การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2553
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2013
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ
ข้อ 1
(ก) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 905 “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 1008 บุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ในครอบครอง ถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักหลังลอยก็ตาม ท่านให้ถือว่าเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย” อยากทราบว่าการสลักหลังไม่ขาดสายนั้นมีลักษณะอย่างไร
(ข) จันทร์ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายตั๋วแลกเงินสั่งให้บุญมีจ่ายเงินจำนวน 500,000 บาท ระบุชื่อทองไทยเป็นผู้รับเงินและได้ขีดฆ่าคำว่า “หรือผู้ถือ” ออก เพื่อเป็นการมัดจำในการสั่งซื้อสินค้า ทองไทยสลักหลังขายลดตั๋วแลกเงินโดยระบุชื่อพุธเป็นผู้รับซื้อลดตั๋วแลกเงินนั้น ต่อมาพุธได้ส่งมอบตั๋วแลกเงินนั้นชำระหนี้เงินกู้ให้แก่พฤหัส ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าการโอนตั๋วแลกเงินดังกล่าวนั้น ถูกต้องตามกฎหมาย หรือไม่อย่างไร
ธงคำตอบ
(ก) อธิบาย
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 905 คำว่า “การสลักหลังไม่ขาดสาย” หมายถึง การสลักหลังโอนตั๋วเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ โดยมีการโอนติดต่อกันมาตามลำดับจนถึงมือของผู้ทรงคนปัจจุบันโดยไม่ขาดตอน กล่าวคือ เป็นการโอนตั๋วเงินที่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 917 วรรคแรก มาตรา 919 และมาตรา 920 นั่นเอง
ตัวอย่างการสลักหลังที่ไม่ขาดสาย
หนึ่งได้ออกตั๋วแลกเงินสั่งให้สองจ่ายเงินแก่สาม ต่อมาสามได้สลักหลังและส่งมอบให้สี่ และสี่ได้สลักหลังและส่งมอบให้ห้า ดังนี้ เมื่อตั๋วเงินได้มาอยู่ในความครอบครองของห้า ห้าย่อมเป็นผู้ทรงในฐานะผู้รับสลักหลัง และเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายด้วย เพราะห้าได้ตั๋วเงินนั้นมาจากการสลักหลังที่ไม่ขาดสาย
และตามตัวอย่างข้างต้น หากการที่สามสลักหลังโอนให้สี่นั้น เป็นการสลักหลังลอย (เป็นการสลักหลังที่ไม่มีการระบุชื่อของผู้รับสลักหลัง) และสี่ได้ส่งมอบตั๋วเงินต่อให้ห้า ดังนี้ ก็ถือว่าห้าเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายเช่นเดียวกัน และให้ถือว่าห้าได้ตั๋วเงินนั้นมาจากการสลักหลังลอยของสาม
หมายเหตุ บุคคลที่ได้ตั๋วเงินมาจากการสลักหลังลอยนั้น มีสิทธิโอนตั๋วเงินนั้นต่อไปได้โดยการสลักหลังและส่งมอบ หรืออาจจะส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวก็ได้ (ตามมาตรา 920) แต่ถ้าได้ตั๋วมาจากการสลักหลังเฉพาะ (มีการระบุชื่อของผู้รับสลักหลัง) หากโอนตั๋วด้วยการส่งมอบ จะทำให้การสลักหลังขาดสายทันที เพราะ ป.พ.พ. มาตรา 917 วรรคแรก นั้น กำหนดให้โอนกันได้ด้วยการสลักหลังและส่งมอบ
(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 917 วรรคแรก อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่งก็ตาม ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและส่งมอบ
มาตรา 918 ตั๋วแลกเงินอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ท่านว่าย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน
มาตรา 919 คำสลักหลังนั้นต้องเขียนลงในตั๋วแลกเงินหรือใบประจำต่อ และต้องลงลายมือชื่อผู้สลักหลัง
การสลักหลังย่อมสมบูรณ์ แม้ทั้งมิได้ระบุชื่อผู้รับประโยชน์ไว้ด้วยหรือแม้ผู้สลักหลังจะมิได้กระทำอะไรยิ่งไปกว่าลงลายมือชื่อของตนที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินหรือใบประจำต่อ ก็ย่อมฟังเป็นสมบูรณ์ดุจกัน การสลักหลังเช่นนี้ท่านเรียกว่า “สลักหลังลอย”
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การโอนตั๋วแลกเงินดังกล่าวนั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การที่จันทร์ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายตั๋วแลกเงินสั่งให้บุญมีจ่ายเงินโดยระบุชื่อทองไทยเป็นผู้รับเงิน และได้ขีดฆ่าคำว่า “หรือผู้ถือ” ออก เพื่อเป็นการมัดจำในการสั่งซื้อสินค้า ตั๋วแลกเงินฉบับนี้ย่อมเป็นตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ ดังนั้น การโอนต่อไปจึงต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติมาตรา 917 วรรคแรก และมาตรา 919 คือ สลักหลังและส่งมอบ จะโอนตั๋วแลกเงินโดยการส่งมอบให้แก่กันเพียงอย่างเดียวเท่านั้นตามมาตรา 918 ไม่ได้ เพราะกรณีมิใช่ตั๋วแลกเงินสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ
และสำหรับการที่ทองไทยสลักหลังขายลดตั๋วแลกเงินโดยระบุชื่อพุธเป็นผู้รับซื้อลดตั๋วแลกเงินนั้น ถือเป็นการโอนตั๋วแลกเงินโดยการสลักหลังเฉพาะตามมาตรา 917 วรรคแรก ซึ่งการโอนต่อไปจะต้องสลักหลังและส่งมอบเช่นเดียวกันตามมาตรา 917 วรรคแรก เมื่อปรากฏว่าต่อมาพุธเพียงแต่ส่งมอบตั๋วแลกเงินชำระหนี้ให้แก่พฤหัสเท่านั้น หาได้มีการสลักหลังเฉพาะหรือสลักหลังลอยไม่ ทั้งกรณีก็ไม่ใช่การโอนตั๋วแลกเงินต่อจากผู้สลักหลังลอยแต่อย่างใด ดังนั้น การโอนตั๋วแลกเงินจากพุธไปยังพฤหัสจึงไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
สรุป การโอนตั๋วแลกเงินจากทองไทยไปยังพุธเป็นการโอนที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่การโอนตั๋วแลกเงินจากพุธไปยังพฤหัสเป็นการโอนที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
ข้อ 2
(ก) การอาวัลตั๋วแลกเงินนั้นจะต้องทำอย่างไรจึงจะถูกต้องตามกฎหมาย และใครบ้างที่อาวัลตั๋วแลกเงินได้
(ข) บางเขนเป็นผู้รับเงินตามตั๋วแลกเงินที่มีบางบัวทองเป็นผู้จ่าย บางขวางเป็นผู้สั่งจ่ายและขีดฆ่าคำว่า “หรือผู้ถือ” บางเขนจะสลักหลังและส่งมอบตั๋วแลกเงินเพื่อชำระหนี้หลักสี่ แต่หลักสี่ให้บางเขนนำตั๋วไปให้บางบัวทองรับรองก่อน บางเขนจึงเอาตั๋วไปให้บางบัวทองเขียนข้อความว่า “ยินดีเป็นประกันผู้สั่งจ่าย” และลงลายมือชื่อไว้ด้านหน้าของตั๋ว หลักสี่จึงยอมรับชำระหนี้ด้วยการสลักหลังและส่งมอบตั๋วจากบางเขน เมื่อถึงกำหนดใช้เงินหลักสี่ได้นำตั๋วไปให้บางบัวทองใช้เงินแต่บางบัวทองปฏิเสธการใช้เงินเนื่องจากเห็นว่าตนได้ชำระหนี้บางขวางผู้สั่งจ่ายไปแล้ว อนึ่งหลักสี่ได้ทำคำคัดค้านไว้โดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าหลักสี่ผู้ทรงจะฟ้องบางบัวทองให้รับผิดในตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
(ก) อธิบาย
“การอาวัลตั๋วแลกเงิน” (การค้ำประกันหรือรับประกันการใช้เงินตามตั๋วแลกเงิน) นั้น จะถือว่าเป็นการรับอาวัลที่ถูกต้องตามกฎหมาย จะต้องปฏิบัติตามที่ ป.พ.พ. มาตรา 939 ได้บัญญัติไว้ กล่าวคือ จะต้องปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้ คือ
