ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001 กฎหมายอาญา 3
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ
ข้อ 1 เอกต้องการฆ่าโทได้เอาระเบิดเวลาผูกติดใต้ท้องรถยนต์ของโท แต่ระเบิดทำงานก่อนเวลาที่โทจะเข้าไปขับรถ โทปลอดภัย แต่แรงระเบิดทำให้สดศรีซึ่งบังเอิญเดินผ่านมาได้รับอันตรายสาหัส ดังนี้ เอกจะต้องรับผิดทางอาญาต่อสดศรีอย่างไร
มาตรา 60 ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น
มาตรา 80 ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด
ผู้ใดพยายามกระทำความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
มาตรา 288 ผู้ใดฆ่าผู้อื่น ต้องระวางโทษ
วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา ตามมาตรา 288 ประกอบด้วย
1 ฆ่า
2 ผู้อื่น
3 โดยเจตนา
“ฆ่า” หมายความว่า การกระทำอันเป็นเหตุให้คนตาย ซึ่งการฆ่าเป็นการกระทำและไม่จำกัดวิธีของการกระทำ เช่น กดน้ำให้สำลักน้ำตาย ใช้ยาพิษ หรือใช้อาวุธต่างๆ เช่น ปืน มีด ขวาน ระเบิด ฯลฯ จะเป็นการกระทำโดยตรงหรือโดยอ้อมก็ได้ แต่ความผิดตามมาตรา 288 จะต้องมีผลของการกระทำ คือ ความตายเกิดขึ้นจึงจะเป็นความผิดสำเร็จ
การที่เอกเอาระเบิดเวลาผูกติดใต้ท้องรถยนต์ของโทนั้น ถือได้ว่าเอกมีเจตนาฆ่าโดยประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผล เพราะระเบิด เป็นอาวุธที่มีอานุภาพความรุนแรงมากกว่าอาวุธอื่นใดซึ่งถือเป็นวัตถุอันตรายร้ายแรง การใช้อาวุธชนิดนี้ในการกระทำความผิด ย่อมแสดงให้เห็นว่าผู้กระทำความผิดเจตนาโดยประสงค์หรือย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า ผู้ถูกกระทำต้องได้รับอันตรายถึงชีวิต เมื่อเอกได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่ระเบิดทำงานก่อนเวลา โทปลอดภัย แต่แรงระเบิดทำให้สดศรีได้รับอันตรายสาหัส ดังนั้นเอกจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าสดศรีเป็นเจตนาโดยพลาด ตามมาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 และมาตรา 60 เนื่องจากเอกมีเจตนาฆ่าโทแต่ผลไปเกิดกับสดศรี จึงถือว่าเอกมีเจตนาฆ่าสดศรีด้วย เมื่อสดศรีไม่ตายเพียงได้รับอันตรายสาหัส จึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า
สรุป เอกมีความผิดฐานพยายามฆ่าสดศรี ตามมาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 และมาตรา 60
ข้อ 2 นายเอกจับตัวนายโทไปเพื่อเรียกค่าไถ่ นายเอกได้คุมขังนายโทไว้ที่ห้องพักแห่งหนึ่ง ส่วนตัวนายเอกก็เข้าไปในตลาดเพื่อหาซื้ออาหารและโทรศัพท์ติดต่อญาติของนายโท นายเอกถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมตัวโดยที่ยังไม่ได้เรียกค่าไถ่ หลังจากนั้นนายเอกได้พาเจ้าพนักงานตำรวจไปปล่อยตัวนายโท โดยนายโทไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด
จากข้อเท็จจริงดังกล่าว ถ้าต่อมานายเอกถูกฟ้องว่ากระทำความผิดฐานเอาตัวคนไปเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ให้วินิจฉัยว่านายเอกจะมีความผิดตามที่ถูกฟ้องหรือไม่ และต้องรับโทษอย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 313 วรรคแรก ผู้ใดเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่
(3) หน่วงเหนี่ยวกักขังบุคคลใด
ต้องระวางโทษ…
