การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2561
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ
ข้อ 1 จงอธิบายความหมายและลักษณะสําคัญของรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรและรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีพร้อมเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างรัฐธรรมนูญทั้ง 2 รูปแบบ
ธงคําตอบ
รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร หมายถึง รัฐธรรมนูญที่มีการจัดทําขึ้นในรูปแบบของเอกสารที่มีลักษณะเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน ซึ่งในปัจจุบันรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรถือเป็นรูปแบบของรัฐธรรมนูญ สมัยใหม่อันเป็นที่นิยมทั่วโลกโดยเฉพาะในบรรดาประเทศยุโรปภาคพื้นทวีป นับตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา และด้วยความที่รัฐธรรมนูญรูปแบบนี้ได้รับการจัดทําขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร ผลกระทบที่สําคัญต่อ ระบบกฎหมายก็คือความมั่นคงของบรรดาบทบัญญัติทั้งหลายที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญ
อนึ่ง นอกจากบทบัญญัติลายลักษณ์อักษรที่ปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญ ในระบบกฎหมายของ บางประเทศยังมีการออกแบบบทบัญญัติลายลักษณ์อักษรที่มิได้อยู่ในรูปของบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแต่มีเนื้อหา เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับรัฐธรรมนูญเป็นอย่างยิ่ง บทบัญญัติเหล่านี้เรียกว่า ต้นกําเนิดมาจากประเทศฝรั่งเศส แนวคิดว่าด้วยกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเริ่มมาจากเจตนาในการกําหนด
“กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ” ซึ่งมีรายละเอียดหรือขยายเนื้อความของรัฐธรรมนูญให้มีความชัดเจนแน่นอน เพื่อประโยชน์ในการบังคับการให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ เนื่องจากผู้ร่างไม่สามารถระบุบรรดารายละเอียดปลีกย่อยลงไปในรัฐธรรมนูญ ได้ทั้งหมด กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญจึงเปรียบเสมือนส่วนเติมเต็มของรัฐธรรมนูญ โดยทั่วไปกฎหมาย ประกอบรัฐธรรมนูญจะปรากฏอยู่ในรูปของรัฐบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (หรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
สําหรับประเทศที่เป็นราชอาณาจักร) ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีสถานะเหนือกว่ารัฐบัญญัติแต่ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ
อนึ่ง รัฐบัญญัติบางประเภทที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการจัดการหรือการดําเนินกิจการขององค์กรหลักของรัฐอาจถือว่าเป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญได้เช่นกัน แม้จะมิได้มีชื่อเรียกว่ารัฐบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญก็ตาม
รัฐธรรมนูญจารีตประเพณี (รัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร) หมายถึง รัฐธรรมนูญที่ไม่ได้มีการจัดทําขึ้นไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่เป็นบรรทัดฐานที่มาจากจารีตประเพณีในทางการเมืองการปกครอง ที่ก่อตัวและพัฒนาขึ้นอย่างยาวนานในประวัติศาสตร์ของแต่ละรัฐ ซึ่งรัฐที่มีระบบการเมืองการปกครองภายใต้ บรรทัดฐานเหล่านี้แต่มิได้สถาปนารัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรขึ้น ย่อมหมายความว่ารัฐดังกล่าว ปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญจารีตประเพณี
