การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

ข้อ  1  เข้มแอบซุ่มอยู่ข้างทางเพื่อดักชิงทรัพย์  เข้มเห็นเขียวขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมาจึงใช้ปืนเอ็ม  16  ยิงไปที่ยางรถจักรยานยนต์ของเขียวหลายนัด  เพื่อให้รถล้มลงจะได้เข้าไปปลดทรัพย์สิน  ปรากฏว่ากระสุนปืนถูกยางรถและถูกขาของเขียวจนได้รับอันตรายสาหัส  ดังนี้ เข้มจะมีความผิดต่อชีวิตและร่างกายฐานใดหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

ผู้ใดพยายามกระทำความผิด  ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  288  ผู้ใดฆ่าผู้อื่น  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา  ตามมาตรา  288  ประกอบด้วย

1       ฆ่า

2       ผู้อื่น

3       โดยเจตนา

การพิจารณาว่าผู้กระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามมาตรา  288  ดังกล่าวข้างต้นหรือไม่นั้น  ในเบื้องต้นจะต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่าผู้กระทำมีเจตนาฆ่าผู้ตายหรือผู้เสียหายโดยประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลตามมาตรา  59  วรรคสองหรือไม่  ถ้าผู้กระทำไม่มีเจตนาฆ่าดังกล่าว  แม้ผู้ถูกกระทำจะถึงแก่ความตายก็ไม่อาจถือได้ว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดตามมาตรานี้

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่เข้มใช้อาวุธปืนเอ็ม  16  ยิงไปที่ยางรถจักรยานยนต์ของเขียวหลายนัด  โดยมีเจตนาเพียงเพื่อให้รถจักรยานยนต์ของเขียวล้ม  ในขณะที่อาจยิงเขียวให้ถึงแก่ความตายได้โดยตรงนั้น  ไม่ถือว่า  เข้มมีเจตนาฆ่าเขียวโดยประสงค์ต่อผลให้เขียวตาย  แต่โดยที่ลักษณะของการกระทำเช่นนั้น  เข้มย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า  การใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงดังกล่าวยิงไป  กระสุนปืนอาจถูกที่บริเวณอวัยวะสำคัญของเขียว  ทำให้เขียวได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือถึงแก่ความตายได้  กรณีเช่นนี้จึงถือว่าเข้มมีเจตนาเล็งเห็นผลตามมาตรา  59  วรรคสอง

เมื่อปรากฏว่า  เข้มได้ลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว  แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  คือกระสุนปืนถูกขาของเขียวได้รับอันตรายสาหัสเท่านั้น  ไม่ถึงแก่ความตาย  เข้มจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าตามมาตรา  288  ประกอบมาตรา  80 (ฎ. 2991/2536)

สรุป  เข้มมีความผิดฐานพยายามฆ่าตามมาตรา  288  ประกอบมาตรา  80

 

ข้อ  2  เด็กหญิงน้ำหวานทะเลาะกับมารดาแล้วหนีออกจากบ้านไปพักอยู่กับเพื่อนที่หอพัก  มารดาเคยไปตามที่หอพักแต่ไม่พบเพราะนายสิงห์ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์มารับเด็กหญิงน้ำหวานไปที่ห้องเช่าของตน  ในขณะอยู่ในห้องเช่านายสิงห์ได้กอดจูบเด็กหญิงน้ำหวาน  โดยเด็กหญิงน้ำหวานก็สมัครใจ  ต่อมามารดาตามมาพบจึงได้พาตัวเด็กหญิงน้ำหวานกลับบ้านและดำเนินคดีกับนายสิงห์ในข้อหาพรากเด็กอายุไม่เกิน  15  ปี  ไปเพื่อการอนาจาร  นายสิงห์ต่อสู้ว่าตนไม่มีความผิดเพราะขณะพาเด็กหญิงน้ำหวานไปนั้น  เด็กหญิงน้ำหวานได้หนีออกจากบ้านก่อนแล้ว  ไม่เป็นการพรากเด็กไปเสียจากบิดามารดาแต่อย่างใด  และตอนที่กอดจูบเด็กหญิงน้ำหวานก็สมัครใจไม่มีการใช้อุบายหลอกลวงหรือบังคับขืนใจ

ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  การกระทำของนายสิงห์จะเป็นความผิดตามข้อกล่าวหาหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  317  วรรคแรกและวรรคสาม  ผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันสมควร  พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา  ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล  ต้องระวางโทษ

ถ้าความผิดตามมาตรานี้ได้กระทำเพื่อหากำไร  หรือเพื่อการอนาจาร  ผู้กระทำต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร  ตามมาตรา  317  วรรคสาม  ประกอบด้วย

1       โดยปราศจากเหตุอันสมควร

2       พรากเด็กอายุไม่เกิน  15  ปี

3       ไปเสียจากบิดามารดา  ผู้ปกครอง  หรือผู้ดูแล

4       เพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร

5       โดยเจตนา

การพราก  หมายถึง  การพาไปหรือแยกผู้เยาว์ออกไปจากความปกครองดูแลของบิดามารดา  ผู้ปกครอง  หรือผู้ดูแล  ทำให้ความปกครองดูแลบุคคลดังกล่าว  ถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือน  อันเป็นการล่วงอำนาจปกครองของบุคคลดังกล่าว

เพื่อการอนาจาร  หมายความว่า  เพื่อความใคร่หรือการอื่นใดในทางประเวณีหรือชู้สาวถึงขั้นร่วมประเวณีหรือไม่ก็ได้  เพื่อผู้กระทำผิดกระทำอนาจารกับเด็ก  ให้ผู้อื่นกระทำอนาจารกับเด็ก  หรือให้เด็กกระทำอนาจารก็ได้

กรณีตามอุทาหรณ์  แม้ก่อนเกิดเหตุเด็กหญิงน้ำหวานจะทะเลาะกับมารดาและหนีออกจากบ้านไปพักอาศัยอยู่กับเพื่อนที่หอพัก  แต่เมื่ออาศัยอยู่กับเพื่อนที่หอพักดังกล่าวนั้น  มารดาก็ยังเอาใจใส่ติดตามตัวอยู่  พฤติการณ์บ่งชี้แสดงให้เห็นว่าเด็กหญิงน้ำหวานยังคงอยู่ในอำนาจปกครองดูแลของมารดา  ดังนั้น  การที่นายสิงห์ขับรถจักรยานยนต์มารับเด็กหญิงน้ำหวานที่หอพักแล้วพาไปที่ห้องเช่าของตน  และขณะอยู่ที่ห้องพักนายสิงห์ได้กอดจูบเด็กหญิงน้ำหวาน  กรณีจึงเป็นการพาเด็กหญิงน้ำหวานออกจากหอพักไปโดยมีเจตนามุ่งที่จะล่วงเกินทางเพศหรือกระทำอนาจารแก่เด็กหญิงน้ำหวานโดยไม่ได้รับความยินยอมจากมารดาของเด็กหญิงน้ำหวาน  ซึ่งผลของการกระทำของนายสิงห์เช่นนี้  ย่อมทำให้อำนาจปกครองดูแลบุตรผู้เยาว์ของบิดามารดาที่มีต่อเด็กหญิงน้ำหวานได้ถูกพรากไปโดยปริยาย  การกระทำของนายสิงห์จึงเป็นการพรากเด็กอายุไม่เกิน  15  ปี  ไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุผลสมควรเพื่อการอนาจาร  อันเป็นความผิดตามมาตรา  317  วรรคสาม

สำหรับประเด็นที่นายสิงห์ต่อสู้ว่า  ขณะที่พาเด็กหญิงน้ำหวานไปนั้น  เด็กหญิงน้ำหวานได้หนีออกจากบ้านก่อนแล้วไม่เป็นการพรากเด็กไปเสียจากบิดามารดา  และตอนที่กอดจูบกันเด็กหญิงน้ำหวานสมัครใจ  ไม่มีการใช้อุบายหลอกลวงหรือบังคับขืนใจนั้น  เห็นว่า  ความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน  15  ปี  ไปเสียจากบิดามารดา  ผู้ปกครอง  หรือผู้ดูแลตามมาตรา  317  กฎหมายมีเจตนารมณ์ที่จะปกป้องคุ้มครองอำนาจปกครองของบิดามารดา  ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลมิให้ผู้ใดมาก่อการรบกวนหรือกระทำการใดๆ  อันเป็นการกระทบกระทั่งต่ออำนาจปกครอง  เมื่อการกระทำของนายสิงห์ดังกล่าวมีผลทำให้อำนาจปกครองของบิดามารดาถูกพรากไปเสียโดยปริยาย  แม้การกระทำของนายสิงห์นั้น  เด็กเต็มใจหรือสมัครใจไปกับนายสิงห์ด้วย  ก็หามีผลทำให้การกระทำของนายสิงห์ไม่เป็นความผิดไม่  (ฎ. 8052/2549)

สรุป  นายสิงห์มีความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน  15  ปี  ไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร  ตามมาตรา  317วรรคสาม

 

ข้อ  3  ขณะที่แดงกำลังนั่งรอเพื่อนอยู่  ณ  สถานที่แห่งหนึ่ง  มืดค่อยๆย่องไปด้านหลังของแดง  และดึงเอาสร้อยคอทองคำมีพระเลี่ยมทองที่แดงสวมใส่อยู่ที่คอแดง  สร้อยคอหลุดลงบนพื้นบริเวณนั้น  มืดจึงรีบคว้าสร้อยคอเส้นนั้นใส่กระเป๋าและวิ่งหนีไป  แดงเห็นดังนั้นรีบวิ่งตามไปทันทีประมาณ  10  วินาที  มืดวิ่งไปแอบที่ตึกแถว  ขณะเดียวกันมืดรีบเอาท่อนไม้ที่พบบริเวณนั้นขึ้นมาขวางทำให้แดงวิ่งตามมาชนท่อนไม้สะดุดหกล้มทันที  มืดจึงวิ่งหนีไปได้  มีข้อเท็จจริงปรากฏว่าขณะที่มืดทำการขัดขวางการติดตามของแดง  มืดได้ทำสร้อยคอและพระเลี่ยมทองหล่นหายไปเสียแล้ว  เมื่อแดงพบสร้อยคอดังกล่าวจึงได้สร้อยกลับคืนมา  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  มืดมีความผิดอาญาเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  339  ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย  เพื่อ

(1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์  หรือการพาทรัพย์นั้นไป

(2) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4) ปกปิดการกระทำความผิดนั้น  หรือ

(5) ให้พ้นจากการจับกุม

ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์  ต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานชิงทรัพย์  ตามมาตรา  339  ประกอบด้วย

1       ลักทรัพย์

2       โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย

3       โดยเจตนา

4       เจตนาพิเศษ  เพื่อ

(1)  ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์  หรือพาทรัพย์นั้นไป

(2) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4) ปกปิดการกระทำความผิดนั้น  หรือ

(5) ให้พ้นจากการจับกุม

การใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายที่เกิดขึ้นภายหลังลักทรัพย์สำเร็จแล้ว  จะต้องกระทำต่อเนื่องกับการลักทรัพย์  จึงจะเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์  ถ้าการลักทรัพย์ได้ขาดตอนไปแล้ว  จึงได้มีการใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย  ก็ไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์แต่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์กระทงหนึ่งและฐานทำร้ายร่างกายอีกกระทงหนึ่ง

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่มืดค่อยๆย่องไปด้านหลังของแดง  และดึงเอาสร้อยคอทองคำที่แดงสวมใส่อยู่ที่คอ  สร้อยคอหลุดลงบนพื้น  มืดจึงรีบคว้าสร้อยคอแล้วใส่กระเป๋าวิ่งหนีไป  การกระทำของมืดดังกล่าวถือว่าเป็นการเอาไปจากการครอบครองซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น  โดยทำให้ทรัพย์นั้นเคลื่อนที่ไปจากที่เดิมในลักษณะที่จะพาเอาได้  ในลักษณะเป็นการตัดสิทธิของเจ้าทรัพย์อย่างถาวร  โดยมีเจตนาทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้  โดยมิชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง  การกระทำของมืดเป็นความผิดฐานลักทรัพย์  ตามมาตรา  334  ทั้งนี้ แม้มืดจะไม่ได้ขู่เข็ญว่าทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย  หรือได้ใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหาย  แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อภายหลังจากที่มืดหนีไป  มืดได้ใช้ท่อนไม้ขวางเพื่อให้แดงตามมาชนท่อนไม้  กรณีจึงถือว่าเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อที่มืดจะยึดทรัพย์นั้นไว้  แม้จะมีการลักทรัพย์ไปสำเร็จแล้ว  แต่ก็ยังไม่ขาดตอน  และแม้มืดจะทำสร้อยคอตกหายไปก็ตาม  ในระหว่างนั้นก็ถือว่าเป็นการชิงทรัพย์สำเร็จแล้วตามมาตรา  339  มิใช่พยายามชิงทรัพย์

