การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2546
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001 กฎหมายอาญา 3
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ
ข้อ 1 ขณะที่นายเมฆขับขี่รถจักรยานยนต์เพื่อออกกำลังกายบนถนนในสวนสาธารณะ ถูกสุนัขตัวโตท่าทางดุร้ายวิ่งไล่กวดจะกัดนายเมฆจนต้องความเร็วรถหนี ทำให้รถเสียหลักพุ่งชนนางมืดที่เดินข้ามถนนล้มลงศีรษะกระแทกพื้นจนตาบอด ดังนี้ นายเมฆจะมีความผิดต่อร่างกายฐานใดหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 297 อันตรายสาหัสนั้น คือ
(1) ตาบอด หูหนวก ลิ้นขาด หรือเสียฆานประสาท
มาตรา 300 ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสต้องระวางโทษ
วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ตามมาตรา 300 ประกอบด้วย
1 กระทำด้วยประการใดๆ
2 การกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส
3 โดยประมาท
นายเมฆขับขี่รถจักรยานในถนนสาธารณะ ถูกสุนัขตัวโตท่าทางดุร้ายวิ่งไล่กวดจะกัดนายเมฆจนต้องเร่งความเร็วหนี ย่อมเป็นพฤติการณ์ที่นายเมฆไม่อาจใช้ความระมัดระวังในการขับขี่รถจักรยานเหมือนวิสัยของคนทั่วๆไปได้ เพราะนายเมฆถูกสุนัขวิ่งไล่จะกัด ดังนั้นเมื่อรถจักรยานของนายเมฆพุ่งชนนางมืดที่เดินข้ามถนน เป็นผลให้นางมืดตาบอด นายเมฆก็ไม่ต้องรับผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ตามมาตรา 300 แต่อย่างใด
สรุป นายเมฆไม่มีความผิดต่อร่างกาย
ข้อ 2 ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่งนายพุธซึ่งเป็นโจทก์ได้แต่งตั้งให้นายอาทิตย์เป็นทนายความ คดีนั้นศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้นายพุธแพ้คดี นายพุธไม่พอใจในการทำหน้าที่ทนายความของนายอาทิตย์ วันเกิดเหตุ ขณะที่นายอาทิตย์กำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่กับเพื่อนอีกหลายคน นายพุธได้เดินเข้าไปหานายอาทิตย์และชี้หน้านายอาทิตย์พร้อมกับพูดด้วยเสียงอันดังว่า “ทนายกระจอก เฮงซวย ว่าความตอนแรกดีแต่ตอนท้ายกลายเป็นนกสองหัว เหยียบเรือสองแคม” แล้วก็เดินจากไป ต่อมานายอาทิตย์ได้ฟ้องนายพุธว่ากระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ให้วินิจฉัยว่าการกระทำของนายพุธเป็นความผิดตามฟ้อองหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 326 ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษ…
วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามมาตรา 326 ประกอบด้วย
1 ใส่ความผู้อื่น
2 ต่อบุคคลที่สาม
3 โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง
4 โดยเจตนา
คำว่า “ใส่ความ” ตามนัยมาตรา 326 หมายความว่า พูดหาเหตุร้าย หรือกล่าวหาเรื่องร้ายให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย โดยเป็นการยืนยันข้อเท็จจริง ซึ่งกระทำต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ดังนั้นข้อความที่เป็นถ้อยคำเปรียบเทียบที่ไม่สุภาพหรือเหยียดหยามให้อับอาย ยังไม่ถือว่าเป็นการกล่าวหาเรื่องร้ายอันเป็นการใส่ความ
การที่นายพุธได้เดินเข้าไปหานายอาทิตย์และชี้หน้านายอาทิตย์พร้อมกับพูดด้วยเสียงอันดังว่า “ทนายกระจอก เฮงซวย” ซึ่งตามพฤติการณ์เป็นการกล่าวต่อหน้านายอาทิตย์และเพื่อนของนายอาทิตย์อีกหลายคน แต่ข้อความดังกล่าวเป็นเพียงการดูหมิ่นเหยียดหยามให้อับอายเจ็บใจ ยังไม่ถือว่าเป็นการใส่ความให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ไม่เป็นการหมิ่นประมาท ตามนัยมาตรา 326
