การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2550
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2013
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ
ข้อ 1 ก อาทิตย์ออกทุนให้จันทร์ออกทะเลจับปลาครั้งละห้าแสนบาท เป็นเวลา 5 ปี โดยให้เบิกเป็นเงินสด น้ำมัน หรือน้ำแข็งเพื่อใช้แช่ปลา โดยอาทิตย์จะจดบัญชีคำนวณเป็นจำนวนเงินทั้งหมดตามที่จันทร์เบิกไปและเมื่อจันทร์ได้ปลามาแล้วจะต้องขายให้อาทิตย์ โดยอาทิตย์จะชำระราคาปลาให้กับจันทร์เพียง 10 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้จันทร์ไว้ใช้ส่วนตัว ส่วนอีก 90 เปอร์เซ็นต์นั้นเก็บไว้เพื่อรอชำระหนี้ แล้วมอบใบเสร็จรับเงินให้จันทร์เก็บไว้เพื่อตรวจสอบและหักบัญชีกันทุกๆ 3 เดือน ทำให้รู้ว่าฝ่ายใดเป็นหนี้จำนวนเงินเท่าใด และจะกระทำเช่นนี้ตลอดเวลา 5 ปี ดังนี้ นิติสัมพันธ์ระหว่างอาทิตย์กับจันทร์เป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดหรือไม่
ข การรับรองตั๋วแลกเงินนั้นจะต้องทำอย่างไรจึงจะถูกต้องตามกฎหมาย
ธงคำตอบ
ก อธิบาย
มาตรา 856 อันว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลสองคนตกลงกันว่าสืบแต่นั้นไปหรือในชั่วเวลากำหนดอันใดอันหนึ่ง ให้ตัดทอนบัญชีหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนอันเกิดขึ้นแต่กิจการในระหว่างเขาทั้งสองนั้นหักกลบลบกัน และคงชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาค
วินิจฉัย
นิติสัมพันธ์ระหว่างอาทิตย์กับจันทร์มีข้อตกลงว่าสืบแต่นั้นไปหรือในชั่วเวลาอันใดอันหนึ่ง ให้ตัดทอนบัญชีหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนอันเกิดขึ้นแต่กิจการในระหว่างเขาทั้งสองนั้นหักกลบลบกันและคงชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาค จึงถือว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดตามมาตรา 856
สรุป นิติสัมพันธ์ระหว่างอาทิตย์กับจันทร์เป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัด
ข อธิบาย
การรับรองตั๋วแลกเงิน คือ การที่ผู้จ่ายได้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วแลกเงินเพื่อผูกพันตนเองในอันที่จะรับผิดชอบจ่ายเงินตามคำสั่งของผู้สั่งจ่ายที่ได้มีคำสั่งให้ผู้จ่ายจ่ายเงินให้กับผู้รับเงิน
สำหรับวิธีการรับรองตั๋วแลกเงินนั้น มาตรา 931 ได้กำหนดแบบหรือวิธีการรับรองไว้โดยกำหนดให้ผู้จ่ายลงข้อความว่า “รับรองแล้ว” หรือข้อความอื่นทำนองเช่นเดียวกัน เช่น “รับรองจะใช้เงิน” หรือ “ยินยอมจะใช้เงิน” ฯลฯ และลงลายมือชื่อของผู้จ่ายในด้านหน้าแห่งตั๋วแลกเงินนั้น และอาจลงวันที่รับรองไว้หรือไม่ก็ได้ หรือเพียงแต่ผู้จ่ายลงลายมือชื่อของตนในด้านหน้าแห่งตั๋วแลกเงินนั้นเพียงลำพังโดยไม่จำต้องมีข้อความดังกล่าวอยู่เลย ก็จัดว่าเป็นคำรับรองแล้วเช่นเดียวกัน อนึ่งการที่ผู้จ่ายทำการรับรองที่ด้านหลังตั๋วแลกเงิน ถือว่าเป็นการรับรองที่ผิดแบบหรือวิธีการที่กฎหมายกำหนด ไม่ถือว่าเป็นการรับรองหรือคำรับรองนั้นไม่มีผล