ในอดีตรัฐธรรมนูญทั้งหลายล้วนปรากฏตัวในรูปแบบของรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีทั้งสิ้น ซึ่ง รัฐธรรมนูญเหล่านี้ก่อตัวขึ้นโดยการรวบรวมจารีตประเพณีในทางการเมืองการปกครองเข้าด้วยกัน เช่น ในประเทศฝรั่งเศสก่อนการปฏิวัติในปี ค.ศ. 1789 การดําเนินงานของบรรดาสถาบันการเมืองทั้งหลายล้วนอยู่ภายใต้บรรทัดฐาน ต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้อยู่ในรูปของกฎหมายลายลักษณ์อักษร หากแต่ปรากฏตัวอยู่ในรูปแบบของบรรทัดฐานที่มีการปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลานานจนกระทั่งถึงจุดที่ผู้ปกครองยอมรับและจําเป็นต้องปฏิบัติตามโดยไม่อาจฝ่าฝืน รัฐธรรมนูญ จารีตประเพณีจึงเป็นผลผลิตแห่งบรรดาจารีตประเพณีในทางการเมืองการปกครอง ซึ่งในปัจจุบันรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่จะปรากฏตัวอยู่ในรูปแบบลายลักษณ์อักษร เหลือเพียงบางรัฐที่ยังคงปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญจารีตประเพณี เช่น ประเทศอังกฤษ และซาอุดิอาระเบีย เป็นต้น
รัฐธรรมนูญทั้ง 2 รูปแบบมีลักษณะที่สําคัญที่แตกต่างกัน ดังนี้คือ
1 เนื่องจากรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นจากข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระบบ การเมืองการปกครอง ข้อเท็จจริงในแต่ละเรื่องแต่ละปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละรัฐจึงนําไปสู่รัฐธรรมนูญจารีตประเพณีที่มีลักษณะแตกต่างกันตามความเหมาะสมของแต่ละประเทศ รัฐธรรมนูญจารีตประเพณีจึงไม่ได้เกิดขึ้นบนพื้นฐานของเจตจํานงที่จะก่อตั้งระบบการเมืองการปกครองที่ผ่านการออกแบบอย่างเป็นระบบแบบแผนมาตั้งแรกกลไกทางการเมืองต่าง ๆ ที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญจึงไม่ใช่กลไกที่ผ่านการวิเคราะห์ผลดีผลเสีย หรือผ่านการวางแผน ให้เกิดผลกระทบต่าง ๆ ในทางการเมืองมาแต่แรก กรณีจึงแตกต่างจากรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรสมัยใหม่ซึ่งผู้ร่างจะต้องทําการคิดวิเคราะห์ข้อมูลและผลกระทบทางการเมืองการปกครองให้ชัดเจนเสียก่อน
2 รัฐธรรมนูญจารีตประเพณีมักก่อให้เกิดปัญหาความไม่ชัดเจนในการใช้ตีความรัฐธรรมนูญรวมทั้งความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดความไม่ต่อเนื่องหรือทางตันในทางการเมือง ในกรณีที่เกิดปัญหาซึ่งไม่เคยเกิดขึ้น มาก่อนเลยในประวัติศาสตร์ของรัฐนั้น ๆ รัฐธรรมนูญจารีตประเพณีย่อมไม่อาจแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้โดยง่าย กรณีจึงแตกต่างจากรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรที่ได้ถูกออกแบบมาอย่างรอบคอบ ความเสี่ยงที่จะประสบกับ ปัญหาดังกล่าวย่อมมีน้อย หรืออาจไม่มีเลยก็ได้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรสมัยใหม่นั้น เปิดโอกาส ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้อยู่เสมอ
3 รัฐธรรมนูญจารีตประเพณีไม่มีความชอบธรรมในทางประชาธิปไตยในเชิงรูปแบบ เนื่องจากเป็นรัฐธรรมนูญที่ก่อตัวขึ้นจากทางปฏิบัติต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองซึ่งมักเป็นทางปฏิบัติที่อยู่ใน ความควบคุมของกษัตริย์หรือชนชั้นสูง ประชาชนจึงไม่มีส่วนร่วมใด ๆ ในการสถาปนารัฐธรรมนูญแม้แต่น้อย กรณีจึงแตกต่างจากรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรสมัยใหม่ซึ่งมักจะถูกสถาปนาขึ้นโดยความยินยอมของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอํานาจอธิปไตย
ข้อ 2 จงอธิบายรูปแบบการสถาปนารัฐธรรมนูญโดยจําแนกตามผู้ถืออํานาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิมและใช้ทฤษฎีดังกล่าวตอบคําถามจากข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้
