ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001 กฎหมายอาญา 3
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ
ข้อ 1 เอกและโทถูกชิงชัยหัวหน้างานตำหนิติเตียนต่อหน้าคนอื่นรู้สึกอับอายและโกรธเคืองอย่างมาก จึงชักชวนกันไปดักชกต่อยชิงชัย เอกชกชิงชัยปากแตก โทจะเข้าไปชกซ้ำแต่ถูกชิงชัยปัดป้องและชกสวนกลับมาทำให้โทโกรธจึงชักมีดคัตเตอร์ออกมาฟันไปที่ข้อมือชิงชัย ใบมีดตัดเส้นเลือดใหญ่ขาดชิงชัยถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา ดังนี้ให้วินิจฉัยความผิดอาญาของเอก
ธงคำตอบ
มาตรา 83 ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
มาตรา 290 วรรคแรก ผู้ใดมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษ
องค์ประกอบความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนา ตามมาตรา 290 วรรคแรก ประกอบด้วย
1 ทำร้ายผู้อื่น
2 เป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายถึงแก่ความตาย
3 โดยเจตนา
เอกชกชิงชัยปากแตก โทจะเข้าไปชกซ้ำแต่ถูกชิงชัยปัดป้องและชกสวนกลับมา ทำให้โทโกรธชักมีดคัตเตอร์ออกมาฟันไปที่ข้อมือของชิงชัย ดังนี้จะเห็นว่าโทมีเจตนาทำร้ายร่างกายชิงชัยมิได้มีเจตนาฆ่า เมื่อชิงชัยถึงแก่ความตาย โทจึงมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ตามมาตรา 290 วรรคแรก
ส่วนเอกที่ชกชิงชัยปากแตก เป็นการร่วมกันกระทำความผิดตามที่ได้ตกลงกันและอยู่ในที่เกิดเหตุในลักษณะที่พร้อมจะช่วยเหลือโทได้ทันท่วงที แม้ในการร่วมกระทำผิดนั้น เอกจะมีเจตนาเพียงชกชิงชัยผู้ตายมิได้มีเจตนาให้ผู้ตายได้รับอันตรายสาหัสหรือถึงตาย เมื่อโทได้ใช้มีดคัตเตอร์ฟันข้อมือชิงชัยจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำได้ถึงแก่ความตาย ไม่ว่าเอกจะทราบว่าโทมีอาวุธมีดติดตัวหรือไม่ก็ตาม และแม้ไม่ได้ร่วมใช้อาวุธมีดทำร้ายชิงชัยด้วยเอกก็ต้องรับผิดฐานเป็นตัวการร่วมทำร้ายชิงชัยผู้ตายเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ตามมาตรา 290 วรรคแรกประกอบมาตรา 83 จะถือว่าเป็นเรื่องต่างคนต่างทำไม่ได้ ความตายที่เกิดขึ้น ถือได้ว่าเป็นผลจากการกระทำของผู้ร่วมกระทำผิดทุกคน
สรุป เอกเป็นตัวการร่วมในความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ตามมาตรา 290 วรรคแรกประกอบมาตรา 83
ข้อ 2 นายสิงห์ให้นายเบี้ยวกู้ยืมเงิน 20,000 บาท แต่ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือ เมื่อหนี้ถึงกำหนดนายเบี้ยวไม่ยอมชำระหนี้และพูดจาท้าทายให้นายสิงห์ไปฟ้องร้องเอา วันหนึ่งนายสิงห์ไปจับตัวเด็กชายแบงค์อายุ 7 ปี บุตรของนายเบี้ยวไป โดยนำเด็กชายแบงค์ไปฝากไว้กับพี่สาวของนายสิงห์ หลังจากนั้นนายสิงห์ไปขู่เข็ญให้นายเบี้ยวชำระหนี้ตามจำนวนเงินที่กู้ยืม ถ้านายเบี้ยวไม่ยอมก็จะไม่ได้เห็นหน้าเด็กชายแบงค์อีกเลย นายเบี้ยวยังไม่ได้มอบเงินให้แก่นายสิงห์ นายสิงห์ก็ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมตัวไว้ได้เสียก่อน ดังนี้ให้วินิจฉัยว่านายสิงห์จะมีความผิดฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 80 ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด
ผู้ใดพยายามกระทำความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
มาตรา 309 วรรคแรก ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้นต้องระวางโทษ…
มาตรา 313 ผู้ใดเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่
(1) เอาตัวเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไป
ต้องระวางโทษ…
มาตรา 317 วรรคแรก ผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันสมควร พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล ต้องระวางโทษ
วินิจฉัย
นายสิงห์มีเจตนาขู่เข็ญให้นายเบี้ยวนำเงินมาชำระแก่ตน และได้ลงมือกระทำโดยการแจ้งข่าวไปแล้ว แต่การกระทำยังไม่บรรลุผลเพราะยังไม่มีการปฏิบัติตามคำขู่ การกระทำของนายสิงห์จึงเป็นการพยายามข่มขืนใจผู้อื่น แม้ว่าจะเป็นการข่มขืนใจเพื่อให้ได้รับชำระหนี้ที่ตนมีอยู่ นายสิงห์ก็ไม่มีอำนาจกระทำได้ นายสิงห์จึงมีความผิดฐานพยายามกระทำผิดต่อเสรีภาพ ตามมาตรา 309 ประกอบมาตรา 80
การที่นายสิงห์เอาตัวเด็กชายแบงค์บุตรของนายเบี้ยวไปจากนายเบี้ยว มีการพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปจากนายเบี้ยวโดยมีเจตนาและปราศจากเหตุอันสมควร จึงเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ตามมาตรา 317 วรรคแรก