อย่างไรก็ดี การรับรองตามมาตรา 931 นี้ ย่อมมีผลเฉพาะตัวผู้จ่ายเท่านั้น บุคคลอื่นซึ่งมิใช่ผู้จ่าย หากได้ทำการรับรองตามความในมาตรานี้ก็มิได้อยู่ในฐานะเป็นผู้รับรอง แต่อาจต้องรับผิดในฐานะผู้รับอาวัล (มาตรา 940) หรือเป็นผู้สอดเข้ารับรองเพื่อแก้หน้า (มาตรา 953) ก็ได้
การรับรองตั๋วแลกเงิน ตามมาตรา 935 ได้กำหนดไว้ 2 ประเภท ดังนี้
1 การรับรองตลอดไป คือ การที่ผู้จ่ายรับรองการจ่ายเงินทั้งหมดตามจำนวนเงินที่ปรากฏในตั๋วแลกเงิน โดยไม่มีข้อแม้หรือเงื่อนไขในการจ่ายเงิน
2 การรับรองเบี่ยงบ่าย คือ การรับรองใน 2 กรณีดังต่อไปนี้ คือ
– การรับรองเบี่ยงบ่ายอย่างมีเงื่อนไข เช่น ผู้จ่ายรับรองจะจ่ายเงินจำนวนทั้งหมดในตั๋วแลกเงินฉบับนี้ต่อเมื่อมีเหตุการณ์อันใดอันหนึ่งเกิดขึ้นในอนาคตและไม่แน่นอน
– การรับรองเบี่ยงบ่ายบางส่วน เช่น ตั๋วแลกเงินราคา 50,000 บาท ผู้จ่ายรับรองการจ่ายเงินจำนวน 40,000 บาท เป็นต้น
ผลของการรับรองตั๋วแลกเงิน มีบัญญัติไว้ในมาตรา 937 กล่าวคือ เมื่อผู้จ่ายได้ทำการรับรองตั๋วแลกเงินแล้ว ผู้จ่ายจะกลายเป็นผู้รับรองและต้องผูกพันรับผิดตามเนื้อความแห่งคำรับรองของตน
ข้อ 2 ก ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติวิธีการโอนตั๋วเงินไว้อย่างไร ให้อธิบายโดยสังเขป
ข จันทร์ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คลงวันที่ล่วงหน้าสั่งให้ธนาคารสินไทยจ่ายเงินสดหรือผู้ถือ จำนวน 500,000 บาท มอบให้อังคาร เพื่อเป็นการวางมัดจำในการสั่งซื้อสินค้า อังคารสลักหลังขายลดเช็คโดยระบุชื่อพุธเป็นผู้รับซื้อลดเช็คนั้น ต่อมาพุธได้ส่งมอบเช็คนั้นชำระหนี้เงินกู้ให้แก่พฤหัส ถึงกำหนดวันที่ออกเช็ค พฤหัสได้นำเช็คนั้นไปฝากเข้าบัญชีของตนที่ธนาคารกรุงทองให้ธนาคารเรียกเก็บเงินแทน แต่ธนาคารสินไทยปฏิเสธการจ่ายเงินเนื่องจากเงินในบัญชีฯ จันทร์ไม่พอจ่าย ดังนี้ใครบ้างที่ต้องรับผิดและไม่ต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คนั้นต่อพฤหัสเพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
ก อธิบาย
ตามลักษณะของตั๋วแลกเงินมีอยู่ 2 ชนิด คือ ตั๋วแลกเงินชนิดระบุชื่อผู้รับเงินหรือตามคำสั่งผู้รับเงิน เรียกว่า “ตั๋วแลกเงินระบุชื่อ” ซึ่งในตั๋วเงินทั้ง 3 ประเภท คือ ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงินและเช็ค และตั๋วแลกเงินชนิดที่ระบุชื่อผู้รับและมีคำว่า “หรือผู้ถือ” รวมอยู่ด้วย หรือระบุให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ เรียกว่า “ตั๋วแลกเงินผู้ถือ” ซึ่งมีเฉพาะตั๋วแลกเงินและเช็คเท่านั้น