ข้อเท็จจริง : รัฐ A ปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์โดยไม่มีรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร ต่อมาผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งราชอาณาจักร A ได้ทําการยึดอํานาจกษัตริย์ด้วยกําลังทหาร จากนั้นทั้ง 2 ฝ่ายได้เจรจาต่อรองกันจนสามารถตกลงกันได้ว่ากองทัพจะยอมให้กษัตริย์เป็นประมุข ของรัฐต่อไป และกษัตริย์จะยอมจัดทําและพระราชทานรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรเพื่อจํากัดอํานาจของตน
(1) จากข้อเท็จจริงข้างต้น รูปแบบการสถาปนารัฐธรรมนูญที่กษัตริย์แห่งราชอาณาจักร A พระราชทานคือรูปแบบใด
(2) หากท่านเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดตามข้อเท็จจริงข้างต้น และท่านต้องการให้รัฐธรรมนูญที่จะประกาศใช้มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยในแง่ของรูปแบบการสถาปนามากที่สุด ท่านจะแนะนํากษัตริย์แห่งราชอาณาจักร A อย่างไรในขณะที่ทําการเจรจาต่อรอง
ธงคําตอบ
อ้านาจในการก่อตั้งรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ทั้งฉบับนั้นเรียกว่า “อํานาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิม อํานาจดังกล่าวเป็นอํานาจที่ผู้สถาปนารัฐธรรมนูญนั้นมีอยู่แต่เดิมโดยไม่ได้รับมาจากผู้ใด และเนื่องจากเป็นอํานาจที่มิได้อยู่ภายใต้อาณัติของผู้อื่น อํานาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิมจึงเป็นอํานาจที่มีลักษณะไร้ขีดจํากัด กล่าวคือ ผู้สถาปนารัฐธรรมนูญไม่ถูกผูกพันว่าเนื้อหาของรัฐธรรมนูญจะต้องมีลักษณะเช่นไร หรือแม้แต่อยู่ภายใต้ กฎเกณฑ์อื่นใดในโลก
1 การสถาปนารัฐธรรมนูญในรูปแบบเผด็จการในรัฐที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการ เช่น ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ระบอบคณาธิปไตย เป็นต้น อํานาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิมย่อมอยู่ในมือของผู้ปกครองหรือคณะผู้ปกครองแต่เพียงผู้เดียว การจัดทํารัฐธรรมนูญจึงไม่มีกระบวนการที่เชื่อมโยงกับประชาชน แต่เป็นการจัดทําโดยผู้ปกครองฝ่ายเดียวและมอบให้แก่ผู้อยู่ใต้ปกครอง ผู้ปกครองจึงเป็นผู้กําหนดสถานะและอํานาจขององค์กรผู้ใช้อํานาจรัฐ ซึ่งย่อมหมายความรวมถึงสถานะและอํานาจของผู้ปกครองเองด้วย
การจัดทํารัฐธรรมนูญแบบเผด็จการในบางกรณีอาจนําไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยได้ หากเนื้อหาของรัฐธรรมนูญมีความเป็นประชาธิปไตย กล่าวคือ มีบทบัญญัติว่าด้วยการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเป็นสําคัญ แต่อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นได้ยากเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากผู้ปกครองที่มีอํานาจ เบ็ดเสร็จเด็ดขาดในมือย่อมไม่มีเจตนาที่จะสละอํานาจดังกล่าวให้กับประชาชนหากไม่ใช่กรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในโลกปัจจุบันยังคงปรากฏการจัดทํารัฐธรรมนูญแบบเผด็จการอยู่โดยเฉพาะในประเทศโลกที่สาม ซึ่งมักจะมีการทํารัฐประหารโดยกองทัพ โดยภายหลังการยึดอํานาจรัฐบาลประชาธิปไตยมักจะมีการฉีกรัฐธรรมนูญเดิม และจัดทํารัฐธรรมนูญใหม่โดยกองทัพหรือผู้ที่กองทัพแต่งตั้ง จากนั้นผู้ก่อการรัฐประหารมักประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ที่ตนเองจัดทําขึ้นใหม่ โดยไม่ผ่านกระบวนการทางประชาธิปไตยใด ๆ ทั้งสิ้น
2 การสถาปนารัฐธรรมนูญในรูปแบบผสม (กึ่งเผด็จการถึงประชาธิปไตย)