มาตรา 316 ถ้าผู้กระทำความผิดตามมาตรา 313 มาตรา 314 หรือมาตรา 315 จัดให้ผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขังได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา โดยผู้นั้นมิได้รับอันตรายสาหัสหรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต ให้ลงโทษน้อยกว่ากฎหมายกำหนดไว้ แต่ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง
วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานเอาตัวบุคคลไปหน่วงเหนี่ยวกักขังเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ ตามมาตรา 313 วรรคแรก (3) ประกอบด้วย
1 หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้ใด
2 โดยเจตนา
3 เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่
นายเอกจับตัวนายโทไปโดยมีเจตนาเพื่อเรียกค่าไถ่ ถึงแม้จะยังไม่ได้เรียกค่าไถ่เนื่องจากถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมตัวได้ก่อน ก็เป็นความผิดสำเร็จตามมาตรา 313 วรรคแรก (3) เพราะการกระทำครบองค์ประกอบความผิดดังกล่าวข้างต้นแล้ว
ส่วนการที่นายเอกพาเจ้าพนักงานตำรวจไปปล่อยตัวนายโท และนายโทก็ไม่ได้อันตรายแต่อย่างใดเห็นได้ว่าเป็นการจัดให้ผู้ถูกเอาตัวไปได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา โดยผู้นั้นมิได้รับอันตรายสาหัสหรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต จึงเป็นเหตุลดโทษให้แต่ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งตามมาตรา 316
สรุป นายเอกจึงมีความผิดตามที่ถูกฟ้องตามมาตรา 313 แต่ลดโทษให้ตามมาตรา 316
ข้อ 3 นายแดงไปดูหนังที่โรงภาพยนตร์แห่งหนึ่ง ปรากฏว่าคนแน่นมาก นายแดงจึงส่งเงิน 300 บาทให้แก่จำเลยเพื่อให้จำเลยช่วยซื้อตั๋ว จำเลยรับมอบเงินจากนายแดงแล้วพาวิ่งหนีไปต่อหน้านายแดง ดังนี้จำเลยมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 334 ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ…
วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ ตามมาตรา 334 ประกอบด้วย
1 เอาไป
2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย
3 โดยเจตนา
4 โดยทุจริต
“เอาไป” หมายความว่า เอาไปจากการครอบครองของผู้อื่นจะด้วยวิธีการใดก็ได้ แต่ต้องเป็นการทำให้ทรัพย์นั้นเคลื่อนที่ไปจากเดิมในลักษณะที่จะพาเอาไปได้ ทั้งนี้เพื่อแย่งการครอบครองหรือตัดสิทธิของเจ้าของทรัพย์ มิใช่เป็นการเอาไปชั่วคราว
การกระทำของจำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ เพราะการที่นายแดงส่งเงิน 300 บาท ให้แก่จำเลยเพื่อให้จำเลยช่วยซื้อตั๋ว ถือได้ว่าเงินนั้นยังอยู่ในความครอบครองของนายแดงอยู่ นายแดงมิได้เจตนาสละการครอบครอง เมื่อจำเลยรับมอบเงินจากนายแดงแล้ววิ่งหนีไปต่อหน้านายแดง จึงเป็นการแย่งการครอบครองโดยพาเอาทรัพย์เคลื่อนที่ไปในลักษณะตัดกรรมสิทธิ์ โดยมีเจตนาทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ครบองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์แล้ว แต่อย่างไรก็ตามการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ เพราะไม่ได้ฉกฉวยเอาซึ่งหน้า
สรุป จำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์