ดังนั้นวิธีการโอนตั๋วแลกเงินจึงแตกต่างกันตามชนิดของตั๋วแลกเงินดังกล่าวข้างต้น กล่าวคือ
1 กรณีโอนตั๋วแลกเงินระบุชื่อ มาตรา 917 วรรคแรก บัญญัติให้โอนต่อไปได้ด้วยการสลักหลังและส่งมอบ
อนึ่งการสลักหลังมี 2 วิธี คือ สลักหลังเฉพาะ (เจาะจงชื่อผู้รับสลักหลัง) ซึ่งมาตรา 919 ได้บัญญัติวิธีการสลักหลังไว้ดังนี้
(ก) สลักหลังเฉพาะ (Specific Endorsement) ให้ระบุชื่อผู้รับสลักหลัง แล้วลงลายมือชื่อผู้สลักหลังลงไปในตั๋วเงิน โดยจะกระทำด้านหน้าหรือด้านหลังตั๋วเงินนั้นก็ได้ (มาตรา 917 วรรคแรก มาตรา 919 วรรคแรก)
(ข) สลักหลังลอย (Blank Endorsement) ผู้สลักหลังเพียงลงลายมือชื่อตนเองโดยลำพังด้านหลังตั๋วเงิน โดยไม่ต้องระบุชื่อผู้รับประโยชน์ (ผู้รับสลักหลัง) (มาตรา 917 วรรคแรก มาตรา 919 วรรคสอง)
ผู้ทรงที่ได้รับสลักหลังโอนตั๋วเงินนั้นมาจากการสลักหลังดังกล่าวใน (ก) หรือ (ข) แล้วก็สามารถสลักหลังโอนตั๋วเงินระบุชื่อนั้นโดยวิธีข้างต้นต่อไปอีกก็ได้ แต่ผู้ทรงที่ได้รับโอนตั๋วเงินด้วยการสลักหลังลอย สามารถเลือกโอนตั๋วเงินระบุชื่อนั้นต่อไปได้อีก 3 วิธี ทั้งนี้ตามมาตรา 920 วรรคสอง คือ
(1) เติมชื่อบุคคลที่ตนเองประสงค์จะโอนให้
(2) สลักหลังลอยหรือสลักหลังเฉพาะต่อไป หรือ
(3) ส่งมอบต่อไปโดยไม่ต้องสลักหลัง
2 กรณีโอนตั๋วแลกเงินผู้ถือ มาตรา 918 บัญญัติให้โอนต่อไปได้ด้วยการส่งมอบ
ข อธิบาย
มาตรา 900 บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น
ถ้าลงเพียงแต่เครื่องหมายอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น แกงไดหรือลายพิมพ์นิ้วมืออ้างเอาเป็นลายมือชื่อในตั๋วเงินนั้นไซร้ แม้ถึงว่าจะมีพยานลงชื่อรับรองก็ตาม ท่านว่าหาให้ผลเป็นลงลายมือชื่อในตั๋วเงินนั้นไม่
มาตรา 914 บุคคลผู้สั่งจ่ายหรือสลักหลังตั๋วแลกเงินย่อมเป็นอันสัญญาว่า เมื่อตั๋วนั้นได้นำมายื่นโดยชอบแล้วจะมีผู้รับรองและใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋ว ถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมรับรองก็ดี หรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง หรือแก่ผู้สลักหลังคนหลังซึ่งต้องถูกบังคับให้ใช้เงินตามตั๋วนั้น ถ้าหากว่าได้ทำถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว
มาตรา 921 การสลักหลังตั๋วแลกเงินซึ่งสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้นย่อมเป็นเพียงประกัน (อาวัล) สำหรับผู้สั่งจ่าย
วินิจฉัย