การจัดทํารัฐธรรมนูญแบบผสมเกิดขึ้นได้ในกรณีที่อํานาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิมอยู่ในมือ ของทั้งผู้ปกครองในระบอบเผด็จการและประชาชน กล่าวคือ เป็นรัฐธรรมนูญอันเป็นผลมาจากการต่อสู้หรือ ต่อรองกันระหว่างผู้ปกครองเดิม (กษัตริย์หรือผู้เผด็จการ) และประชาชน (ผู้แทนประชาชนหรือคณะปฏิวัติในนามของประชาชน) จนได้ข้อสรุปตกลงร่วมกัน
ในอดีตการจัดทํารัฐธรรมนูญแบบผสมมักเกิดขึ้นในกรณีที่มีการเปลี่ยนราชวงศ์หรือการก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ เช่น รัฐธรรมนูญฝรั่งเศสปี ค.ศ. 1830 เป็นต้น ส่วนในปัจจุบันการจัดทํารัฐธรรมนูญแบบผสม มักจะเป็นกรณีที่คณะรัฐประหารเสนอร่างรัฐธรรมนูญ (ที่มิได้มาจากการร่างโดยผู้แทนของประชาชน) ให้ประชาชนเป็นผู้รับรองผ่านกระบวนการประชามติ เช่น กรณีของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปี พ.ศ. 2550 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปี พ.ศ. 2560
3 การสถาปนารัฐธรรมนูญในรูปแบบประชาธิปไตย
ในรัฐที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย อํานาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิมย่อมเป็นของปวงชน กล่าวคือ ประชาชนหรือผู้แทนของประชาชนเท่านั้นที่จะเป็นผู้สถาปนารัฐธรรมนูญ การสถาปนารัฐธรรมนูญในรูปแบบ ประชาธิปไตยในปัจจุบันอาจแบ่งแยกได้เป็น 2 กระบวนการหลัก ได้แก่ การร่างรัฐธรรมนูญโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ และการรับรองร่างรัฐธรรมนูญโดยผ่านกระบวนการประชามติ
การสถาปนารัฐธรรมนูญในรูปแบบประชาธิปไตยสามารถกระทําได้ทั้งสิ้น 3 วิธีดังนี้
วิธีแรก ก่อตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญโดยจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อสภา ดังกล่าวร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จจึงนําร่างรัฐธรรมนูญไปเสนอให้ประชาชนรับรองโดยผ่านกระบวนการประชามติ
วิธีที่สอง ก่อตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญโดยจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อสภาดังกล่าวร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วให้ประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการประชามติอีก
วิธีที่สาม ฝ่ายบริหารซึ่งเข้าสู่ตําแหน่งด้วยวิธีการอันชอบด้วยระบอบประชาธิปไตย (ผ่านการ เลือกตั้งทั่วไปโดยชอบด้วยระบอบประชาธิปไตย) จัดทําร่างรัฐธรรมนูญขึ้น และเสนอร่างดังกล่าวให้ประชาชน เป็นผู้รับรองโดยผ่านกระบวนการประชามติ
จากข้อเท็จจริง การที่รัฐ A ปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์โดยไม่มีรัฐธรรมนูญ ลายลักษณ์อักษร ต่อมาผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งราชอาณาจักร A ได้ทําการยึดอํานาจกษัตริย์ด้วยกําลังทหาร จากนั้นทั้ง 2 ฝ่ายได้เจรจาต่อรองกันจนสามารถตกลงกันได้ว่ากองทัพจะยอมให้กษัตริย์เป็นประมุขของรัฐต่อไปและกษัตริย์จะยอมจัดทําและพระราชทานรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรเพื่อจํากัดอํานาจของตนนั้น
(1) รูปแบบการสถาปนารัฐธรรมนูญที่กษัตริย์แห่งราชอาณาจักร A พระราชทาน คือ รูปแบบ ของการสถาปนารัฐธรรมนูญในรูปแบบเผด็จการ เพราะเป็นรัฐธรรมนูญที่มีการจัดทําโดยผู้ปกครองฝ่ายเดียวและ มอบให้แก่ผู้อยู่ใต้ปกครอง
(2) หากข้าพเจ้าเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดและต้องการให้รัฐธรรมนูญที่จะประกาศใช้มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยในแง่ของรูปแบบการสถาปนามากที่สุด ข้าพเจ้าจะแนะนํากษัตริย์แห่งราชอาณาจักร A ว่าควรจะให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ และเมื่อสภาดังกล่าวได้ร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว ก็ให้นํา ร่างรัฐธรรมนูญนั้นไปเสนอให้ประชาชนรับรองโดยผ่านกระบวนการประชามติ
ข้อ 3 จงอธิบายกระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560
ธงคําตอบ
การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560ได้กําหนดกระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมไว้ในมาตรา 255 และมาตรา 256 ดังนี้
มาตรา 255 : การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ จะกระทํามิได้
มาตรา 256 : ภายใต้บังคับมาตรา 255 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้กระทําได้ตามหลักเกณฑ์ และวิธีการ ดังต่อไปนี้
(1) ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องมาจากคณะรัฐมนตรี หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวน ไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาจํานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา หรือจาก ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
(2) ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องเสนอเป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมต่อรัฐสภาและให้รัฐสภาพิจารณาเป็นสามวาระ
(3) การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการ ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนน โดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการแก้ไขเพิ่มเติมนั้น ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา ซึ่งในจํานวนนี้ต้องมีสมาชิกวุฒิสภาเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา
(4) การพิจารณาในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลําดับมาตรา โดยการออกเสียงในวาระที่สองนี้ ให้ถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ แต่ในกรณีที่เป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่ประชาชนเป็นผู้เสนอ ต้องเปิดโอกาสให้ผู้แทนของประชาชนที่เข้าชื่อกันได้แสดงความคิดเห็นด้วย
(5) เมื่อการพิจารณาวาระที่สองเสร็จสิ้นแล้ว ให้รอไว้สิบห้าวัน เมื่อพ้นกําหนดนี้แล้วให้รัฐสภาพิจารณาในวาระที่สามต่อไป
(6) การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สามขั้นสุดท้าย ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการที่จะให้ออกใช้เป็นรัฐธรรมนูญมากกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมด เท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา โดยในจํานวนนี้ต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคการเมืองที่สมาชิกมิได้ดํารง ตําแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของทุกพรรคการเมืองดังกล่าวรวมกัน และมีสมาชิกวุฒิสภาเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา
(7) เมื่อมีการลงมติเห็นชอบตาม (6) แล้ว ให้รอไว้สิบห้าวัน แล้วจึงนําร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย และให้นําความในมาตรา 81 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
(8) ในกรณีร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์ หรือหมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องที่เกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้าม ของผู้ดํารงตําแหน่งต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่หรืออํานาจของศาลหรือองค์กรอิสระ หรือเรื่องที่ทําให้ศาลหรือองค์กรอิสระไม่อาจปฏิบัติหน้าที่หรืออํานาจได้ ก่อนดําเนินการตาม (7) ให้จัดให้มีการออกเสียง ประชามติตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ถ้าผลการออกเสียงประชามติเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม จึงให้ดําเนินการตาม (7) ต่อไป