1 เขียนข้อความลงบนตั๋วแลกเงินหรือใบประจำต่อด้วยถ้อยคำสำนวนว่า “ใช้ได้เป็นอาวัล” หรือสำนวนอื่นใดที่มีความหมายทำนองเดียวกัน และลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัล ซึ่งอาจจะทำที่ด้านหน้าหรือด้านหลังของตั๋วแลกเงินก็ได้
2 ผู้รับอาวัลลงแต่ลายมือชื่อของตนไว้ที่ด้านหน้าแห่งตั๋วแลกเงินนั้น โดยไม่ต้องเขียนข้อความใดๆลงไว้ก็ได้ ก็ถือว่าเป็นการรับอาวัลแล้ว แต่ทั้งนี้ต้องไม่ใช่ลายมือชื่อของผู้จ่ายหรือผู้สั่งจ่าย
สำหรับบุคคลที่สามารถเข้ามารับอาวัลตั๋วแลกเงินได้นั้น อาจจะเป็นบุคคลภายนอกคนใดคนหนึ่งหรืออาจจะเป็นคู่สัญญาเดิมในตั๋วแลกเงินนั้นคนใดคนหนึ่งก็ได้ (ป.พ.พ. มาตรา 938 วรรคสอง)
(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 900 วรรคแรก บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น
มาตรา 938 ตั๋วแลกเงินจะมีผู้ค้ำประกันการใช้เงินทั้งจำนวนหรือแต่บางส่วนก็ได้ซึ่งท่านเรียกว่า “อาวัล”
อันอาวัลนั้นบุคคลภายนอกคนใดคนหนึ่งจะเป็นผู้รับ หรือแม้คู่สัญญาแห่งตั๋วเงินนั้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเป็นผู้รับก็ได้
มาตรา 939 อันการรับอาวัลย่อมทำให้กันด้วยเขียนลงในตั๋วเงินนั้นเอง หรือที่ใบประจำต่อ ในการนี้พึงใช้ถ้อยคำสำนวนว่า “ใช้ได้เป็นอาวัล” หรือสำนวนอื่นใดทำนองเดียวกันนั้นและลงลายมือชื่อผู้รับอาวัล
อนึ่ง เพียงแต่ลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัลในด้านหน้าแห่งตั๋วเงิน ท่านก็จัดว่าเป็นคำรับอาวัลแล้ว เว้นแต่ในกรณีที่เป็นลายมือชื่อของผู้จ่ายหรือผู้สั่งจ่าย
ในคำรับอาวัลต้องระบุว่ารับประกันผู้ใด หากมิได้ระบุ ท่านให้ถือว่ารับประกันผู้สั่งจ่าย
มาตรา 940 วรรคแรก ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนประกัน
ตามกฎหมาย ในกรณีที่มีการรับอาวัลผู้เป็นคู่สัญญาตามตั๋วแลกเงิน ผู้รับอาวัลจะต้องเขียนข้อความว่า “ใช้ได้เป็นอาวัล” หรือข้อความอื่นใดที่มีความหมายเดียวกัน และลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัลไว้ที่ด้านหน้าหรือด้านหลังตั๋วแลกเงิน หรือผู้รับอาวัลอาจจะลงแต่ลายมือชื่อของตนไว้ที่ด้านหน้าของตั๋วแลกเงินก็ได้ และบุคคลที่จะเข้ามารับอาวัลจะเป็นบุคคลภายนอกหรือคู่สัญญาเดิมในตั๋วแลกเงินก็ได้ (มาตรา 938 และมาตรา 939)
กรณีตามอุทาหรณ์ หลักสี่ผู้ทรงจะฟ้องบางบัวทองให้รับผิดในตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวได้หรือไม่ เห็นว่า ตั๋วแลกเงินที่บางขวางออกให้แก่บางเขนนั้น เมื่อได้ขีดฆ่าคำว่า “หรือผู้ถือ” ออก จึงเป็นตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชิ่ และเมื่อบางเขนได้เอาตั๋วไปให้บางบัวทองผู้จ่ายเขียนข้อความว่า “ยินดีเป็นประกันผู้สั่งจ่าย” ซึ่งถือเป็นข้อความที่มีความหมายทำนองเดียวกับคำว่า “ใช้ได้เป็นอาวัล” และลงลายมือชื่อไว้ด้านหน้าของตั๋ว จึงถือเป็นการอาวัลแล้ว และเป็นการอาวัลบางขวางผู้สั่งจ่ายตามมาตรา 938 และมาตรา 939
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ตั๋วถึงกำหนดใช้เงิน หลักสี่ได้นำตั๋วไปให้บางบัวทองใช้เงินแต่บางบัวทองปฏิเสธการใช้เงินเนื่องจากเห็นว่าตนได้ชำระหนี้บางขวางผู้สั่งจ่ายไปแล้ว ดังนั้น หลักสี่ผู้ทรงจึงสามารถฟ้องบางบัวทองให้รับผิดในตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวได้ในฐานะผู้รับอาวัลบางขวางผู้สั่งจ่ายตามมาตรา 900 วรรคแรก และมาตรา 940 วรรคแรก