เช็คที่จันทร์ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายมอบให้แก่อังคาร เพื่อเป็นการวางมัดจำในการสั่งซื้อสินค้า เช็คดังกล่าวเป็นเช็คผู้ถือสามารถโอนได้ด้วยการส่งมอบ และยังถือว่าเป็นการโอนโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้จะมีการสลักหลังโอนตั๋วเช็คชนิดผู้ถือ โดยผู้ทำการสลักหลังนั้นจะต้องผิดในฐานเป็นผู้รับอาวัล (ประกัน) ผู้สั่งจ่าย ดังนั้นเมื่อธนาคารสินไทยปฏิเสธการจ่ายเงิน พฤหัสผู้ทรงเช็คสามารถฟ้องจันทร์ที่ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายในฐานะผู้สั่งจ่ายให้รับผิดได้ ตามมาตรา 900 ประกอบมาตรา 914 ส่วนอังคารสลักหลังขายลดเช็คโดยระบุชื่อพุธเป็นผู้รับซื้อลดเช็คนั้นอังคารต้องรับผิดในฐานะผู้รับอาวัลจันทร์ผู้สั่งจ่าย ตามมาตรา 921 พุธได้ส่งมอบเช็คนั้นชำระหนี้เงินกู้ให้แก่พฤหัส โดยที่พุธมิได้ลงลายมือชื่อบนเช็คนั้น พุธจึงไม่ต้องรับผิดตามกฎหายตั๋วเงินต่อพฤหัสถึงกำหนดวันที่ออกเช็ค ตามมาตรา 900
สรุป จันทร์และอังคารต้องรับผิด ส่วนพุธไม่ต้องรับผิด
ข้อ 3 ก ตั๋วเงินที่มีการแก้ไขรายการที่สำคัญนั้นจะเกิดผลอย่างไรกับบุคคลที่เป็นคู่สัญญาบ้าง
ข เอกเขียนและลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2550 สั่งให้ธนาคารสินไทยจ่ายเงินจำนวน 500,00 บาท ให้กับนายบุญมีและขีดฆ่าคำว่า “หรือผู้ถือ” ออกแล้ว ระบุวันที่ออกเช็คคือ วันที่ 8 สิงหาคม 2550 มอบให้นายบุญมี เพื่อเป็นการวางมัดจำในการสั่งซื้อสินค้า บุญมีสลักหลังขายลดเช็คโดยระบุชื่อพุธเป็นผู้รับซื้อลดเช็คนั้น ต่อมาพุธได้สลักหลังเช็คนั้นชำระหนี้เงินกู้ให้แก่พฤหัสโดยมี โทเป็นผู้รับอาวัล พูธ ดังนี้ วันที่ 8 สิงหาคม 2550 นายเอกมาพบพฤหัสแจ้งให้ทราบว่าเงินในบัญชีของตนไม่มีเงินพอที่จ่าย จึงขอแก้วันที่ออกเช็คเป็นวันที่ 10 กันยายน 2550 โดยลงลายมือชื่อกำกับการแก้ไว้ วันที่ 12 กันยายน 2550 พฤหัส นำเช็คนั้นไปเรียกเก็บเงินแต่ธนาคารสินไทยปฏิเสธการจ่ายเงินเนื่องจากเงินในบัญชีฯ เอกมีไม่พอจ่าย ดังนี้ใครบ้างที่ต้องรับผิดและไม่ต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คนั้นต่อพฤหัส
ธงคำตอบ
ก อธิบาย
ในกรณีที่มีการแก้ไขข้อความสำคัญในตั๋วเงิน เช่น แก้ไขเปลี่ยนแปลงใดๆ แก่วันที่ลง จำนวนเงินอันจะพึงใช้ เวลาใช้เงิน สถานที่ใช้เงิน กับทั้งเมื่อตั๋วเงินเขารับรองไว้ทั่วไปไม่เจาะจงสถานที่ใช้เงิน ไปเติมความระบุสถานที่ใช้เงินเข้าโดยที่ผู้รับรองมิได้ยินยอมด้วย (มาตรา 1007 วรรคสาม) ตาม ป.พ.พ. ได้บัญญัติผลตามกฎหมายไว้ 2 กรณี คือ
1 กรณีที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเป็นประจักษ์ กล่าวคือ มองเห็นได้หรือมีการแก้ไขไม่แนบเนียนหรือเห็นเป็นประจักษ์นั่นเอง โดยมิได้รับความยินยอมจากคู่สัญญาทุกคนในตั๋วเงินนั้น ย่อมเป็นผลให้ตั๋วเงินเสียไป แต่ยังคงใช้ได้กับผู้ทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือผู้ที่ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงและหรือผู้สลักหลังภายหลังการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น (มาตรา 1007 วรรคแรก)
