การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2551
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001 กฎหมายอาญา 3
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 83 ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
มาตรา 295 ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย หรือจิตใจของผู้นั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษ
มาตรา 297 ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษ
อันตรายสาหัสนั้น คือ
(1) ตาบอด หูหนวก ลิ้นขาด หรือเสียฆานประสาทวินิจฉัย
ความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ตามมาตรา 297 เป็นเหตุที่ทำให้ผู้กระทำผิดฐานทำร้ายร่างกาย ตามมาตรา 295 ต้องรับโทษหนักขึ้น เพราะผลที่เกิดจากการกระทำ ดังนั้น ในเบื้องต้นจึงต้องพิจารณาก่อนว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามมาตรา 295 หรือไม่
องค์ประกอบความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ตามมาตรา 295 ประกอบด้วย
1 ทำร้าย
2 ผู้อื่น
3 จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่น
4 โดยเจตนา
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่หนึ่งและสองมีเจตนาทำร้ายร่างกายแดง โดยหนึ่งชกปากแดง 1 ที และสองหยิบท่อนไม้ฟาดแดงถูกที่ศีรษะได้รับความกระทบกระเทือนจนตาบอด การกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ตามมาตรา 295 แล้ว เมื่อผลที่เกิดจากการกระทำผิดดังกล่าวทำให้แดงตาบอด จึงเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ตามมาตรา 297(1)
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า หนึ่งและสองมีเจตนาร่วมกันที่จะทำร้ายร่างกายแดง แม้สองแต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้ใช้ไม้ฟืนฟาดศีรษะแดง และหนึ่งไม่มีเจตนาให้แดงผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส หรือมิได้เป็นผู้ลงมือกระทำให้เกิดผลนั้นขึ้น คงมีเจตนาร่วมทำร้ายร่างกายแดงเท่านั้น หนึ่งตัวการร่วมก็ต้องรับผิดในผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำของสองด้วย ถือได้ว่า หนึ่งเป็นตัวการร่วมกันทำร้ายแดงจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ตามมาตรา 297(1) ประกอบมาตรา 83 แล้ว (ฎ. 313/2529 (ประชุมใหญ่))
สรุป หนึ่งต้องรับผิดฐานเป็นตัวการร่วมในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ตามมาตรา 297
ข้อ 2 นายดำกู้ยืมเงินจากนางส้มโดยจำนำสร้อยคอทองคำไว้เป็นประกัน นายดำยังไม่มีเงินชำระหนี้ แต่อยากจะได้สร้อยคืนจึงไปขอยืมสร้อยที่จำนำไว้โดยอ้างว่าจะนำไปให้เพื่อนดูเป็นตัวอย่าง แต่นางส้มไม่ยอม นายดำจึงใช้อาวุธมีดปลายแหลมซึ่งพกติดตัวมาทำการขู่เข็ญเอาสร้อยจากนางส้ม ขณะนั้นสามีของนางส้มมาเห็นเหตุการณ์จึงโทรศัพท์แจ้งตำรวจมาจับกุมตัวนายดำไปดำเนินคดี โดยนางส้มยังไม่ได้มอบสร้อยให้นายดำแต่อย่างใด
ดังนี้ อยากทราบว่าการกระทำของนายดำจะเป็นความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 80 ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด
ผู้ใดพยายามกระทำความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
มาตรา 309 วรรคแรก ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้นต้องระวางโทษ…
วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ ตามมาตรา 309 ประกอบด้วย
1 ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด
2 โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้าย
3 จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น
4 โดยเจตนา
กรณีตามอุทาหรณ์ นายดำจำนำสร้อยคอทองคำไว้กับนางส้ม ไม่มีเงินชำระหนี้แต่อยากได้คืน จึงไปขอยืมสร้อยที่จำนำโดยอ้างว่าจะนำไปให้เพื่อนดูเป็นตัวอย่าง แต่นางส้มไม่ยอม นายดำจึงใช้อาวุธมีดขู่เข็ญให้นางส้มคืนสร้อยให้ การกระทำของนายดำเช่นนี้ถือเป็นการข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดๆ โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพตามมาตรา 309 วรรคแรก แต่เมื่อนางส้มยังไม่ได้คืนสร้อยให้ตามที่ถูกข่มขืนใจ จึงเป็นกรณีที่นายดำได้ลงมือกระทำไปตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล อันเป็นความผิดฐานพยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดๆ ตามมาตรา 309 วรรคแรกประกอบมาตรา 80
สรุป นายดำมีความผิดฐานพยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดๆ ตามมาตรา 309 วรรคแรก ประกอบมาตรา 80
ข้อ 3 วันเกิดเหตุจำเลยเห็นนาย ก เดินผ่านมา จำเลยใช้มือลูบคลำตามเสื้อและกางเกงของนาย ก จากนั้น จำเลยพูดขอแว่นตาที่นาย ก สวมอยู่ นาย ก ไม่ยอมให้ จำเลยแย่งแว่นตาไปจากนาย ก นาย ก แย่งคืนมาได้ จำเลยแย่งไปได้อีก แล้วพูดว่า “ถ้าเอ็งมีอาวุธกูแทงเสียแล้ว” หลังจากพูดเสร็จ จำเลยเอามือล้วงใต้เสื้อตรงขอบกางเกงหน้าท้อง
ดังนี้ จำเลยมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 336 ผู้ใดลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า ผู้นั้นกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ต้องระวางโทษ
มาตรา 339 ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ
(1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์ หรือการพาทรัพย์นั้นไป
(2) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น
(3) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้
(4) ปกปิดการกระทำความผิดนั้น หรือ
(5) ให้พ้นจากการจับกุม
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ ต้องระวางโทษ…
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การจะพิจารณาว่าเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์หรือไม่ การกระทำนั้นนอกจากจะเป็นการกระทำผิดฐานลักทรัพย์แล้ว ประการสำคัญคือ การลักทรัพย์นั้นต้องได้กระทำโดยใช้กำลังประทุษร้ายตามมาตรา 1(6) หรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายด้วย มิฉะนั้นย่อมไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ ตามมาตรา 339
การที่จำเลยพูดขอแว่นตาที่นาย ก สวมอยู่ นาย ก ไม่ยอมให้ จำเลยแย่งแว่นตาไปจากนาย ก นาย ก แย่งคืนมาได้ จำเลยแย่งไปได้อีก ถือว่าเป็นการเอาไปจากการครอบครองซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น โดยทำให้ทรัพย์นั้นเคลื่อนที่ไปจากที่เดิมในลักษณะที่จะพาเอาได้ในลักษณะเป็นการตัดสิทธิของเจ้าทรัพย์อย่างถาวร โดยมีเจตนาทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยมิชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ตามมาตรา 334 แต่การที่จำเลยพูดกับนาย ก ว่า “ถ้าเอ็งมีอาวุธกูแทงเสียแล้ว” หลังจากพูดเสร็จ จำเลยเอามือล้วงใต้เสื้อตรงขอบกางเกงหน้าท้อง พฤติการณ์เช่นนี้ยังไม่ถือว่าเป็นการใช้กำลังประทุษร้าย ทั้งคำกล่าวนั้นก็ยังไม่ถือว่าเป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ ตามมาตรา 339
