การสอบซ่อมภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2547
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001 กฎหมายอาญา 3
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ
ข้อ 1 นายท้อแท้รู้สึกผิดหวังในชีวิตอย่างมากต้องการฆ่าตัวตายจึงไปนอนขวางถนนเพื่อให้รถทับ นายบุญส่งขับรถบรรทุกมาตามถนนเห็นนายท้อแท้นอนอยู่บนถนนในระยะไกล แต่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นคนมานอนคิดว่าเป็นเศษกองผ้าจึงมิได้ลดความเร็วของรถ กว่าจะเห็นชัดว่าเป็นคนก็ไม่สามารถหยุดรถได้ทัน รถจึงทับนายท้อแท้ถึงแก่ความตาย ดังนี้ นายบุญส่งจะมีความผิดต่อชีวิตฐานใด หรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 291 ผู้ใดกระทำประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษ…
วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามมาตรา 291 ประกอบด้วย
1 กระทำด้วยประการใดๆ
2 การกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
3 โดยประมาท
นายท้อแท้ต้องการฆ่าตัวตายจึงไปนอนขวางถนนเพื่อให้รถทับ ปรากฏว่านายบุญส่งขับรถบรรทุกมาตามถนนเห็นนายท้อแท้นอนอยู่บนถนนจากระยะไกล กลับมิได้ลดความเร็วของรถ เป็นเหตุให้รถทับนายท้อแท้ถึงแก่ความตาย นายบุญส่งมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 291 แม้นายท้อแท้จะมีเจตนาฆ่าตนเอง แต่การที่นายบุญส่งเห็นแต่ไกลว่ามีสิ่งของกองอยู่ที่ถนนน่าจะลดความเร็วของรถลง อันเป็นการใช้ความระมัดระวังของคนขับรถทั่วไปที่จักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ แต่นายบุญส่งกลับขับรถไปทับนายท้อแท้ตาย นายบุญส่งจึงต้องรับผิด
สรุป นายบุญส่งมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามมาตรา 291
ข้อ 2 นายเสน่ห์กับ น.ส.อ้อยอายุ 17 ปี มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกันมาหลายปี วันเกิดเหตุนายเสน่ห์ได้รับตัว น.ส.อ้อยจากสถานศึกษาแห่งหนึ่งไปที่บ้านพักซึ่งนายเสน่ห์เช่าอยู่ด้วยเจตนาจะร่วมประเวณีกัน เมื่อไปถึงบ้านพักโดยยังไม่ได้ร่วมประเวณี บิดาของ น.ส.อ้อยก็ตามไปพบและพาตัว น.ส.อ้อยกลับบ้าน และหลังจากนั้นบิดาของ น.ส.อ้อยก็เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับนายเสน่ห์ ให้วินิจฉัยว่าการกระทำของนายเสน่ห์จะเป็นความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพฐานใดหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 319 วรรคแรก ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อหากำไร หรือเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย ต้องระวางโทษ…
วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ตามมาตรา 319 วรรคแรก ประกอบด้วย
1 พรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี
2 ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล
3 โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย
4 โดยเจตนา
5 เพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร
การพรากเด็กหรือผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล หมายถึง การพาไปหรือแยกผู้เยาว์ออกไปจากความปกครองดูแลของบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล ทำให้ความปกครองดูแลของบุคคลดังกล่าว ถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือน อันเป็นการล่วงอำนาจปกครองของบุคคลดังกล่าว
เมื่อผู้กระทำความผิดมีเจตนาพรากผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร ถือได้ว่าความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารสำเร็จนับแต่ผู้กระทำความผิดเริ่มพรากผู้เยาว์แล้ว แม้จำเลยจะยังไม่ได้กระทำการข่มขืนกระทำชำเราก็ตาม การที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราหลังจากนั้น จึงเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง
การที่นายเสน่ห์รับตัว น.ส.อ้อยอายุ 17 ปี ไปที่บ้านเช่าด้วยเจตนาจะร่วมประเวณี เป็นการพรากผู้เยาว์ อายุกว่า 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ตามมาตรา 319 วรรคแรก ถึงแม้นายเสน่ห์จะยังไม่ได้ร่วมประเวณีกับ น.ส.อ้อย แต่ก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว
สรุป การกระทำของนายเสน่ห์เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ตามมาตรา 319 วรรคแรก
ข้อ 3 สร้อยเพื่อนบ้านของแหวนเห็นแหวนเห่อรถจักรยานยนต์ใหม่ที่เพิ่งซื้อมามาก สร้อยจึงวางแผนแกล้งแหวนเพื่อหยอกล้อแหวนเล่น โดยนำตะปูเรือใบ 5 ตัวไปโรยปากซอยเข้าออกบ้านของแหวน ปรากฏว่ากำไลเพื่อนหญิงของแหวนขี่รถจักรยานยนต์มาหาแหวน เมื่อเลี้ยวเข้าซอยบ้านแหวนรถจักรยานยนต์ของกำไลจึงเหยียบตะปูที่สร้อยวางไว้ ขณะนั้นสร้อยซึ่งแอบดูอยู่เกิดความโลภอยากได้รถจักรยานยนต์ของกำไล จึงทำทีเข้าไปช่วยเหลือ และยินดีจะนำรถจักรยานยนต์ของกำไลไปปะยางที่ร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ให้กำไลรู้ว่าสร้อยเป็นเพื่อนบ้านของแหวน จึงให้รถจักรยานยนต์ของตนกับสร้อย เพื่อให้สร้อยนำไปปะยางตามที่สร้อยเสนอ เมื่อทางร้านฯ ปะยางรถจักรยานยนต์ของกำไลเสร็จแล้ว สร้อยกลับขี่รถจักรยานยนต์ดังกล่าวไปไว้ที่บ้านของญาติซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของตนประมาณ 10 กิโลเมตร โดยบอกกับญาติว่าเป็นของตนแล้วพรุ่งนี้ จะมารับคืน ดังนี้ ท่านคิดว่าสร้อยกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 80 ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด
ผู้ใดพยายามกระทำความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
มาตรา 334 ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ…
มาตรา 339 วรรคแรก ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ
(1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์ หรือการพาทรัพย์นั้นไป
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ ต้องระวางโทษ…
วินิจฉัย
การที่สร้อยนำตะปูเรือใบโรยไว้ที่ปากซอยเพื่อเจตนาแกล้งแหวนนั้น มิได้มีเจตนาที่จะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อสะดวกแก่การลักทรัพย์ แม้การกระทำของสร้อยจะเล็งเห็นผลได้ว่าจะทำให้จักรยานยนต์ของผู้อื่นเสียหายก็ตาม แต่ก็เป็นเจตนาเล็งเห็นผลที่ไม่ใช่เป็นการใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อสะดวกแก่การลักทรัพย์ จึงไม่ใช่ความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ ตามมาตรา 339 วรรคแรก ประกอบมาตรา 80 แต่การกระทำของสร้อยเป็นความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จแล้ว ตามมาตรา 334 เพราะสร้อยเกิดเจตนาทุจริตแสวงหาประโยชน์ในทรัพย์ของผู้อื่น โดยทำทีเข้าไปช่วยเหลือและจะนำรถไปปะยางที่ร้านซ่อม แม้กำไลจะส่งมอบการครอบครองรถจักรยานยนต์ของตนเพื่อให้สร้อยนำไปซ่อมก็ตาม ก็มิได้เกิดขึ้นจากความสมัครใจแต่เป็นการหลอกให้ส่งมอบการครอบครองเพื่อจะได้เอาทรัพย์นั้นไป จึงเป็นการแย่งการครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นโดยทุจริตนั่นเอง
สรุป สร้อยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ตามมาตรา 334
ข้อ 4 แสงทำสัญญาจะซื้อขายข้าวสารกับสว่าง 5 เกวียน ราคาเกวียนละ 5,000 บาท เป็นจำนวนเงิน 25,000 บาท โดยแสงได้วางเงินมัดจำให้แก่สว่างไว้แล้วเป็นจำนวนเงิน 10,000 บาท โดยขณะนั้นสว่างมีข้าวเปลือกที่ตากอยู่ที่ลานนวดข้าวอยู่ประมาณ 10 เกวียน ซึ่งพร้อมที่จะสีเป็นข้าวสาร โดยสว่างจะจัดส่งข้าวสารไปให้แสงที่บ้าน หลังจากนั้นมืดได้มาติดต่อซื้อข้าวเปลือกจากสว่าง 10 เกวียน โดยให้ราคาสูงกว่าท้องตลาดมาก เมื่อคำนวณแล้วสว่างจะได้ราคาจากมืดเป็นจำนวนเงินประมาณ 100,000 บาท สว่างจึงขายข้าวเปลือก ทั้งหมดของตนให้กับมืดไป สว่างจึงไม่มีข้าวเปลือกที่จะสีเพื่อจัดส่งให้กับแสง สว่างจึงโทรศัพท์ไปบอกกับแสงว่าไม่สามารถจัดส่งข้าวสารให้ได้ และไม่ยอมคืนเงินมัดจำให้แก่แสง ดังนี้ ท่านคิดว่าสว่างกระทำ
ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 341 ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงนั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามหรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำ ถอน หรือทำลาย เอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษ…
วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 ประกอบด้วย
1 หลอกลวงผู้อื่นด้วยการ
(ก) แสดงข้อความเป็นเท็จ หรือ
(ข) ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง
2 โดยการหลอกลวงนั้น
(ก) ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม
(ข) ทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ
3 โดยเจตนา
4 โดยทุจริต
การแสดงข้อความอันเป็นเท็จอันจะเป็นความผิดฐานฉ้อโกงนั้น จะต้องเป็นการแสดงข้อความเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในปัจจุบัน ซึ่งทำให้เห็นว่าผู้กระทำผิดมีเจตนาทุจริตมาแต่แรก ถ้าเป็นข้อตกลงตามสัญญาหรือคำรับรองว่าจะกระทำการใดในอนาคตแล้วไม่กระทำตามสัญญาหรือคำรับรอง ไม่ถือเป็นการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง คงเป็นการผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น
การที่สว่างทำสัญญาจะซื้อขายข้าวสารให้กับแสงนั้น ขณะนั้นข้าวเปลือกที่ตากอยู่ที่ลานนวดข้าวอยู่จริง ซึ่งสามารถส่งให้แสงได้ตามสัญญา แต่ปรากฏว่าภายหลังได้ขายข้าวเปลือกให้กับมืดไป และไม่สามารถจัดส่งได้ตามสัญญา ทั้งไม่ยอมคืนเงินมัดจำให้กับแสง กรณีเป็นเรื่องของการผิดสัญญาซื้อขายเท่านั้น เพราะการที่จะฟังว่าสว่างฉ้อโกงแสงหรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงจะต้องได้ความว่าสว่างมีเจตาทุจริตมาตั้งแต่แรก เมื่อไม่ปรากฏว่าขณะที่แสงทำสัญญาและวางมัดจำนั้น สว่างได้ขายข้าวเปลือกไปให้คนอื่นแล้วอันจะทำให้เห็นว่าสว่างมีเจตนาทุจริตหลอกลวงแสงมาตั้งแต่แรก จึงเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง ไม่มีมูลเป็นความผิดทางอาญา
สรุป การกระทำของสว่างไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง