การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2551
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2013
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ
ข้อ 1 ก พลับพลามีรถยนต์บรรทุกดินเป็นจำนวนมากเพื่อความสะดวกกับการเติมน้ำมันให้กับรถบรรทุกดิน พลับพลาจึงทำข้อตกลงกับบริษัท ปตอ จำกัด ผู้ให้บริการน้ำมันโดยรถยนต์บรรทุกดินทุกคันของพลับพลาเข้าเติมน้ำมันที่บริษัท ปตอ จำกัด จะให้สินเชื่อกับพลับพลาโดยเติมน้ำมันในกับรถยนต์ไปก่อนและพลับพลาจะชำระราคาน้ำมันให้กับบริษัท ปตอ จำกัด ทุกๆ 45 วัน โดยบริษัท ปตอ จำกัด จะส่งรายการบัญชีและใบเสร็จค่าน้ำมันให้พลับพลา เพื่อตรวจสอบความถูกต้องก่อนทุกๆ 30 วัน เพื่อทราบยอดเงินที่ต้องชำระ และบริษัท ปตอ จำกัด จะลงรายการในบัญชีว่าเป็นหนี้อยู่จำนวนเท่าใด และจะเรียกเก็บในรอบบัญชีต่อไป ดังนี้ นิติสัมพันธ์ระหว่างพลับพลากับบริษัท ปตอ จำกัด เป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดหรือไม่เพราะเหตุใด
ข “อาวัล” คืออะไร และทำอย่างไรจึงจะถูกต้องตามกฎหมาย
ธงคำตอบ
มาตรา 856 อันว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลสองคนตกลงกันว่าสืบแต่นั้นไปหรือในชั่วเวลากำหนดอันใดอันหนึ่ง ให้ตัดทอนบัญชีหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนอันเกิดขึ้นแต่กิจการในระหว่างเขาทั้งสองนั้นหักกลบลบกัน และคงชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาค
วินิจฉัย
ก
พลับพลามีหนี้ที่จะต้องชำระ คือ ราคาน้ำมันให้กับบริษัท ปตอ จำกัด แต่ในส่วนของบริษัท ปตอ จำกัด ไม่มีหนี้สินอันใดจะต้องชำระให้กับพลับพลาแต่อย่างใด ดังนั้นข้อตกลงระหว่างพลับพลากับบริษัท ปตอ จำกัด จึงไม่ใช่ข้อตกลงว่าสืบแต่นั้นไป หรือในชั่วเวลากำหนดอันใดอันหนึ่ง ให้ตัดทอนบัญชีหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนอันเกิดขึ้นแต่กิจการในระหว่างเขาทั้งสองนั้นหักกลบลบกันและคงชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาค จึงถือว่าข้อตกลงดังกล่าวไม่เป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัด
สรุป นิติสัมพันธ์ระหว่างพลับพลากับบริษัท ปตอ จำกัด ไม่เป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัด
ข
อาวัลหรือการรับอาวัล คือ การที่บุคคลภายนอกหรือผู้ที่เป็นคู่สัญญาอยู่แล้วเข้ามารับประกันการใช้เงินทั้งหมด หรือบางส่วนของลูกหนี้ตามตั๋วเงินต่อผู้ที่เป็นเจ้าหนี้ ซึ่งตั๋วเงินใบหนึ่งนั้นอาจมีผู้รับอาวัลหลายคนได้และผู้รับอาวัลนั้นต้องระบุไว้ด้วยว่าประกันผู้ใด ถ้าไม่ระบุไว้ให้ถือว่าเป็นการประกันผู้สั่งจ่าย
