การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2551
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 นายสุธีอายุ 21 ปี ทำสัญญาหมั้น น.ส.รัศมี อายุ 17 ปี ด้วยแหวนเพชร 1 วง โดยบิดามารดาให้ความยินยอมถูกต้อง น.ส.รัศมีได้แอบไปเที่ยวเตร่กับนายสมบัติอายุ 21 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนกับนายสุธีด้วย จนเกินเลยมีความสัมพันธ์ทางเพศกันและตั้งครรภ์ นายสมบัติเห็นว่า น.ส.รัศมีตั้งครรภ์แล้วจึงตัดสินใจจดทะเบียนสมรสด้วย แต่บิดามารดาของ น.ส.รัศมีไม่เห็นด้วย จึงต้องการฟ้องศาลให้เพิกถอนการสมรส เช่นนี้ นายสุธีต้องการฟ้องเรียกแหวนหมั้นคืนและฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายสมบัติ และบิดาของ น.ส.รัศมีจะฟ้องเพิกถอนการสมรสได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย
ธงคำตอบ
มาตรา 1435 การหมั้นจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว การหมั้นที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติวรรคหนึ่งเป็นโมฆะ
มาตรา 1436 ผู้เยาว์จะทำการหมั้นได้ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลดังต่อไปนี้
(1) บิดาและมารดา ในกรณีที่มีทั้งบิดามารดา
การหมั้นที่ผู้เยาว์ทำโดยปราศจากความยินยอมดังกล่าวเป็นโมฆียะ
มาตรา 1437 วรรคแรก การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น
มาตรา 1439 เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย
มาตรา 1445 ชายหรือหญิงคู่หมั้นอาจเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งได้ร่วมประเวณีกับคู่หมั้นของตนโดยรู้หรือควรจะรู้ถึงการหมั้นนั้น เมื่อได้บอกเลิกสัญญาหมั้นตามมาตรา 1442 หรือมาตรา 1443 แล้วแต่กรณี
มาตรา 1454 ผู้เยาว์จะทำการสมรสให้นำความในมาตรา 1436 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา 1509 การสมรสที่มิได้รับความยินยอมของบุคคลดังกล่าวในมาตรา 1454 การสมรสนั้นเป็นโมฆียะ
มาตรา 1510 วรรคแรกและวรรคสอง การสมรสที่เป็นโมฆียะเพราะมิได้รับความยินยอมของบุคคลดังกล่าวในมาตรา 1454 เฉพาะบุคคลที่อาจให้ความยินยอมตามมาตรา 1454 เท่านั้น ขอให้เพิกถอนการสมรสได้
สิทธิขอเพิกถอนการสมรสตามมาตรานี้เป็นอันระงับเมื่อคู่สมรสนั้นมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์หรือเมื่อหญิงมีครรภ์
วินิจฉัย
การที่นายสุธีอายุ 21 ปี ทำสัญญาหมั้น น.ส.รัศมีอายุ 17 ปี โดยบิดามารดาให้ความยินยอมถูกต้องตามมาตรา 1435 วรรคแรกและมาตรา 1436(1) และมีการส่งมอบแหวนเพชร 1 วง เป็นของหมั้น ถือเป็นสัญญาหมั้นที่สมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคแรก เพราะมีการส่งมอบของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น
เมื่อมีการหมั้นแล้ว การที่ น.ส.รัศมีไปจดทะเบียนสมรสกับนายสมบัติ จึงเป็นการกระทำอันเป็นการผิดสัญญาหมั้น ผลทางกฎหมายคือ
1 นายสุธี คู่หมั้นสามารถฟ้องเรียกแหวนเพชนอันเป็นของหมั้นคืนได้ เพราะเป็นกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้น กฎหมายบังคับให้ฝ่ายหญิงคืนของหมั้นแก่ฝ่ายชาย ตามมาตรา 1439 (ส่วนนายสุธีจะเรียกค่าทดแทน ตามมาตรา 1440 ได้หรือไม่นั้น ไม่อยู่ในประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย) และ
2 การที่ น.ส.รัศมีได้แอบไปเที่ยวเตร่กับนายสมบัติ ซึ่งเป็นเพื่อนกับนายสุธีจนเกินเลยมีความสัมพันธ์ทางเพศกันและตั้งครรภ์ นายสุธีสามารถเรียกค่าทดแทนจากนายสมบัติได้ ตามมาตรา 1445 เพราะนายสมบัติเป็นเพื่อนของนายสุธีจึงควรจะรู้ได้ว่า น.ส.รัศมีหมั้นกับนายสุธีอยู่แล้วยังไปร่วมประเวณีด้วยอีก แต่ทั้งนี้นายสุธีจะต้องบอกเลิกสัญญาหมั้น ตามมาตรา 1442 ก่อน
สำหรับการจดทะเบียนสมรสระหว่างนายสมบัติและ น.ส.รัศมี โดยบิดามารดาของ น.ส.รัศมีไม่เห็นด้วย จึงเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 1454 ประกอบมาตรา 1436(1) การสมรสนี้จึงมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา 1509 ซึ่งมาตรา 1510 วรรคแรก กำหนดให้บุคคลดังกล่าวในมาตรา 1451 ประกอบมาตรา 1436 เท่านั้น ขอให้เพิกถอนการสมรสได้ ดังนั้น โดยหลักแล้วบิดามารดาของ น.ส.รัศมีสามารถฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนการสมรสที่เป็นโมฆียะได้ แต่กรณีนี้เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า น.ส.รัศมีตั้งครรภ์ สิทธิขอเพิกถอนการสมรสที่เป็นโมฆียะ ตามมาตรา 1509 จึงเป็นอันระงับสิ้นไป ทั้งนี้ไม่ว่า น.ส.รัศมีจะมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์หรือไม่ก็ตาม การสมรสจึงสมบูรณ์ตลอดไป
สรุป นายสุธีฟ้องเรียกแหวนหมั้นคืนจาก น.ส.รัศมีได้และเรียกค่าทดแทนจากนายสมบัติได้ ส่วนบิดามารดาของ น.ส.รัศมีจะฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนการสมรสไม่ได้
ข้อ 2 นายอำนวยจดทะเบียนสมรสกับ น.ส.นิสา โดยไม่มีใครทราบว่า น.ส.นิสาเป็นน้องสาวต่างมารดา ในระหว่างที่เป็นสามีภริยากันอยู่นั้น นายอำนวยได้รับเงิน 2 ล้านบาทโดยเสน่ห์หาจากญาติ ส่วนนางนิสาได้ซื้อสลากกินแบ่งได้รับรางวัล 4 ล้านบาท แต่ต่อมาต่างทราบความจริงจึงมีการฟ้องศาลให้พิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะ เช่นนี้ ถ้าศาลพิพากษาให้การสมรสเป็นโมฆะแล้วทรัพย์สินต่างๆจะตกเป็นของใคร เพราะเหตุใด จงอธิบาย
ธงคำตอบ
มาตรา 1450 ชายหญิงซึ่งเป็นญาติสืบสายโลหิตโดยตรงขึ้นไปหรือลงมาก็ดี เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาหรือร่วมแต่บิดาหรือมารดาก็ดี จะทำการสมรสกันไม่ได้ ความเป็นญาติดังกล่าวมานี้ให้ถือตามสายดลหิตโดยไม่คำนึงว่าจะเป็นญาติโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
มาตรา 1471 สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน
(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่ห์หา
มาตรา 1474 สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน
(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส
มาตรา 1495 การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ
มาตรา 1496 วรรคแรก คำพิพากษาของศาลเท่านั้นที่จะแสดงว่าการสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ
มาตรา 1498 การสมรสที่เป็นโมฆะ ไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา
ในกรณีที่การสมรสเป็นโมฆะ ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดมีหรือได้มาไม่ว่าก่อนหรือหลังการสมรสรวมทั้งดอกผลคงเป็นของฝ่ายนั้น ส่วนบรรดาทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันให้แบ่งคนละครึ่ง เว้นแต่ศาลจะเห็นสมควรสั่งเป็นประการอื่น เมื่อได้พิเคราะห์ถึงภาระในครอบครัว ภาระในการหาเลี้ยงชีพ และฐานะของคู่กรณีทั้งสองฝ่ายคลอดจนพฤติการณ์อื่นทั้งปวงแล้ว
วินิจฉัย
เมื่อนายอำนวยและ น.ส.นิสาเป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกัน การสมรสของบุคคลทั้งสองจึงเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติตามมาตรา 1450 ผลคือ การสมรสเป็นโมฆะ ตามมาตรา 1495
สำหรับการสมรสที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 1450 เฉพาะแต่คำพิพากษาของศาลเท่านั้นที่จะแสดงว่าการสมรสเป็นโมฆะ ตามมาตรา 1496 วรรคแรก ดังนั้น ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา ความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาจึงยังคงมีอยู่ เงิน 2 ล้านบาทที่นายอำนวยได้รับจากญาติโดยเสน่หา จึงเป็นสินส่วนตัวตามมาตรา 1471(3) ส่วนเงินรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลจำนวน 4 ล้านบาท ย่อมเป็นสินสมรสตามมาตรา 1474(1) (ฎ.1053/2537)
แต่เมื่อศาลพิพากษาให้การสมรสระหว่างนายอำนวยและ น.ส.นิสาเป็นโมฆะแล้ว ผลทางกฎหมายตามมาตรา 1498 วรรคแรก คือ การสมรสที่เป็นโมฆะ ไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา สินส่วนตัวและสินสมรสดังที่กล่าวมาข้างต้นจึงไม่มีอยู่อีกต่อไป ดังนั้นเงิน 2 ล้านบาทที่นายอำนวยได้รับในระหว่างการสมรสที่เป็นโมฆะ ย่อมเป็นกรรมสิทธิ์ของนายอำนวยแต่เพียงผู้เดียว ตามมาตรา 1498 วรรคสอง ซึ่งให้ถือว่าทรัพย์สินที่ฝ่ายใดมีหรือได้มาหลังการสมรสที่เป็นโมฆะคงเป็นของฝ่ายนั้น
ส่วนเงินรางวัล 4 ล้านบาท ก็คงเป็นกรรมสิทธิ์ของ น.ส.นิสาแต่เพียงผู้เดียวเช่นกัน ตามมาตรา 1498 วรรคสอง
สรุป ถ้าศาลพิพากษาให้การสมรสเป็นโมฆะ เงิน 2 ล้านบาท และเงินรางวัล 4 ล้านบาท ย่อมเป็นกรรมสิทธิ์ของนายอำนวยและ น.ส.นิสาตามลำดับ ตามมาตรา 1498
ข้อ 3 นายสมคิดและนางดวงตาเป็นสามีภริยากัน ต่อมาฐานะดีขึ้น นางดวงตาจึงลาออกจากงานมาดูแลครอบครัว และเพื่อให้นายสมคิดสามารถทำหน้าที่การงานได้อย่างคล่องตัว นางดวงตาจึงทำสัญญามอบอำนาจให้นายสมคิดมีอำนาจซื้อขายกู้ยืมได้โดยลำพังในการจัดการสินสมรส นายสมคิดได้มอบสร้อยทองซึ่งมีมาก่อนสมรสให้แก่นางดวงตาด้วยความรัก หลายเดือนต่อมานายสมคิดได้ขายที่ดินสินสมรสให้แก่นายบันเทิงและได้ทำสัญญากู้ยืมเงินหนึ่งล้านบาทจากนางมะขาม นางดวงตาไม่พอใจที่ไม่บอกกล่าวให้ทราบจึงต้องการฟ้องเพิกถอนนิติกรรมที่ทำไปนั้น นายสมคิดก็ไม่พอใจจึงต้องการฟ้องเอาสร้อยทองคืน เช่นนี้ จะทำได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย
ธงคำตอบ
มาตรา 1465 วรรคแรก ถ้าสามีภริยามิได้ทำสัญญากันไว้ในเรื่องทรัพย์สินเป็นพิเศษก่อนสมรส ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาในเรื่องทรัพย์สินนั้น ให้บังคับตามบทบัญญัติในหมวดนี้
มาตรา 1466 สัญญาก่อนสมรสเป็นโมฆะ ถ้ามิได้จดแจ้งข้อตกลงกันเป็นสัญญาก่อนสมรสนั้นไว้ในทะเบียนสมรสพร้อมกับการจดทะเบียนสมรส หรือมิได้ทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อคู่สมรสและพยานอย่างน้อยสองคนแนบไว้ท้ายทะเบียนสมรส และได้จดไว้ในทะเบียนสมรสพร้อมกับการจดทะเบียนสมรสว่าได้มีสัญญานั้นแนบไว้
มาตรา 1469 สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากันนั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริต
มาตรา 1471 สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน
(1) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส
มาตรา 1476 สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้
(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จำนอง ปลดจำนอง หรือโอนสิทธิจำนอง ซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้
(4) ให้กู้ยืมเงิน
มาตรา 1476/1 วรรคแรก สามีและภริยาจะจัดการสินสมรสให้แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1476 ทั้งหมดหรือบางส่วนได้ก็ต่อเมื่อได้ทำสัญญาก่อนสมรสไว้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1465 และมาตรา 1466 ในกรณีดังกล่าวนี้ การจัดการสินสมรสให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในสัญญาก่อนสมรส
มาตรา 1480 วรรคแรก การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทำนิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจากความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน
วินิจฉัย
ในระหว่างสมรสนางดวงตาจะทำสัญญามอบอำนาจให้นายสมคิดมีอำนาจซื้อขายกู้ยืมได้โดยลำพังในการจัดการสินสมรสไม่ได้ เพราะตามมาตรา 1476/1 วรรคแรก กำหนดว่าการตกลงให้จัดการสินสมรสให้แตกต่างไปจากมาตรา 1476 จะต้องทำเป็นสัญญาก่อนสมรส ตามมาตรา 1465 และมาตรา 1466 เมื่อไม่ได้ทำสัญญาก่อนสมรส การจัดการสินสมรสจึงต้องอยู่ในบังคับของมาตรา 1476
การขายที่ดินซึ่งเป็นสินสมรส สามีและภริยาจะต้องจัดการร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ตามมาตรา 1476(1) เมื่อนายสมคิดทำสัญญาขายที่ดินสินสมรสให้กับนายบันเทิงไปโดยลำพัง นางดวงตาจึงขอเพิกถอนได้ตามมาตรา 1480 วรรคแรก แต่อย่างไรก็ตาม นางบันเทิงผู้ซื้อซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้กระทำการโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน จึงต้องด้วยข้อยกเว้นตามมาตรา 1480 วรรคแรกตอนท้าย ดังนั้นนางดวงตาจึงฟ้องขอเพิกถอนการซื้อขายที่ดินดังกล่าวไม่ได้
ส่วนการกู้ยืมเงินจากนางมะขามนั้น นายสมคิดสามารถกระทำได้โดยลำพังตนเอง กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 1476(4) ที่มุ่งหมายถึงการให้กู้ยืมเงินเท่านั้น กรณีนี้นางดวงตาจึงฟ้องขอเพิกถอนสัญญากู้ยืมเงินไม่ได้ (ฎ.6193/2551)
สำหรับการที่นายสมคิดได้มอบสร้อยทองซึ่งเป็นสินส่วนตัวของตนตามมาตรา 1471(1) ให้นางดวงตา ถือเป็นสัญญาระหว่างสมรสตามมาตรา 1469 ที่นายสมคิดมีสิทธิบอกล้างในเวลาหนึ่งเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ กรณีนี้นายสมคิดจึงฟ้องเอาสร้อยทองคืนได้
สรุป นายสมคิดฟ้องเอาสร้อยทองคืนได้ ส่วนนางดวงตาจะฟ้องเพิกถอนสัญญากู้ยืมเงินไม่ได้ คงฟ้องเพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินได้เท่านั้น
ข้อ 4 นายมนูญกับนางน้ำหวานเป็นสามีภริยากัน นายมนูญได้ไปมีเพศสัมพันธ์กับนางรำพึงภริยาของนายนที ต่อมานางน้ำหวานจับได้ว่านายมนูญมีพฤติการณ์ดังกล่าว จึงต้องการฟ้องหย่า เช่นนี้ จะฟ้องหย่าได้ด้วยเหตุฟ้องหย่าอะไรบ้าง (ให้บอกตามลำดับความสำคัญของกฎหมายด้วย)
หากนางน้ำหวานต้องการฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายมนูญ และนางรำพึงด้วย จะสามารถทำได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย
ธงคำตอบ
มาตรา 1516 เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้