(9) ก่อนนายกรัฐมนตรีนําความกราบบังคมทูลเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยตาม (7) สมาชิก สภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกทั้งสองสภารวมกัน มีจํานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของสมาชิก ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา หรือของทั้งสองสภารวมกัน แล้วแต่กรณี มีสิทธิเข้าชื่อกันเสนอความเห็นต่อ ประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกหรือประธานรัฐสภา แล้วแต่กรณี ว่าร่างรัฐธรรมนูญตาม (7) ขัดต่อมาตรา 255 หรือมีลักษณะตาม (8) และให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับเรื่องดังกล่าวส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ และให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง ในระหว่างการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีจะนําร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยมิได้
ข้อ 4 ระบอบประชาธิปไตยโดยตรงและระบอบประชาธิปไตยถึงโดยตรงคืออะไร แตกต่างกันอย่างไร
ธงคําตอบ
ระบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนโดยตรง หรือระบอบประชาธิปไตยโดยตรง เป็นระบอบการเมืองในอุดมคติเนื่องจากเป็นการปกครองโดยประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอํานาจอธิปไตยเอง กล่าวคือ ประชาชนปกครองตนเองโดยตรงผ่านการมีส่วนร่วมของพลเมืองทุกคนโดยไม่จําเป็นต้องแสดงเจตจํานงผ่านผู้แทน หรือตัวแทนใด ๆ ทั้งสิ้น ระบบดังกล่าวสอดคล้องกับแนวคิดอํานาจอธิปไตยแห่งปวงชนของรุสโซ (Rousseau)
อาจกล่าวได้ว่าระบอบประชาธิปไตยโดยตรงเป็นระบอบที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตย สูงที่สุด อย่างไรก็ตาม ระบอบดังกล่าวมักปรากฏปัญหาในทางปฏิบัติเนื่องจากไม่สามารถปรับใช้ในรัฐที่มีจํานวน ประชากรมากได้ กล่าวคือ การจัดการประชุมสําหรับพลเมืองจํานวนมากจําเป็นต้องใช้พื้นที่ขนาดใหญ่
นอกจากนี้การให้รายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับญัตติการประชุมสําหรับคนจํานวนมาก การอภิปรายถกเถียงและแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นกันระหว่างพลเมืองจํานวนหลายแสนหรือนับล้านคน และการลงมติซึ่งจําเป็นต้องกระทําให้แล้วเสร็จ ภายในระยะเวลาที่กําหนดเพื่อมิให้จํานวนผู้เข้าร่วมประชุมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ประเด็นปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคที่สําคัญในทางปฏิบัติทั้งสิ้น รัฐส่วนใหญ่ในปัจจุบันจึงไม่อาจปกครองด้วยระบอบดังกล่าวได้
ระบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนถึงโดยตรง หรือระบอบประชาธิปไตยกึ่งโดยตรง เป็นระบบที่นําเอาลักษณะของระบอบประชาธิปไตยโดยตรงมาใส่ไว้ในระบอบประชาธิปไตยโดยผู้แทน กล่าวคือ สรุปผลจากข้อเสนอของผู้แทนได้โดยตรงเสมือนเป็นการแบ่งอํานาจหน้าที่บางส่วนระหว่างผู้แทนและพลเมือง
แม้พลเมืองไม่อาจทําหน้าที่ในการอภิปรายแลกเปลี่ยนความเห็นกันได้โดยตรง แต่ก็สามารถลงมติชี้ขาดเพื่อกระบวนการมีส่วนร่วมทางการเมืองของพลเมืองกึ่งโดยตรงที่สําคัญในปัจจุบันปรากฏอยู่ 2 รูปแบบ ได้แก่