กฎหมายได้บัญญัติให้มีการรับอาวัลได้ 2 กรณี ได้แก่ การรับอาวัลตามแบบ และการรับอาวัลโดยผลของกฎหมาย
1 การรับอาวัลตามแบบหรือโดยการแสดงเจตนา คือ ทำได้โดย
การเขียนข้อความลงบนตั๋วเงินหรือใบประจำต่อว่า “ใช้ได้เป็นอาวัล” หรือสำนวนอื่นใดที่มีความหมายทำนองเดียวกันนั้น เช่น “เป็นอาวัลประกันผู้สั่งจ่าย” และลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัล ซึ่งการรับอาวัลในกรณีนี้จะทำที่ด้านหน้าหรือด้านหลังตั๋วเงินก็ได้ (มาตรา 939 วรรคแรก วรรคสอง และวรรคสี่)
โดยการที่ผู้รับอาวัลลงลายมือชื่อที่ด้านหน้าตั๋วโดยไม่ต้องเขียนข้อความก็ถือว่าเป็นการอาวัลแล้ว แต่ทั้งนี้ต้องไม่ใช่ลายมือชื่อผู้จ่ายหรือผู้สั่งจ่าย (มาตรา 939 วรรคสาม)
2 อาวัลโดยผลของกฎหมาย คือ ถ้ามีการสลักหลังโอนตั๋วเงินผู้ถือเมื่อใด กฎหมายได้บัญญัติให้บุคคลที่เข้ามาสลักหลังนั้นเป็นการอาวัลผู้สั่งจ่าย จึงต้องรับผิดเช่นเดียวกันกับผู้สั่งจ่าย (มาตรา 921 และมาตรา 940 วรรคแรก)
ข้อ 2 ก กฎหมายกำหนดเวลาที่ผู้ทรงเช็คจะต้องยื่นเช็คทวงถามให้ธนาคารใช้เงินตามเช็คไว้หรือไม่ อย่างไร จงอธิบาย
ข นายแดงเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้กับธนาคารมั่นคงจำกัด (มหาชน) สาขาหัวหมาก ต่อมานายแดงได้เขียนเช็คสั่งจ่ายเงินจำนวน 100,000 บาท จากบัญชีดังกล่าว ชำระหนี้ค่าเช่าอาคารพาณิชย์ย่านถนนรามคำแหงให้แก่นายขาว เมื่อนายขาวได้เช็คนั้นมาก็ละเลยมิได้นำเช็คนั้นไปยื่นให้ธนาคารมั่นคงฯ ใช้เงินจนเวลาล่วงเลยนับแต่วันออกเช็คมาเป็นเวลาหกเดือนเศษ นายขาวจึงนำเช็คไปยื่นให้ธนาคารมั่นคงฯ ใช้เงินตามเช็ค แต่ปรากฏว่าธนาคารมั่นคงฯตกเป็นบุคคลล้มละลายอันเนื่องมาจากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจโลก จึงไม่สามารถชำระเงินให้แก่นายขาวได้
หากข้อเท็จจริงปรากฏว่า ถ้านายขาวนำเช็คมาขึ้นเงินก่อนที่ธนาคารมั่นคงฯ จะตกเป็นบุคคลล้มละลาย ธนาคารมั่นคงฯ ก็ยังสามารถชำระเงินตามเช็คให้แก่นายขาวได้ ดังนี้ นายแดงจะยังคงต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คฉบับดังกล่าวให้แก่นายขาวอยู่หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
ก อธิบาย
กำหนดเวลาที่ผู้ทรงเช็คจะต้องยื่นเช็คทวงถามให้ธนาคารใช้เงินตามเช็คนั้น มาตรา 990 วรรคแรก ได้วางหลักให้ผู้ทรงยื่นเช็คแก่ธนาคารภายในระยะเวลาจำกัดดังนี้