อย่างไรก็ตาม การกระทำของจำเลยที่ไปแย่งแว่นตาไปจากนาย ก และมีการแย่งกันไปมาจนทรัพย์ไปอยู่กับจำเลยนั้น เป็นการลักทรัพย์โดยการเอาทรัพย์ไปโดยการหยิบหรือกระชากเอา หรือแย่งเอาในลักษณะที่รวดเร็วอันถือว่าเป็นการฉกฉวย ซึ่งได้กระทำซึ่งหน้านาย ก เจ้าของทรัพย์ การกระทำของจำเลยจึงมีความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ตามมาตรา 336 (ฎ. 1088/2520)
สรุป จำเลยมีความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ตามมาตรา 336
ข้อ 4 นายหนึ่งกับนายสองเป็นเจ้าของปั๊มน้ำมัน ปรากฏว่าปั๊มน้ำมันของนายหนึ่งขายดี นายหนึ่งจึงไปขอยืมน้ำมันดีเซลจากนายสอง จำนวน 5,000 ลิตร คิดเป็นเงิน 35,000 บาท เพื่อนำไปขายที่ปั๊มน้ำมันของนายหนึ่ง โดยสัญญาว่าจะนำมาคืนให้ภายในเวลาที่กำหนด ปรากฏว่าเมื่อครบกำหนดนายหนึ่งไม่ยอมคืน ดังนี้ นายหนึ่งมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 352 วรรคแรก ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอกต้องระวางโทษ…
วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ตามมาตรา 352 วรรคแรก ประกอบด้วย
1 ครอบครอง
2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย
3 เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม
4 โดยเจตนา
5 โดยทุจริต
กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า การกระทำของนายหนึ่งมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์หรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ตามมาตรา 352 เป็นความผิดที่ประทุษร้ายต่อกรรมสิทธิ์ หรือกล่าวได้ว่าเป็นบทบัญญัติที่คุ้มครองกรรมสิทธิ์ของบุคคลมิให้ถูกผู้ครอบครองทรัพย์นั้นเบียดบังไป จึงต้องพิจารณาว่า ทรัพย์ที่ถูกเบียดบังไม่ว่าด้วยวิธีการนำไปใช้สอย หรือจำหน่ายจ่ายโอนนั้นเป็นของจำเลยหรือไม่ กล่าวคือ ทรัพย์สินที่เป็นของผู้อื่นมาก่อน หากผู้นั้นได้มอบหมายการครอบครองและโอนกรรมสิทธิ์ให้อีกบุคคลหนึ่ง ผู้นั้นย่อมเป็นเจ้าของทรัพย์ จึงไม่อาจมีความผิดฐานยักยอกได้ การโอนกรรมสิทธิ์อาจอาศัยนิติกรรมสัญญา เช่น สัญญาซื้อขายแลกเปลี่ยนให้ ยืมใช้สิ้นเปลือง ฝากเงิน เป็นต้น
การที่นายหนึ่งยืมน้ำมันดีเซลจากนายสอง เพื่อนำไปขายที่ปั๊มของตนเอง แล้วไม่ยอมคืนนั้น เห็นว่า การยืมน้ำมันเป็นการยืมใช้สิ้นเปลือง ซึ่งเป็นสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิดใช้ไปสิ้นไปให้แก่ผู้ยืม ผู้ยืมจึงเป็นเจ้าของทรัพย์นั้นโดยผลของสัญญายืมและบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 650 ย่อมนำทรัพย์นั้นไปใช้สอยได้ด้วยอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ ตามมาตรา 1336 น้ำมันจึงไม่เป็นทรัพย์ของนายสองหรือที่นายสองเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เมื่อน้ำมันไม่ใช่ทรัพย์ของผู้อื่น การกระทำของนายหนึ่งจึงไม่เป็นผิดฐานยักยอก เพราะไม่ครบองค์ประกอบความผิด ตามมาตรา 352 วรรคแรก การที่นายหนึ่งไม่ส่งทรัพย์ที่ยืมคืน แม้จะไม่ได้นำไปใช้หรือใช้แล้วแต่ยังเหลืออยู่ หรือใช้หมดไปแต่ไม่หาทรัพย์ที่เป็นประเภท ชนิดและปริมาณเช่นเดียวกันมาคืน ย่อมเป็นเพียงผิดสัญญาทางแพ่ง และเมื่อนายสองไปทวงถามทรัพย์คืนจากนายหนึ่ง แม้นายหนึ่งจะอ้างเหตุในการไม่คืนด้วยเหตุใดก็ตาม ก็หาทำให้กลายเป็นผิดฐานยักยอกไปได้ (ฎ. 1250/2530)
สรุป นายหนึ่งไม่มีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ตามมาตรา 352 วรรคแรก