การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2553
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001 กฎหมายอาญา 3
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ
ข้อ 1 เอกขับเรือหางยาวรับจ้างขนผู้โดยสารข้ามฟากแม่น้ำ เอกมักจะบรรทุกผู้โดยสารเกินขนาดทำให้เรือเพียบแต่ก็ยังขับรับส่งผู้โดยสารมาโดยตลอด
วันเกิดเหตุเอกบรรทุกผู้โดยสารเกินขนาดเช่นเคย เมื่อขับเรือไปถึงกลางแม่น้ำเกิดพายุรุนแรงพัดมาโดยไม่คาดหมาย ทำให้เรือล่มผู้โดยสารจมน้ำตาย 2 คน ส่วนเรือโดยสารลำอื่นๆ ที่แล่นอยู่ในน้ำ แม้จะบรรทุกผู้โดยสารไม่เกินขนาดต่างก็ถูกพายุพัดจนเรือล่มเช่นกัน ดังนี้ เอกจะมีความผิดต่อชีวิตร่างกายฐานใดหรือไม่
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 59 วรรคสี่ กระทำโดยประมาท ได้แก่ กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้น จักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
มาตรา 291 ผู้ใดกระทำประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษ
วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามมาตรา 291 ประกอบด้วย
1 กระทำด้วยประการใดๆ
2 การกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
3 โดยประมาท
ความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 291 นั้น จะต้องเป็นการกระทำที่ผู้กระทำได้กระทำโดยประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี่ และการกระทำนั้นทำให้เกิดผลคือเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามหลักที่ว่า “ถ้าไม่มีการกระทำ (โดยประมาท) ผลจะไม่เกิด” แต่ถ้าผลที่เกิดขึ้นนั้น แม้ไม่มีการกระทำของบุคคลนั้น ผลก็ยังคงเกิดขึ้นเช่นกัน ดังนี้จะถือว่าผลเกิดจากการกระทำของเขาไม่ได้ ตามหลักที่ว่า “แม้ไม่มีการกระทำ ผลก็ยังเกิด”
ตามอุทาหรณ์ การที่เอกขับเรือหางยาวรับจ้างและบรรทุกผู้โดยสารเกินขนาดทำให้เรือเพียบนั้น เป็นการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ. การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ.2546 แต่ในกรณีที่เรือล่มและผู้โดยสารจมน้ำตาย 2 คนนั้น เอกจะมีความผิดต่อชีวิตร่างกายฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามมาตรา 291 หรือไม่นั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเหตุที่ทำให้เรือล่มนั้น เป็นเพราะเกิดพายุรุนแรงพัดมาโดยไม่คาดหมาย มิได้เกิดขึ้นเพราะเอกบรรทุกผู้โดยสารเกินขนาดแต่อย่างใด ดังจะเห็นได้จากการที่เรือโดยสารลำอื่นๆที่แล่นอยู่ในแม่น้ำ แม้จะบรรทุกผู้โดยสารไม่เกินขนาดต่างก็ถูกพายุพัดจนเรือล่มเช่นกัน ดังนั้นกรณีที่เรือของเอกล่ม และมีผู้โดยสารจมน้ำตาย 2 คนนั้น จึงไม่ได้เกิดจากการกระทำโดยประมาทของเอกโดยตรง ซึ่งเป็นไปตามหลักที่ว่า “แม้ไม่มีการกระทำ (โดยประมาทของเอก) ผลก็ยังเกิด” กล่าวคือ จะถือว่าการที่ผู้โดยสารจมน้ำตายเป็นผลที่เกิดจากการกระทำโดยประมาทของเอกไม่ได้ ดังนั้น เอกจึงไม่มีความผิดต่อชีวิตร่างกาย ฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย (ฎ. 1073/2464)
สรุป เอกไม่มีความผิดต่อชีวิตร่างกายฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
ข้อ 2 นายหนึ่งต้องการจับนายสองไปเรียกค่าไถ่ วันเกิดเหตุขณะที่นายสามซึ่งเป็นพี่ชายของนายสองจอดรถอยู่ที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง นายหนึ่งเข้าใจว่าเป็นนายสองจึงจับตัวนายสามไป หลังจากรถแล่นไปได้ 1 กิโลเมตร พอนายหนึ่งรู้ว่าจับผิดคนจึงจอดรถแล้วปล่อยนายสามลงจากรถและกำชับด้วยว่าไม่ให้นำเรื่องไปบอกใคร จากข้อเท็จจริงดังกล่าวให้วินิจฉัยว่านายหนึ่งจะมีความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพฐานใด และจะต้องรับโทษเพียงใดหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 61 ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิด ผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่
มาตรา 313 ผู้ใดเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่
(1) เอาตัวเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไป
(2) เอาตัวบุคคลอายุกว่าสิบห้าปีไปโดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด หรือ
(3) หน่วงเหนี่ยว หรือกักขังบุคคลใด
ต้องระวางโทษ…
มาตรา 316 ถ้าผู้กระทำความผิดตามมาตรา 313 มาตรา 314 หรือมาตรา 315 จัดให้ผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขังได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา โดยผู้นั้นมิได้รับอันตรายสาหัสหรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต ให้ลงโทษน้อยกว่ากฎหมายกำหนดไว้ แต่ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง
วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานเอาตัวบุคคลไปหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ตามมาตรา 313 วรรคแรก (3) ประกอบด้วย
1 หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้ใด
2 โดยเจตนา
3 เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งมีเจตนาต้องการจับนายสองไปเรียกค่าไถ่ แต่เพราะความสำคัญผิดนายหนึ่งได้จับตัวนายสามซึ่งเป็นพี่ชายของนายสองไปโดยเข้าใจว่าเป็นนายสอง ดังนี้ นายหนึ่งจะยกเอาความสำคัญผิดมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนาจะจับตัวนายสามไปเรียกค่าไถ่หาได้ไม่ ตามมาตรา 61
และการที่นายหนึ่งจับตัวนายสามไปโดยมีเจตนาเพื่อเรียกค่าไถ่นั้น ถึงแม้ว่านายหนึ่งจะยังไม่ได้เรียกค่าไถ่เนื่องจากนายหนึ่งได้รู้ว่าจับผิดคนจึงได้ปล่อยตัวนายสามไป การกระทำของนายหนึ่งก็ถือว่าเป็นความผิดสำเร็จตามมาตรา 313 วรรคแรก (3) แล้ว เพราะการกระทำนั้นครบองค์ประกอบความผิดดังกล่าวข้างต้นแล้ว
ส่วนการที่นายหนึ่งได้ปล่อยตัวนายสาม และนายสามก็ไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใดนั้น ถือได้ว่าเป็นการจัดให้ผู้ถูกเอาตัวไปได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา โดยผู้นั้นมิได้รับอันตรายสาหัสหรือตกใจอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต จึงเป็นเหตุให้ได้รับโทษน้อยกว่าที่กฎหมายได้กำหนดไว้แต่ต้องไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งตามมาตรา 316
สรุป นายหนึ่งมีความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพฐานเอาตัวบุคคลไปหน่วงเหนี่ยว หรือกักขังเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ตามมาตรา 313 วรรคแรก (3) แต่ได้รับโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ตามมาตรา 316
ข้อ 3 หนึ่งและสองเข้าหุ้นกันเปิดร้านขายของชำประเภทมินิมาร์ท โดยหนึ่งทำหน้าที่ติดต่อซื้อของเข้าร้านและดูแลสต๊อกสินค้า ส่วนสองทำหน้าที่เป็นคนขายคิดราคาและเก็บเงินที่เคาน์เตอร์หน้าร้าน สองคิดไม่ซื่อนัดหมายให้สามมาแอบลักเอาสินค้าในร้านออกไปโดยสองแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นปล่อยให้สามเอาของออกไปโดยไม่จ่ายเงิน ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าสองจะมีความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 334 ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ…
มาตรา 352 วรรคแรก ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอกต้องระวางโทษ…
วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ ตามมาตรา 334 ประกอบด้วย
1 เอาไป
2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย
3 โดยเจตนา
4 โดยทุจริต
กรณีที่จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 นั้น จะต้องเป็นกรณีการเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปจากการครอบครองของผู้อื่นโดยทุจริต หรือเป็นการแย่งการครอบครองนั่นเอง ในกรณีที่เป็นการเอาทรัพย์สินของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ไปโดยทุจริต ในขณะที่ผู้เอาทรัพย์สินนั้นไป ได้ครอบครองทรัพย์สินนั้นอยู่ ย่อมไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ แต่อาจเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา 352 วรรคแรก
ตามอุทาหรณ์ การที่หนึ่งและสองเข้าหุ้นกันเปิดร้านขายของชำประเภทมินิมาร์ท โดยหนึ่งทำหน้าที่ติดต่อสั่งซื้อของเข้าร้านและดูแลสต๊อกสินค้า ส่วนสองทำหน้าที่เป็นคนขายคิดราคาและเก็บเงินที่เคาน์เตอร์หน้าร้าน กรณีดังกล่าวถือได้ว่า ทั้งหนึ่งและสองเป็นเจ้าของสินค้าในร้านและต่างก็ร่วมกันครอบครองสินค้าในร้านนั้นด้วยกันในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม
ดังนั้น ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ การที่สองให้สามแอบลักเอาสินค้าในร้านออกไป จะถือว่าสองมีความผิดฐานลักทรัพย์ไม่ได้ เพราะในขณะนั้นสองได้ครอบครองทรัพย์หรือสินค้านั้นอยู่ และจะถือว่าสองมีความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้ลักทรัพย์ก็ไม่ได้ (ฎ. 554/2509 และ ฎ. 1891 – 1892/2536) ถ้าสองจะมีความผิดก็มีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ตามมาตรา 352 วรรคแรก
สรุป สองไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ ด้วยเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น
ข้อ 4 นายอาทิตย์เจ้าของที่ดินมอบให้นางราตรีเป็นนายหน้าหาคนมาซื้อที่ดินโดยตกลงจะให้ค่านายหน้าร้อยละ 5 ของราคาที่ดินที่ขายได้ นางราตรีได้พานางสมศรีมาติดต่อซื้อที่ดินจากนายอาทิตย์ หลังจากได้มีการจดทะเบียนซื้อขายและชำระราคาที่ดินให้แก่กันแล้ว นางราตรีได้มาที่บ้านของนายอาทิตย์เพื่อขอรับค่านายหน้า นายอาทิตย์ได้ใช้อุบายหลอกลวงว่ายังไม่ได้มีการซื้อขายที่ดินกันด้วยเจตนาจะไม่จ่ายค่านายหน้า ต่อมานางราตรีได้ไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินจึงรู้ว่านายอาทิตย์หลอกลวง นางราตรีจึงไปแจ้งความให้ดำเนินคดีกับนายอาทิตย์ในข้อหาฉ้อโกง ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่านายอาทิตย์จะมีความผิดตามข้อกล่าวหาหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 341 ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามหรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษ…
วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 ประกอบด้วย
1 หลอกลวงผู้อื่นด้วยการ
(ก) แสดงข้อความเป็นเท็จ หรือ
(ข) ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง
2 โดยการหลอกลวงนั้น
(ก) ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม
(ข) ทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ
3 โดยเจตนา
4 โดยทุจริต
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอาทิตย์ได้ใช้อุบายหลอกลวงนางราตรีว่ายังไม่ได้มีการซื้อขายที่ดินกับนางสมศรีโดยมีเจตนาจะไม่จ่ายค่านายหน้าให้นางราตรีนั้น ถือว่าเป็นการหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและได้กระทำโดยเจตนา
แต่อย่างไรก็ดี การหลอกลวงของนายอาทิตย์ดังกล่าวก็ไม่ได้ทำให้นายอาทิตย์ได้ทรัพย์สินจากนางราตรีผู้ถูกหลอกลวงแต่อย่างใด และในการหลอกลวงนั้นก็ไม่ได้ทำให้นางราตรีผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิแต่อย่างใด เป็นแต่เพียงนายอาทิตย์มีเจตนาจะไม่จ่ายค่านายหน้าเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องไปว่ากล่าวกันในทางแพ่งต่อไป ดังนั้น การกระทำของนายอาทิตย์จึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง ตามมาตรา 341
สรุป นายอาทิตย์ไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหาตามที่นางราตรีได้ไปแจ้งความให้ดำเนินคดีแต่อย่างใด ด้วยเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น