– ถ้าเป็นเช็คให้ใช้เงินในเมืองเดียวกัน (จังหวัดเดียวกัน) กับที่ออกเช็ค ผู้ทรงต้องยื่นเช็คนั้นให้ธนาคารใช้เงินภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่ออกเช็ค (วันที่ลงในเช็ค) นั้น
– ถ้าเป็นเช็คให้ใช้เงินที่อื่น (เช็คที่มิได้ออกและให้ใช้เงินในเมืองเดียวกันหรือจังหวัดเดียวกัน) ผู้ทรงต้องยื่นเช็คนั้นให้ธนาคารใช้เงินภายใน 3 เดือนนับแต่วันที่ออกเช็ค (วันที่ลงในเช็ค) นั้น
ถ้าผู้ทรงเช็คละเลยเสียไม่ยื่นเช็คให้ธนาคารใช้เงินภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ย่อมเป็นผลเสียแก่ผู้ทรงดังนี้ คือ
1 ผู้ทรงสิ้นสิทธิไล่เบี้ยผู้สลักหลังทั้งปวง และ
2 ผู้ทรงสิ้นสิทธิไล่เบี้ยผู้สั่งจ่ายเพียงเท่าที่จะเกิดความเสียหายแก่ผู้สั่งจ่าย
และมาตรา 990 วรรคท้าย ยังได้วางหลักในกรณีที่ผู้สั่งจ่ายหลุดพ้นจากความรับผิดเพราะความเสียหายดังกล่าว ให้ผู้ทรงเข้ารับช่วงสิทธิของผู้สั่งจ่ายไปไล่เบี้ยเอากับธนาคารนั้นได้
ข อธิบาย
มาตรา 990 วรรคแรก ผู้ทรงเช็คต้องยื่นเช็คแก่ธนาคารเพื่อให้ใช้เงิน คือว่าถ้าเป็นเช็คให้ใช้เงินในเมืองเดียวกันกับที่ออกเช็คต้องยื่นภายในเดือนหนึ่งนับแต่วันออกเช็คนั้น ถ้าเป็นเช็คให้ใช้เงินที่อื่นต้องยื่นภายในสามเดือน ถ้ามิฉะนั้นท่านว่าผู้ทรงสิ้นสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาแก่ผู้สลักหลังทั้งปวง ทั้งเสียสิทธิอันมีต่อผู้สั่งจ่ายด้วย เพียงเท่าที่จะเกิดความเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใดแก่ผู้สั่งจ่ายเพราะการที่ละเลยเสียไม่ยื่นเช็คนั้น
วินิจฉัย
กรณีดังกล่าวเป็นเช็คที่ออกในเมืองเดียวกัน ซึ่งผู้ทรงเช็คจะต้องยื่นเช็คให้ธนาคารใช้เงินภายใน 1 เดือน นับแต่วันเดือนปีที่ลงในเช็ค มิฉะนั้นจะสิ้นสิทธิไล่เบี้ยเอาจากผู้สลักหลัง หรือผู้สั่งจ่ายเท่าที่เสียหาย โดยจากข้อเท็จจริงนั้นปรากฏว่านายขาวยื่นเช็คให้ธนาคารมั่นคงฯ ใช้เงินตามเช็คล่วงเลยเวลามาถึง 6 เดือนเศษ แต่ธนาคารมั่นคงฯ ล้มละลาย จึงไม่สามารถชำระเงินตามเช็คให้แก่นายขาวได้ ซึ่งส่งผลให้นายขาวสิ้นสิทธิในการไล่เบี้ยเงินตามเช็คกับนายแดงผู้สั่งจ่าย ทั้งนี้เพราะจากข้อเท็จจริงปรากฏว่า หากนายขาวยื่นเช็คให้ธนาคารมั่นคงฯ ใช้เงินก่อนที่จะล้มละลาย ธนาคารมั่นคงก็จะยังสามารถชำระเงินให้แก่นายขาวได้ ดังนั้นการกระทำของนายขาวทำให้นายแดงเสียหาย
สรุป นายแดงผู้สั่งจ่ายจึงหลุดพ้นไม่ต้องรับผิดชอบชำระเงิน 100,000 บาท ตามเช็คฉบับดังกล่าวให้แก่นายขาวแต่อย่างใด
ข้อ 3 ก ตั๋วเงินปลอม อาจเกิดขึ้นได้จากกรณีใดบ้าง และจะก่อให้เกิดผลตามกฎหมายแก่ผู้ทรงซึ่งชอบด้วยกฎหมายอย่างไร