โดยที่นายสิงห์มีสิทธิในเงินจำนวนดังกล่าว ดังนั้นเจตนาของนายสิงห์เป็นเพียงแต่จะทวงเอาเงินซึ่งนายสิงห์เชื่อว่าควรจะได้ เงินประเภทนี้จึงไม่ใช่สินไถ่หรือค่าไถ่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 การกระทำของนายสิงห์จึงไม่ใช่เป็นการเอาตัวเด็กไปเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ อันเป็นองค์ประกอบความผิดประการสำคัญตามมาตรานี้ นายสิงห์จึงไม่มีความผิดตามมาตรา 313
สรุป นายสิงห์มีความผิดฐานพยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดๆ ตามมาตรา 309 ประกอบมาตรา 80 และความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุไม่เกิน 15 ปี ไปฯ ตามมาตรา 317 วรรคแรก
ข้อ 3 นายหนึ่งและนายสองเป็นลูกจ้างของบริษัทไทยเจริญ โดยนายหนึ่งมีหน้าที่ขับรถส่งของส่วนนายสองมีหน้าที่ขนของ วันเกิดเหตุผู้จัดการบริษัทไทยเจริญใช้ให้นายหนึ่งและนายสองขับรถไปส่งท่อแก๊สให้กับลูกค้า ระหว่างทางนายหนึ่งและนายสองช่วยกันขนท่อแก๊สไปวางกองไว้ริมถนนเพื่อจะขายให้แก่ผู้อื่น ผู้จัดการบริษัทไทยเจริญทราบเรื่องจึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดังนี้ นายหนึ่งและนายสองมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 334 ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ
มาตรา 335 ผู้ใดลักทรัพย์
(7) โดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป
(11) ที่เป็นนายจ้างหรือที่อยู่ในความครอบครองของนายจ้าง
ต้องระวางโทษ…
วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ ตามมาตรา 334 ประกอบด้วย
1 เอาไป
2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย
3 โดยเจตนา
4 โดยทุจริต
การที่ผู้จัดการบริษัทไทยเจริญ ใช้ให้นายหนึ่งและนายสองขับรถไปส่งท่อแก๊สให้กับลูกค้า ระหว่างทางนายหนึ่งและนายสองช่วยกันขนท่อแก๊สไปวางกองไว้ริมถนนเพื่อจะขายให้แก่ผู้อื่น ถือได้ว่าเป็นการเอาไปซึ่งการครอบครองของผู้อื่น เพราะการครอบครองทรัพย์โดยแท้จริงคือท่อแก๊สยังคงอยู่ที่บริษัทไทยเจริญ นายหนึ่งและนายสองเป็นเพียงการครอบครองแทนไว้ชั่วคราวชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น การที่นายหนึ่งและนายสองขนท่อแก๊สไปวางกองไว้ริมถนนจึงเป็นการเคลื่อนย้ายทรัพย์เพื่อให้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะขายให้แก่บุคคลอื่น เป็นการกระทำโดยทุจริต กล่าวคือเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ถือได้ว่าเป็นการแบ่งแย่งการครอบครองทรัพย์ไปจากผู้เสียหายแล้ว การกระทำของนายหนึ่งและนายสองจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ ตามมาตรา 334
เมื่อการลักทรัพย์ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป และเป็นการลักทรัพย์ของนายจ้าง ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้น ตามมาตรา 335(7) (11)
สรุป นายหนึ่งและนายสองมีความผิดฐานลักทรัพย์
ข้อ 4 นาย ก ไปซื้อของที่ตลาด ขณะกำลังเดินอยู่ในตลาด นาย ก ใช้มือข้างหนึ่งปิดบริเวณลำคอไว้จำเลยเดินตรงเข้าไปหานาย ก จากนั้นจำเลยใช้มือซ้ายดึงมือของนาย ก ออกจากบริเวณลำคอ จำเลยใช้มือขวาจับสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท ที่นาย ก สวมอยู่ กระชากจนสร้อยคอขาดออกจากกัน แล้วจำเลยก็วิ่งหนีไปพร้อมกับสร้อยคอของนาย ก ดังนี้ จำเลยมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 339 วรรคแรก ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ
(1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์ หรือการพาทรัพย์นั้นไป
(2) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น
(3) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้
(4) ปกปิดการกระทำความผิดนั้น หรือ
(5) ให้พ้นจากการจับกุม
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์
วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานชิงทรัพย์ ตามมาตรา 339 วรรคแรก ประกอบด้วย
1 ลักทรัพย์
2 โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย
3 โดยเจตนา
4 เจตนาพิเศษ เพื่อ
(1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์ หรือพาทรัพย์นั้นไป
(2) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น
(3) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้
(4) ปกปิดการกระทำความผิดนั้น หรือ
(5) ให้พ้นจากการจับกุม
การที่จำเลยใช้มือซ้ายดึงมือของนาย ก ออกจากบริเวณลำคอของนาย ก จากนั้นจำเลยใช้มือขวาจับสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท ที่นาย ก สวมอยู่ กระชากจนสร้อยขาดออกจากกัน เป็นการกระทำแก่เนื้อตัวหรือร่างกายของนาย ก จึงเป็นการใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือพาทรัพย์ไป และยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ ตามมาตรา 339
สรุป จำเลยมีความผิดฐานชิงทรัพย์