แต่อย่างไรก็ดีคำกล่าวที่ว่า “ว่าความตอนแรกดีแต่ตอนท้ายกลายเป็นนกสองหัว เหยียบเรือสองแคม” ถึงแม้นายพุธจะพูดต่อหน้านายอาทิตย์โดยตรง แต่ก็พูดด้วยเสียงอันดัง ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าเพื่อนของนายอาทิตย์จะทราบข้อความนั้นได้ จึงเป็นการใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามแล้ว และข้อความนั้นก็น่าจะทำให้นายอาทิตย์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชังได้ จึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามมาตรา 326
สรุป นายพุธมีความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามมาตรา 326
ข้อ 3 แดงและขาวเป็นเพื่อนกันวันหนึ่งขาวได้ซื้อนาฬิกาข้อมือใหม่มาเรือนหนึ่ง แดงเห็นนาฬิกาใหม่ของขาวแดงอยากได้นาฬิกาเรือนนี้มาเป็นของตน จึงมีเหตุการณ์เกิดขึ้นว่าขณะที่ขาวนอนหลับสนิทอยู่นั้นแดงได้ค่อยๆถอดนาฬิกาที่ข้อมือของขาวโดยที่ไม่ต้องการให้ขาวรู้สึกตัวเลย เมื่อแดงดึงนาฬิกาพ้นจากมือของขาวมาอยู่ในมือของแดงแล้วด้วยความตื่นเต้นและกลังว่าขาวจะตื่นขึ้นมา แดงได้ทำนาฬิกาตกตรงพื้นบริเวณที่ขาวกำลังหลับอยู่ ขาวรู้สึกตัวเพราะได้ยินของตกลงพื้นขาวจึงหยิบนาฬิกาเรือนนั้นมาใส่ตามเดิม ดังนี้การกระทำของแดงมีความผิดอาญาเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่ เพียงใด
ธงคำตอบ
มาตรา 334 ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ…
วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ ตามมาตรา 334 ประกอบด้วย
1 เอาไป
2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย
3 โดยเจตนา
4 โดยทุจริต
คำว่า “เอาไป” หมายความว่า เอาไปจากการครอบครองของผู้อื่นจะด้วยวิธีการใดก็ได้ แต่ต้องเป็นการทำให้ทรัพย์นั้นเคลื่อนที่ไปจากเดิมในลักษณะที่จะพาเอาไปได้ ทั้งนี้เพื่อแย่งการครอบครองหรือตัดสิทธิของเจ้าของทรัพย์ มิใช่เป็นการเอาไปชั่วคราว
ดังนั้น ความผิดฐานลักทรัพย์เป็นความผิดสำเร็จทันทีที่ทรัพย์เคลื่อนที่ไป
แดงมีเจตนาทุจริตอยากได้นาฬิกาข้อมือของขาวมาเป็นของตน จึงได้ถอดนาฬิกาเรือนนั้นออกจากข้อมือของขาวโดยไม่ได้ต้องการให้ขาวรู้สึกตัว เมื่อแดงดึงนาฬิกาพ้นจากมือของขาว ถือว่าแดงได้มีการเอาไปซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นแล้ว เพราะทรัพย์ได้เคลื่อนที่จากอำนาจการครอบครองของขาว ไปสู่อำนาจการครอบครองของแดงแล้วจึงเป็นความผิดสำเร็จตามมาตรา 334 แล้ว และเมื่อเป็นความผิดสำเร็จแล้ว แม้ต่อมาแดงจะทำนาฬิกาตกพื้น และขาวได้หยิบนาฬิกาเรือนนั้นมาใส่ตามเดิม ก็ไม่มีผลทำให้ความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จกลายมาเป็น
ความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ได้ แดงจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334
อนึ่ง การที่แดงเจตนาลักทรัพย์ในขณะที่ขาวหลับสนิทอยู่ ขาวมิได้เห็นหรือรู้สึกถึงการลักทรัพย์ไม่ถือเป็นการลักทรัพย์ที่ฉกฉวยเอาซึ่งหน้าแต่อย่างใด เพราะการฉกฉวยเอาซึ่งหน้า หมายถึง กิริยาอาการที่หยิบหรือจับเอาทรัพย์ไปโดยเร็ว ซึ่งทรัพย์ที่ฉกฉวยอยู่กับหรือใกล้ชิดกับตัวผู้ครอบครองหรือผู้ครอบครองแทน และขณะที่ถูกฉกฉวยผู้นั้นรู้สึกตัวหรือเห็นการฉกฉวยเอาทรัพย์นั้นไปด้วย ดังนั้นถ้ามีการฉกฉวยเอาทรัพย์ไปโดยเร็วในขณะที่เจ้าทรัพย์กำลังนอนหลับอยู่ หรือผู้ครอบครองกำลังหลับอยู่จึงไม่น่าจะเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ แดงจึงไม่มีความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์
สรุป แดงมีความผิดฐานลักทรัพย์ ตามมาตรา 334