ข้อ 4 นายหนึ่ง นายสอง นายสาม และนายสี่ไปที่บ้านของนาย ก เมื่อไปถึงนายหนึ่ง นายสอง นายสาม และนายสี่ ใช้เท้าเตะไปที่รั้วบ้านของนาย ก ซึ่งรั้วบ้านของนาย ก เป็นรั้วสังกะสี นาย ก ได้ยินเสียง จึงออกมาดู นายหนึ่งพูดกับนาย ก ขอเงิน 1,000 บาท นาย ก ตอบว่าไม่มี นายหนึ่ง นายสอง นายสาม และนายสี่ช่วยกันเตะรั้วจนสังกะสีหลุดออก 3 แผ่น นาย ก กลัวรั้วจะพังและกลัวจะถูกทำร้ายจึงยอมให้เงินนายหนึ่งไป 500 บาท นายหนึ่งรับเงินมาแล้วจึงพูดกับนาย ก ว่า “ทีหลังถ้ากูมาอยากได้อะไรให้ตามใจกูนะ” ดังนี้ นายหนึ่ง นายสอง นายสาม และนายสี่ มีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 340 ผู้ใดชิงทรัพย์ โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ ต้องระวางโทษ…
วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานปล้นทรัพย์ ตามมาตรา 339 วรรคแรก ประกอบด้วย
1 ชิงทรัพย์
2 โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป
3 โดยเจตนา
การขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์ ซึ่งเป็นการชิงทรัพย์อันจะเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์นั้นอาจขู่ตรงๆก็ได้ หรือใช้ถ้อยคำทำกิริยาหรือทำประการใดอันเป็นการแสดงให้ผู้ถูกขู่เข็ญเข้าใจได้ว่าจะได้รับภัยจากการกระทำของผู้ถูกขู่เข็ญก็ได้
วันเกิดเหตุนายหนึ่ง นายสอง นายสาม และนายสี่ไม่มีอาวุธติดตัว ได้เตะรั้วสังกะสีบ้านของนาย ก นาย ก ออกมาดู นายหนึ่งพูดขอเงิน 1,000 บาท นาย ก ตอบว่าไม่มี นายหนึ่งกับพวกชวนกันเตะรั้วสังกะสีรั้วหลุดออก 3 แผ่น นาย ก กลัวรั้วจะพังและกลัวนายหนึ่งกับพวกจะทำร้ายจึงให้เงินนายหนึ่งไป 500 บาท นายหนึ่งรับเงินแล้วพูดว่า “ทีหลังถ้ากูมา อยากได้อะไร ให้ตามใจกูนะ” แล้วนายหนึ่งกับพวกก็พากันไป เห็นว่า องค์ประกอบความผิดฐานปล้นทรัพย์ นอกจากลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายแล้ว ถ้ามีการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์ก็เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ได้ การขู่เข็ญอาจขู่ตรงๆ หรือใช้ถ้อยคำทำกิริยา หรือทำประการใดให้เข้าใจได้เช่นนั้น เป็นการแสดงให้ผู้ถูกขู่เข็ญเข้าใจได้ว่าได้รับภัยจากการกระทำของผู้ขู่เข็ญ
การใช้กำลังทำร้ายต่อทรัพย์สินไม่ใช่ใช้กำลังประทุษร้ายก็จริง แต่การกระทำเช่นนั้นอาจเป็นการขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายก็ได้ และการที่นายหนึ่งพูดขอเงินนาย ก นาย ก ไม่ให้ นายหนึ่งกับพวกกลับแสดงอาการขู่เข็ญหนักขึ้นโดยการเตะรั้วสักกะสีรั้วพัง เป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าเป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย ทำให้นาย ก มีความกลัวว่านายหนึ่งกับพวกจะใช้กำลังประทุษร้าย จึงต้องจำยอมให้เงินแก่นายหนึ่ง นายหนึ่งได้รับเงินแล้วยังพูดขู่เข็ญอีกว่า “ทีหลังถ้ากูมา อยากได้อะไรให้ตามใจกูนะ” คำพูดขู่เข็ญของนายหนึ่งดังกล่าว แม้ไม่ใช่ถ้อยคำขู่เข็ญตรงๆ ก็เข้าใจได้ว่าต่อไปถ้านายหนึ่งอยากได้อะไรแล้วนาย ก ต้องให้ ถ้าไม่ให้จะต้องถูกนายหนึ่งทำร้าย เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า นาย ก กับพวกของนายหนึ่งคุ้นเคยรักชอบกันอย่างไรที่จะขอเงินกันได้โดยสุจริต การกระทำของจำเลยดังกล่าวครบองค์ประกอบความผิดฐานปล้นทรัพย์แล้ว
สรุป นายหนึ่ง นายสอง นายสาม และนายสี่ มีความผิดฐานปล้นทรัพย์