1 การคัดค้านร่างกฎหมายโดยประชาชน ในบางประเทศประชาชนสามารถคัดค้านร่างกฎหมาย ที่ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติและอยู่ระหว่างการนําไปประกาศใช้ได้ รัฐธรรมนูญในรัฐที่ประชาชนมีอํานาจดังกล่าว จะต้องกําหนดไว้อย่างชัดเจนว่าการประกาศใช้กฎหมายจะต้องมีการเว้นช่วงเวลาไว้ระยะหนึ่ง เพื่อให้ประชาชน ร่างกฎหมายดังกล่าวมีโอกาสโต้แย้งร่างกฎหมายที่ผ่านการลงมติโดยผู้แทนของตน หากประชาชนจํานวนหนึ่งตามที่กําหนดไว้ใน บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญยื่นคัดค้านร่างกฎหมายดังกล่าวภายในระยะเวลาที่กําหนดจะต้องผ่านกระบวนการออกเสียงประชามติเสียก่อนจึงจะประกาศใช้ได้ หากล่วงเลยกําหนดเวลาดังกล่าวโดยไม่มีการคัดค้านโดยประชาชน ร่างกฎหมายดังกล่าวก็สามารถเข้าสู่กระบวนประกาศใช้ได้ตามปกติ
2 การออกเสียงประชามติ กระบวนการออกเสียงประชามติหมายถึงการเสนอร่างกฎหมายหรือข้อเสนอบางประการให้พลเมืองลงมติชี้ขาดในการเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างกฎหมายหรือข้อเสนอนั้น ๆโดยการออกเสียงประชามติแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
2.1 การออกเสียงประชามติเพื่อรับรองร่างรัฐธรรมนูญ หมายถึงการเสนอร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายลําดับสูงสุดของรัฐให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างดังกล่าว รัฐธรรมนูญ ที่ผ่านการรับรองโดยกระบวนการออกเสียงประชามติจะมีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยมากกว่าร่างรัฐธรรมนูญที่ได้รับการประกาศใช้ด้วยอํานาจของผู้ปกครอง ในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันว่าร่างรัฐธรรมนูญควรจะต้องผ่าน กระบวนการออกเสียงประชามติเสมอ
2.2 การออกเสียงประชามติเพื่อรับรองร่างรัฐบัญญัติ หมายถึงการนําร่างรัฐบัญญัติ ซึ่งได้ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติแล้วเสนอให้ประชาชนลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบก่อนการประกาศใช้หากประชาชนลงมติไม่เห็นชอบร่างรัฐบัญญัติ รัฐย่อมไม่อาจนําร่างดังกล่าวไปประกาศใช้ได้ กระบวนการออกเสียงประชามติในรูปแบบนี้เป็นประชามติที่พบได้บ่อยกว่ารูปแบบอื่น
2.3 การออกเสียงประชามติเพื่อปรึกษาหารือ หมายถึงกรณีที่รัฐนําข้อเสนอบางประการ ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเห็นชอบข้อเสนอนั้น ๆ หรือไม่ ในทางปฏิบัติมักจะเป็นกรณีที่รัฐบาลต้องการ ปฏิรูปกฎหมายหรือดําเนินนโยบายที่มีความสําคัญอย่างยิ่งต่อรัฐและต้องการให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ
2.4 การออกเสียงประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาระหว่างสถาบันการเมือง เป็นกรณีที่เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างสถาบันการเมืองซึ่งเป็นผู้ใช้อํานาจอธิปไตยในนามของปวงชน (รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล) และไม่อาจแก้ไขปัญหาเช่นว่านั้นได้ด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายทั้งปวง รัฐสามารถเสนอทางออกและให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจแก้ปัญหาแทนได้เช่นกัน
ความแตกต่างของระบอบประชาธิปไตยโดยตรงและระบอบประชาธิปไตยถึงโดยตรง
1 ระบอบประชาธิปไตยโดยตรง ประชาชนจะเป็นผู้ใช้อํานาจด้วยตนเองไม่มีการใช้อํานาจ ผ่านผู้แทน (เสนอและตัดสินใจเอง) ในขณะที่ระบอบประชาธิปไตยถึงโดยตรง ประชาชนและผู้แทนแบ่งหน้าที่กัน คนละส่วน โดยผู้แทนจะเป็นผู้ริเริ่มเสนอ และให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ
2 ระบอบประชาธิปไตยโดยตรงปรับใช้ในโลกปัจจุบันได้ยาก ในขณะที่ระบอบประชาธิปไตย กึ่งโดยตรงยังคงปรากฏอยู่ในปัจจุบันอย่างแพร่หลาย และอาจจะเป็นระบอบที่ทรงอิทธิพลมากขึ้นในอนาคต