาลจังหวัดที่นั่งพิจารณาคดีได้ถามโจทก์ถึงราคาที่ดิน โจทก์แถลงว่าที่ดินที่ขายฝากราคา 250,000 บาท ผู้พิพากษาศาลจังหวัด จึงมีคำสั่งให้โอนคดีดังกล่าวไปยังศาลแขวงที่มีเขตอำนาจเหนือที่ดินที่ขายฝากกัน
การสั่งโอนคดีดังกล่าวของผู้พิพากษาศาลจังหวัด ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 16 วรรคสาม ในกรณีที่มีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลจังหวัด และคดีนั้นเกิดขึ้นในเขตของศาลแขวงและอยู่ในอำนาจของศาลแขวง ให้ศาลจังหวัดนั้นมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงที่มีเขตอำนาจ
มาตรา 17 ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอำนาจทำการไต่สวน หรือมีคำสั่งใดๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง
มาตรา 25 ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้
(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
วินิจฉัย
เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องต่อศาลจังหวัดขอให้บังคับคืนโฉนดที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ มิใช่คำฟ้องโต้แย้งเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท อันจะทำให้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ ดังนั้นกรณีนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่ไม่มีทุนทรัพย์ ศาลแขวงจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 25(4) ประกอบมาตรา 17 ทั้งนี้เพราะศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งที่มีทุนทรัพย์ของคดีไม่เกิน 3 แสนบาทเท่านั้น (ฎ.1593/2521)
ประเด็นที่ว่า ศาลจังหวัดจะมีคำสั่งโอนคดีดังกล่าวไปยังศาลแขวงที่มีเขตอำนาจได้หรือไม่ เห็นว่า ในกรณีที่มีการยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัด แต่คดีนั้นเกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลแขวงและอยู่ในอำนาจของศาลแขวง มาตรา 16 วรรคท้ายได้บัญญัติให้ศาลจังหวัดนั้นมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงที่มีเขตอำนาจ แต่กรณีนี้เมื่อคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลแขวง กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ดังนั้นการที่ผู้พิพากษาศาลจังหวัดมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวง จึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
สรุป การสั่งโอนคดีดังกล่าวของผู้พิพากษาศาลจังหวัดไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม