การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2550
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 พรเพ็ญและเพียงใจ ตกลงเข้าหุ้นส่วนกันโดยตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ (ไม่ได้จดทะเบียน) เปิดร้านเสริมความงามใช้ชื่อว่าเพียงใจบิวตี้ โดยพรเพ็ญลงหุ้นด้วยแรง ส่วนเพียงใจนำอาคารตึกแถว 3 คูหาของตนเป็นที่ประกอบกิจการเสริมความงาม และเป็นผู้ออกเงินทั้งหมด พรเพ็ญเป็นหัวหน้าช่างประจำสถานเสริมความงาม
กิจการของห้างฯ มีกำไรดี เพียงใจจึงขยายสาขาโดยไปลงหุ้นกับตรีรักเปิดสถานเสริมความงามอีก 1 แห่ง และใช้ชื่อว่าเพียงใจบิวตี้ สาขา 1 ซึ่งตั้งอยู่ในละแวกใกล้เคียงกับสถานเสริมความงามที่ลงหุ้นกับพรเพ็ญห้างหุ้นส่วนสามัญใหม่นี้ เพียงใจก็เป็นผู้ออกทุนและสถานที่ที่ใช้ดำเนินการ โดยให้ตรีรักเป็นหัวหน้าช่างประจำสถานเสริมความงามแห่งใหม่
การเปิดสถานเสริมความงามแห่งใหม่นี้ทำรายได้ระหว่างพรเพ็ญและเพียงใจลดลง พรเพ็ญจึงกล่าวหาว่าเพียงใจดำเนินกิจการแข่งขันกับห้างหุ้นส่วน จึงขอเลิกห้างหุ้นส่วนเพียงใจ และเรียกค่าเสียหายจากเพียงใจ 5 แสนบาท ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า พรเพ็ญจะเรียกค่าเสียหายจากเพียงใจได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 1038 ห้ามมิให้ผู้เป็นหุ้นส่วนประกอบกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งมีสภาพดุจเดียวกันและเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนนั้นไม่ว่าทำเพื่อประโยชน์ตนหรือประโยชน์ผู้อื่น โดยมิได้รับความยินยอมของผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่นๆ
ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดทำการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรานี้ไซร้ ผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่นๆชอบที่จะเรียกเอาผลกำไรซึ่งผู้นั้นหาได้ทั้งหมด หรือเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อการที่ห้างหุ้นส่วนได้รับความเสียหายเพราะเหตุนั้น แต่ท่านห้ามมิให้ฟ้องเรียกเมื่อพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่วันทำการฝ่าฝืน
วินิจฉัย
พรเพ็ญเรียกค่าเสียหายจากเพียงใจไม่ได้ เพราะเพียงใจมิได้ประกอบกิจการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนสามัญ ระหว่างพรเพ็ญและเพียงใจ การที่เพียงใจลงหุ้นกับตรีรักนั้น เพียงใจเป็นผู้ออกทุนและสถานที่ประกอบกิจการเท่านั้น ไม่ได้ลงมือประกอบกิจการ จึงไม่ถือว่าเพียงใจประกอบกิจการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนสามัญ และการลงหุ้นของเพียงใจก็ไม่เป็นการต้องห้ามตามมาตรา 1038 พรเพ็ญจึงเรียกค่าเสียหายจากเพียงใจไม่ได้
สรุป พรเพ็ญเรียกค่าเสียหายจากเพียงใจไม่ได้
ข้อ 2 สมศักดิ์กับพิชัย ตกลงเข้าหุ้นส่วนกันตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด โดยสมศักดิ์รับผิดจำกัด ส่วนพิชัยรับผิดไม่จำกัด ทั้งสองคนนำเงินมาลงหุ้นไว้กันคนละ 5 แสนบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดนี้ได้จดทะเบียนและเปิดกิจการมาได้ 2 ปีแล้ว ต่อมาพิชัยหุ้นส่วนผู้จัดการไม่อยู่เนื่องจากต้องเดินทางไปต่างประเทศจึงมอบหมายให้สมศักดิ์จัดการงานในห้างหุ้นส่วนทั้งหมด สมศักดิ์ได้ทำสัญญาซื้อเหล็กเส้นจากวิไลมาขายในกิจการงานของห้างหุ้นส่วนเป็นเงิน 5 ล้านบาท ต่อมาเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ ห้างฯ ไม่มีเงินชำระหนี้ วิไลจึงเรียกให้พิชัยและสมศักดิ์รับผิดร่วมกัน แต่สมศักดิ์อ้างว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดยังไม่เลิกกัน เจ้าหนี้ของห้างฯ จะฟ้องหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดมิได้ และสมศักดิ์ได้ส่งเงินลงหุ้นครบถ้วนแล้ว จึงไม่ต้องรับผิดอีกต่อไป ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าข้ออ้างของสมศักดิ์รับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 1088 วรรคแรก ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดผู้ใดสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วน ท่านว่าผู้นั้นจะต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ทั้งหลายของห้างหุ้นส่วนนั้นโดยไม่จำกัดจำนวน
วินิจฉัย
เนื่องจากหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดนั้นไม่มีสิทธิเป็นผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัด ถ้าหากสอดเข้าไปจัดการงานของห้างจึงต้องรับผิดในบรรดาหนี้ทั้งหลายของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จำกัดจำนวน
การสอดเข้าไปจัดการตามมาตรา 1088 นี้ จะเป็นการจัดการด้วยความสมัครใจเอง หรือโดยหุ้นส่วนผู้จัดการได้มอบหมาย หรือได้ขอร้องให้เข้ามาช่วยจัดการ หรือเป็นการรับฝากงานไว้เพื่อจัดการชั่วคราวก็ตาม ก็ถือว่าเป็นการสอดเข้าไปจัดการงานทั้งสิ้น
ดังนั้นการที่สมศักดิ์ ได้ทำสัญญาซื้อเหล็กเส้นจากวิไลมาขายในกิจการของห้างหุ้นส่วนเป็นเงิน 5 ล้านบาท โดยได้รับมอบหมายจากพิชัยหุ้นส่วนผู้จัดการ เป็นการสอดไปเกี่ยวข้องในการจัดการงานของห้างหุ้นส่วนจึงต้องรับผิดในบรรดาหนี้จำนวนนี้ ตามมาตรา 1088 จะอ้างว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดยังไม่เลิกกัน เจ้าหนี้ของห้างฯจะฟ้องหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดมิได้ และสมศักดิ์ได้ส่งเงินลงหุ้นครบถ้วนแล้ว มาปฏิเสธความรับผิดไม่ได้
สรุป ข้ออ้างของสมศักดิ์ฟังไม่ขึ้น
ข้อ 3 นายเบิร์ด มีหุ้นชนิดระบุชื่อในบริษัทนานกิง จำกัด จำนวน 100,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท นายเบิร์ดได้ส่งเงินค่าหุ้นไปแล้ว หุ้นละ 50 บาท ต่อมานายเบิร์ดได้โอนหุ้นของตนให้นางสาวบุ๋มทั้งหมดโดยทำการโอนถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ แต่นางสาวบุ๋มยังมิได้เปลี่ยนชื่อในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นเป็นชื่อของตน นางสาวพรเจ้าหนี้ของนายเบิร์ดได้ฟ้องให้นายเบิร์ดชำระหนี้ ศาลได้พิพากษาให้นายเบิร์ดแพ้คดี นางสาวพรจึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดีมาอายัดหุ้นของนายเบิร์ดที่บริษัทนานกิง จำกัด ส่วนนางสาวบุ๋มได้มาขอให้บริษัทนานกิง จำกัด เปลี่ยนแปลงชื่อในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นจากนายเบิร์ดมาเป็นชื่อตน โดยอ้างว่าตนมีสิทธิดีกว่านางสาวพร เพราะได้มีการโอนหุ้นกันก่อนฟ้องคดี ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า สิทธิของนางสาวพรกับสิทธิของนางสาวบุ๋มใครดีกว่ากัน
ธงคำตอบ
มาตรา 1129 วรรคสาม การโอนเช่นนี้จะนำมาแก่บริษัท หรือบุคคลภายนอกไม่ได้ จนกว่าจะได้จดแจ้งการโอนทั้งชื่อและสำนักของผู้รับโอนนั้น ลงในทะเบียนผู้ถือหุ้น
วินิจฉัย
สิทธิของนางสาวพรดีกว่าสิทธิของนางสาวบุ๋ม เพราะนางสาวบุ๋มยังมิได้ไปจดแจ้งชื่อของตนเองลงในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น จึงยกขึ้นต่อสู้นางสาวพรซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ ตามมาตรา 1129 วรรคสาม
สรุป สิทธิของนางสาวพรดีกว่านางสาวบุ๋ม