ข้อ 4 สมศรีไปซื้อของในร้านนายเหมือนในราคา 56 บาท โดยส่งธนบัตรใบละ 1,000 บาทให้นายเหมือนรับเงินมาแล้วรีบซุกธนบัตรใบละ 1,000 บาท นั้นไว้ใต้ลิ้นชักเก็บเงิน แล้วทอนเงินให้สมศรีเพียง 44 บาท สมศรีทวงเงินทอนที่ขาดอีก 900 แต่นายเหมือนไม่ยอมให้ อ้างว่าสมศรีชำระเงินค่าของเพียง 100 บาท พร้อมทั้งหยิบธนบัตรใบละ 100 บาท ในลิ้นชักเก็บเงินส่งให้ดู สมศรีจึงไปแจ้งความเพื่อดำเนินคดีอาญากับนายเหมือน ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่านายเหมือนจะมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใดหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 334 ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ…
วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ ตามมาตรา 334 ประกอบด้วย
1 เอาไป
2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย
3 โดยเจตนา
4 โดยทุจริต
สมศรีส่งธนบัตรใบละ 1,000 บาท เพื่อชำระค่าสินค้าเป็นเงิน 56 บาท แก่นายเหมือน ถือได้ว่าสมศรีได้มอบการครอบครองธนบัตรใบละ 1,000 บาท ดังกล่าวแก่นายเหมือนแล้ว เพราะผู้ที่ชำระหนี้ต้องการเงินทอนในจำนวนที่ขาดอยู่เท่านั้น เงินที่ส่งมอบให้นั้นเท่ากับเป็นการโอนการครอบครองรวมทั้งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในเงินนั้นไปเลย นายเหมือนจึงเป็นเจ้าของธนบัตรใบละ 1,000 บาทดังกล่าว ดังนั้นการที่นายเหมือนรีบซุกธนบัตรใบละ 1,000 บาทดังกล่าวไว้ในลิ้นชัก และทอนให้สมศรีเพียง 44 บาท อ้างว่าสมศรีชำระเงินค่าสินค้าเพียง 100 บาท พร้อมทั้งหยิบธนบัตรใบละ 100 บาท ในลิ้นชักมาให้ดูด้วยนั้น แม้จะเป็นเจตนาทุจริตของนายเหมือนที่จะไม่ทอนเงินแก่สมศรีให้ครบตามความจริง โดยเจตนาที่จะเอาเงินที่เหลือจำนวน 900 บาทเป็นของตนอันเป็นการแสวงหาประโยชน์มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย แต่เจตนาทุจริตดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากที่ธนบัตรใบละ 1,000 บาทอยู่ในความครอบครองของนายเหมือนหรือนายเหมือนเป็นเจ้าของแล้ว จึงไม่มีการแย่งการครอบครองจากสมศรี ไม่เป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต ไม่อาจเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ได้ ด้วยเหตุผลที่ว่า “ลักทรัพย์ของตนเองนั้นหาอาจมีได้ไม่”
นอกจากนี้นายเหมือนยังไม่มีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ตามมาตรา 352 ด้วย เพราะการจะเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์นั้น จะต้องเป็นการมอบการครอบครองทรัพย์ให้ผ๔กระทำผิด และผู้กระทำผิดนั้นเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนโดยทุจริต แต่กรณีตามอุทาหรณ์เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในธนบัตรใบละ 1,000 บาท ให้นายเหมือนไปเลย มิใช่เพียงแต่มอบการครอบครองเท่านั้น นอกจากนี้จะเห็นได้ว่าเงินทอนอีก 944 บาทยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของนายเหมือน ดังนั้นการที่นายเหมือนไม่ทอนเงินตามจำนวนที่แท้จริง จึงไม่เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ เพราะกรรมสิทธิ์ในธนบัตรได้โอนไปยังนายเหมือนแล้วนั่นเอง
อย่างไรก็ดีนายเหมือนก็ไม่มีความผิดฐานฉ้อโกงด้วย เพราะไม่ได้มีการแสดงเจตนาข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งโดยมีเจตนาหลอกลวงตั้งแต่แรก กรณีดังกล่าวจึงเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น
สรุป นายเหมือนไม่มีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์