สรุป หลักสี่ผู้ทรงฟ้องบางบัวทองให้รับผิดในตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวได้ในฐานะผู้รับอาวัล
ข้อ 3
(ก) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดหลักเกณฑ์ผู้ทรงเช็คจะต้องยื่นเช็คให้ธนาคารผู้จ่าย จ่ายเงินตามเช็คไว้อย่างไรบ้าง
(ข) ห้วยยอดมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดตรัง สั่งจ่ายเช็คระบุชื่อสิเกาเป็นผู้รับเงินแต่มิได้ขีดฆ่าคำว่า “หรือผู้ถือ” ออก ซึ่งเป็นเช็คของธนาคารอันดามันสาขาจังหวัดภูเก็ต ระบุจำนวนเงินลงไว้ในเช็ค 500,000 บาท ลงวันที่ 10 สิงหาคม 2553 มอบให้กับสิเกาเพื่อชำระหนี้ ต่อมาสิเกาสลักหลังลอยแล้วมอบเช็คชำระหนี้ให้แก่บินหลา บินหลานำเช็คนั้นไปส่งมอบให้แก่หัวไทรที่มีภูมิลำเนาที่จังหวัดนครศรีธรรมราชเพื่อชำระหนี้ วันที่ 10 ธันวาคม 2553 หัวไทรนำเช็คไปเบิกเงินจากธนาคารอันดามันสาขาจังหวัดภูเก็ต แต่ธนาคารปฏิเสธการใช้เงินเนื่องจากเงินในบัญชีของห้วยยอดมีไม่พอจ่าย ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าบุคคลใดต้องรับผิดหรือไม่ต้องรับผิดตามกฎหมายตั๋วเงินต่อหัวไทรเพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
(ก) อธิบาย
ตามกฎหมาย การนำเช็คไปยื่นให้ธนาคารผู้จ่ายใช้เงินตามเช็คนั้น ผู้ทรงเช็คจะต้องนำไปยื่นในวันที่เช็คถึงกำหนดซึ่งก็คือ วันออกเช็คอันเป็นวันที่ผู้สั่งจ่ายระบุลงไว้ในเช็คนั่นเอง หรืออย่างช้าต้องนำไปยื่นภายในกำหนดเวลาตามหลักเกณฑ์ที่
ป.พ.พ. มาตรา 990 ได้กำหนดไว้ ดังนี้คือ
1 ถ้าเป็นเช็คที่ออกให้ใช้เงินในเมือง (จังหวัด) เดียวกับที่ออกเช็ค ผู้ทรงต้องยื่นเช็คต่อธนาคารตามเช็คเพื่อให้ใช้เงินภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่เช็คออก
2 ถ้าเป็นเช็คที่ออกให้ใช้เงินที่อื่น (ในจังหวัดอื่น) ผู้ทรงต้องยื่นเช็คต่อธนาคารตามเช็คเพื่อให้ใช้เงินภายในกำหนด 3 เดือน นับแต่วันที่ออกเช็ค
ในกรณีที่ผู้ทรงไม่ยื่นเช็คให้ธนาคารใช้เงินตามเช็คภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ผู้ทรงย่อมได้รับผลดังนี้ คือ
1 ผู้ทรงย่อมสิ้นสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บรรดาผู้สลักหลังทั้งปวง (โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้สลักหลังเหล่านั้นจะได้รับความเสียหายหรือไม่)
2 ผู้ทรงย่อมเสียสิทธิอันมีต่อผู้สั่งจ่ายเท่าที่ผู้สั่งจ่ายได้รับความเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใด เพราะการที่ผู้ทรงละเลยไม่ยื่นเช็คให้ธนาคารใช้เงินภายในกำหนดเวลานั้น
และตาม ป.พ.พ. มาตรา 991(2) ยังได้วางหลักไว้อีกว่า ผู้ทรงจะต้องยื่นเช็คให้ธนาคารจ่ายเงินภายใน 6 เดือนนับแต่วันออกเช็ค (วันที่ลงเช็ค) ด้วย หากยื่นเช็คเกินกว่านั้น ธนาคารมีสิทธิที่จะปฏิเสธการจ่ายเงินได้
(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 900 วรรคแรก บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น
มาตรา 914 บุคคลผู้สั่งจ่ายหรือสลักหลังตั๋วแลกเงินย่อมเป็นอันสัญญาว่า เมื่อตั๋วนั้นได้นำมายื่นโดยชอบแล้วจะมีผู้รับรองและใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋ว ถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมรับรองก็ดี หรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง หรือแก่ผู้สลักหลังคนหลังซึ่งต้องถูกบังคับให้ใช้เงินตามตั๋วนั้น ถ้าหากว่าได้ทำถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว
มาตรา 921 การสลักหลังตั๋วแลกเงินซึ่งสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ย่อมเป็นเพียงประกัน (อาวัล) สำหรับผู้สั่งจ่าย
มาตรา 940 ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนประกัน
มาตรา 989 วรรคแรก บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้ คือบทมาตรา 910 914 ถึง 923 925 926 938 ถึง 940 945 946 959 967 971
มาตรา 990 วรรคแรก ผู้ทรงเช็คต้องยื่นเช็คแก่ธนาคารเพื่อให้ใช้เงิน คือว่าถ้าเป็นเช็คให้ใช้เงินในเมืองเดียวกันกับที่ออกเช็คต้องยื่นภายในเดือนหนึ่งนับแต่วันออกเช็คนั้น ถ้าเป็นเช็คให้ใช้เงินที่อื่นต้องยื่นภายในสามเดือน ถ้ามิฉะนั้นท่านว่าผู้ทรงสิ้นสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาแก่ผู้สลักหลังทั้งปวง ทั้งเสียสิทธิอันมีต่อผู้สั่งจ่ายด้วย เพียงเท่าที่จะเกิดความเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใดแก่ผู้สั่งจ่ายเพราะการที่ละเลยเสียไม่ยื่นเช็คนั้น
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ บุคคลใดต้องรับผิดหรือไม่ต้องรับผิดตามกฎหมายตั๋วเงินต่อหัวไทร เห็นว่า การที่ห้วยยอดมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดตรังได้สั่งจ่ายเช็คของธนาคารอันดามันสาขาจังหวัดภูเก็ตเพื่อใช้เงินตามเช็คนั้น เช็คดังกล่าวจึงเป็นเช็คให้ใช้เงินที่อื่น (จังหวัดอื่น) ดังนั้น ผู้ทรงเช็คต้องยื่นเช็คให้ธนาคารผู้ใช้เงินตามเช็คใช้เงินภายในกำหนด 3 เดือน นับแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2553 ซึ่งเป็นวันที่ออกเช็ค (วันที่ลงในเช็ค) ตามมาตรา 990 วรรคแรก เมื่อปรากฏว่าหัวไทรผู้ทรงเช็คนำเช็คไปเบิกเงินจากธนาคารอันดามันสาขาจังหวัดภูเก็ตในวันที่ 10 ธันวาคม 2553 ซึ่งพ้นกำหนด 3 เดือน นับแต่วันที่ออกเช็คแล้ว ดังนั้น เมื่อธนาคารปฏิเสธการใช้เงินเนื่องจากเงินในบัญชีของห้วยยอดมีไม่พอจ่าย หัวไทรผู้ทรงเช็คย่อมสิ้นสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาแก่ผู้สลักหลังทั้งปวง
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเช็คดังกล่าวเป็นเช็คผู้ถือ เนื่องจากมิได้มีการขีดฆ่าคำว่า “หรือผู้ถือออก” การที่สิเกาสลักหลังลอยแล้วมอบเช็คชำระหนี้ให้แก่บินหลานั้น ย่อมเป็นเพียงประกัน (อาวัล) สำหรับผู้สั่งจ่าย ตามมาตรา 921 สิเกาจึงต้องรับผิดในเช็คฉบับนี้ในฐานะเป็นผู้รับอาวัลห้วยยอดผู้สั่งจ่าย (มาตรา 900 921 940 วรรคแรก และมาตรา 989) ส่วนบินหลา เมื่อไม่ได้ลงลายมือชื่อในเช็คจึงไม่ต้องรับผิดต่อหัวไทร (มาตรา 900)
และในกรณีของห้วยยอดผู้สั่งจ่ายนั้น เมื่อมิได้เกิดความเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใดแก่ห้วยยอด เพราะการที่หัวไทรละเลยไม่ยื่นเช็คนั้น ห้วยยอดผู้สั่งจ่ายจึงยังคงต้องรับผิดต่อหัวไทรในฐานะผู้สั่งจ่าย (มาตรา 900 914 989 และมาตรา 990)
สรุป สิเกาต้องรับผิดตามกฎหมายตั๋วเงินต่อหัวไทรในฐานะผู้รับอาวัลผู้สั่งจ่าย และห้วยยอดยังคงต้องรับผิดตามกฎหมายตั๋วเงินต่อหัวไทรในฐานะผู้สั่งจ่าย ส่วนบินหลาไม่ต้องรับผิดต่อหัวไทรเพราะมิได้ลงลายมือชื่อในเช็ค