(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
(2) สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว ไม่ว่าความประพฤติชั่วนั้นจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ถ้าเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่ง
(ก) ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง
(3) สามีหรือภริยาทำร้าย หรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ ถ้าเป็นการร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(6) สามีหรือภริยาไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควรหรือทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง ทั้งนี้ ถ้าการกระทำนั้นถึงขนาดที่อีกฝ่ายหนึ่งเดือดร้อนเกินควรในเมื่อเอาสภาพฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
มาตรา 1523 วรรคแรก เมื่อศาลพิพากษาให้หย่ากันเพราะเหตุตามมาตรา 1516(1) ภริยาหรือสามีมีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากสามีหรือภริยาและจากผู้ซึ่งได้รับอุปการะเลี้ยงดู หรือยกย่องหรือผู้ซึ่งเป็นเหตุแห่งการหย่านั้น
วินิจฉัย
นายมนูญกับนางน้ำหวานเป็นสามีภริยากัน นายมนูญได้ไปมีเพศสัมพันธ์กับนางรำพึงภริยาของนายนที ต่อมานางน้ำหวานจับได้ว่านายมนูญมีพฤติการณ์ดังกล่าว จึงต้องการฟ้องหย่า ดังนี้นางน้ำหวานสามารถฟ้องหย่าได้ เพราะทั้งสองเป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย โดยปรับเข้ากับเหตุฟ้องหย่าตามบทบัญญัติมาตรา 1516 ตามลำดับความสำคัญดังนี้ คือ
1 การที่นายมนูญไปมีเพศสัมพันธ์กับนางรำพึงภริยาของนายนที ถือว่านายมนูญเป็นชู้กับนางรำพึง นางน้ำหวานฟ้องหย่าได้ ตามมาตรา 1516(1)
2 การกระทำดังกล่าวเป็นอุปสรรคหรือขัดขวางที่สามีและภริยาจะดำเนินชีวิตครอบครัวอย่างสงบสุข หรือขัดขวางหรือเป็นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาเกี่ยวกับความเป็นอยู่ร่วมกันอันอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่กายหรือคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรยากันอย่างร้ายแรง นางน้ำหวานจึงฟ้องหย่านายมนูญได้ ตามมาตรา 1516(6)
3 การร่วมประเวณีกับหญิงมีสามี ถือเป็นการประพฤติชั่วเป็นเหตุให้ภริยาได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง นางน้ำหวานจึงสามารถฟ้องหย่าได้ตามมาตรา 1516(2)(ก) และ
4 เป็นการทำร้ายหรือทรมานจิตใจอีกฝ่ายหนึ่งเป็นการร้ายแรง นางน้ำหวานฟ้องหย่าได้ตามมาตรา 1516(3)
สำหรับนางน้ำหวาน หากจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากทั้งนายมนูญและนางรำพึงด้วย นางน้ำหวานสามารถกระทำได้ โดยปฏิบัติตามบทบัญญัติมาตรา 1523 วรรคแรก กล่าวคือ นางน้ำหวานจะต้องฟ้องหย่านายมนูญตามมาตรา 1516(1) และศาลพิพากษาให้หย่ากันเพราะเหตุตามมาตรา 1516(1) จึงจะมีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากสามีและผู้ซึ่งเป็นเหตุแห่งการหย่านั้น นางน้ำหวานจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากสามีและนางรำพึงโดยไม่ฟ้องหย่านายมนูญก่อนไม่ได้ (ฎ.2791/2515)
สรุป นางน้ำหวานฟ้องหย่าได้ตามเหตุฟ้องหย่า ตามมาตรา 1516(1) (6) (2) (3) ตามลำดับและมีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายมนูญและนางรำพึงได้ตามมาตรา 1523 วรรคแรก