สรุป  มืดมีความผิดฐานชิงทรัพย์ตามมาตรา  339  

 

ข้อ  4  ดำมีเงินในบัญชีธนาคารแห่งหนึ่งตามสมุดเงินฝาก  2,000  บาท  ปรากฏว่าดำนำเงินไปฝากธนาคารเพียง  1,000  บาท  แต่ธนาคารพิมพ์ในสมุดบัญชีเงินฝากของดำเป็นเงิน  30,000  บาท  ผิดไปจากความจริง  ต่อมาอีก  3  วัน  ดำได้ไปถอนเงินและปิดบัญชีของตนโดยถอนเงินจากธนาคารไปทั้งหมด  30,000  บาท  และเอาเงินที่เกินไป  27,000  บาท  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ดำมีความผิดอาญาเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  352  ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น  หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย  เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอกต้องระวางโทษ…

ถ้าทรัพย์นั้นตกมาอยู่ในความครอบครองของผู้กระทำความผิดเพราะผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำคัญผิดไปด้วยประการใด  หรือเป็นทรัพย์สินหายซึ่งผู้กระทำความผิดเก็บได้  ผู้กระทำต้องระวางโทษแต่เพียงกึ่งหนึ่ง

วินิจฉัย

บทบัญญัติมาตรา  352  วรรคสอง  เป็นเหตุลดโทษให้แก่ผู้กระทำความผิดฐานยักยอกตามมาตรา  352  วรรคแรก  ถ้าทรัพย์ที่ผู้กระทำความผิดยักยอกนั้นตกมาอยู่ในความครอบครองของผู้กระทำความผิดเพราะผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำคัญผิดไปด้วยประการใด  หรือเป็นทรัพย์สินหาย  ซึ่งผู้กระทำความผิดเก็บได้แล้วยักยอกไว้  ผู้กระทำความผิดต้องรับโทษเพียงกึ่งหนึ่งของโทษตามมาตรา  352  วรรคแรก

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่ดำนำเงินไปฝากเพียง  1,000  บาท  แต่ธนาคารพิมพ์ในสมุดบัญชีเงินฝากของดำเป็นเงิน  30,000  บาท  และดำได้ไปถอนเงินและปิดบัญชีของตนโดยถอนเงินจากธนาคารไปทั้งหมด  30,000  บาท  ดังนี้  ดำย่อมทราบดีว่ามีการนำเงินเข้าบัญชีของตนโดยเป็นความผิดพลาดของธนาคาร  เพราะในขณะที่ดำฝากเงิน  ดำฝากไปเพียง  1,000  บาท  รวมกับเงินที่ดำมีอยู่ก่อนในบัญชี  2,000 บาท  คงรวมกันได้เพียง  3,000 บาท  หาใช่  30,000  บาทไม่  จึงเป็นกรณีที่ทรัพย์มาอยู่ในความครอบครองของดำโดยเป็นการที่ธนาคารสำคัญผิดส่งมอบให้  ดังนั้น  การที่ดำถอนเงินและปิดบัญชีของตนและเอาเงินที่เกิน  27,000  บาทไป  จึงเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์ดังกล่าวโดยทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย  อันเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ที่ผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำคัญผิด  ดำต้องรับโทษเพียงกึ่งหนึ่งตามมาตรา  352  วรรคสอง  (ฎ. 442/2540)

สรุป  ดำมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ที่ผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำคัญผิด  ดำต้องรับโทษเพียงกึ่งหนึ่งตามมาตรา  352  วรรคสอง

Advertisement