2 กรณีที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ประจักษ์ กล่าวคือ มองไม่เห็น หรือมีการแก้ไขได้อย่างแนบเนียน หรือไม่เห็นเป็นประจักษ์ และตั๋วเงินนั้นตกอยู่ในมือผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย กรณีย่อมเป็นผลให้ผู้ทรงที่ชอบด้วยกฎหมายนั้นสามารถจะเอาประโยชน์จากตั๋วเงินนั้นก็ได้ เสมือนว่าตั๋วเงินนั้นมิได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเลย และจะบังคับการใช้เงินตามตั๋วเงินนั้นตามเนื้อความเดิมก็ได้ (มาตรา 1007 วรรคสอง)
ข อธิบาย
มาตรา 1007 ถ้าข้อความในตั๋วเงินใด หรือในคำรับรองตั๋วเงินใด มีผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญโดยที่คู่สัญญาทั้งปวงผู้ต้องรับผิดตามตั๋วเงินมิได้ยินยอมด้วยหมดทุกคนไซร้ ท่านว่าตั๋วเงินนั้นก็เป็นอันเสีย เว้นแต่ยังคงใช้ได้ต่อคู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น หรือได้ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น กับทั้งผู้สลักหลังในภายหลัง
แต่หากตั๋วเงินใดได้มีผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญ แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ประจักษ์และตั๋วเงินนั้นตกอยู่ในมือผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้ทรงคนนั้นจะเอาประโยชน์จากตั๋วเงินนั้นก็ได้เสมือนดังว่ามิได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเลย และจะบังคับการใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋วนั้นก็ได้
กล่าวโดยเฉพาะ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเช่นจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านถือว่าเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญ คือการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอย่างใดๆ แก่วันที่ลง จำนวนเงินอันจะพึงใช้ เวลาใช้เงิน สถานที่ใช้เงินกับทั้งเมื่อตั๋วเงินเขารับรองไว้ทั่วไปไม่เจาะจงสถานที่ใช้เงิน ไปเติมความระบุสถานที่ใช้เงินเข้าโดยที่ผู้รับรองมิได้ยินยอมด้วย
วินิจฉัย
การที่เอกขอแก้วันที่ออกเช็คจากวันที่ 8 สิงหาคม 2550 เป็นวันที่ 10 กันยายน 2550 โดยลงลายมือชื่อกำกับการแก้ไขไว้ถือว่าเป็นการแก้ไขรายการที่สำคัญในเช็คตามมาตรา 1007 วรรคท้าย และเป็นการแก้ไขที่ประจักษ์มีผลทำให้เช็คนั้นเสียไปแต่ยังคงใช้ได้ต่อคู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้นคือ เอกยังต้องรับผิดต่อพฤหัส ส่วนโทผู้รับอาวัลพุธนั้นมิได้ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น กับทั้งมิใช่ผู้สลักหลังในภายหลัง จึงมิต้องรับผิดต่อพฤหัสแต่อย่างใด ตามมาตรา 1007 วรรคแรก
สรุป เฉพาะนายเอกผู้ทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเท่านั้นต้องรับผิดต่อพฤหัส