ข ชื่อได้รับเช็คพิพาทจากการส่งมอบของโกงเพื่อชำระราคาสินค้าจำนวน 60,000 บาท (หกหมื่นบาทถ้วน) ข้อเท็จจริงได้ความว่าเช็คพิพาทดังกล่าวมีกล้วยเป็นผู้สั่งจ่ายระบุโกงเป็นผู้รับเงินและได้ขีดฆ่าคำว่า “หรือผู้ถือ” ในเช็คนั้นออกแล้วมอบให้โกงไว้ล่วงหน้าเพื่อเป็นประกันในการผลิตและส่งมอบสินค้าตามสัญญาให้แก่กล้วย จำนวน 50,000 บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน) ระหว่างนั้นต้นทุนการผลิตสินค้าตามสัญญามีราคาสูงขึ้น โกงจึงแก้ไขจำนวนเงินในเช็คทั้งจำนวนเงินที่เป็นตัวเลขและตัวหนังสือเป็น 60,000 บาท (หกหมื่นบาทถ้วน) แล้วลงลายมือชื่อด้านหลังเพื่อเตรียมไปฝากให้ธนาคารที่ตนมีบัญชีเรียกเก็บให้ แต่ได้เปลี่ยนใจแล้วนำเช็คพิพาทนั้นไปส่งมอบชำระราคาสินค้าให้แก่ซื่อซึ่งรับโอนเช็คนั้นไว้โดยสุจริตไม่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเนื่องจากไม่ปรากฏร่องรอยการแก้ไขหรือมีพิรุธอย่างใด ต่อมาธนาคารผู้จ่ายปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะกล้วยได้บอกห้ามธนาคารจ่ายเงินตามเช็คพิพาทนั้น เนื่องจากโกงไม่ส่งมอบสินค้าตามสัญญา พร้อมกับยกเหตุผลนั้นขึ้นต่อสู้ซื่อด้วย ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าซื่อจะฟ้องบังคับไล่เบี้ยกล้วยและโกงได้เพียงใดหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
ก ตั๋วเงินปลอม อาจเกิดขึ้นได้จาก 2 กรณี ได้แก่ การปลอมด้วยการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความสำคัญในตั๋วเงินนั้น (มาตรา 1007) และการปลอมด้วยการลงลายมือชื่อปลอมหรือลงลายมือชื่อโดยปราศจากอำนาจ (มาตรา 1008)
1 ในกรณีที่มีการแก้ไขข้อความสำคัญในตั๋วเงิน เช่น จำนวนเงินอันพึงจะใช้ (มาตรา 1007 วรรคสาม) นั้น ป.พ.พ. ได้บัญญัติผลตามกฎหมายไว้ 2 กรณีคือ
กรณีที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเป็นประจักษ์ กล่าวคือ มองเห็นได้หรือมีการแก้ไขไม่แนบเนียนหรือเห็นเป็นประจักษ์นั่นเอง โดยมิได้รับความยินยอมจากคู่สัญญาทุกคนในตั๋วเงินนั้น ย่อมเป็นผลให้ตั๋วเงินเสียไป แต่ยังคงใช้ได้กับผู้ทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือผู้ที่ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงและหรือผู้สลักหลังภายหลังการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น (มาตรา 1007 วรรคแรก)
กรณีที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ประจักษ์ กล่าวคือ มองไม่เห็น หรือมีการแก้ไขได้อย่างแนบเนียน หรือไม่เห็นเป็นประจักษ์ และตั๋วเงินนั้นตกอยู่ในมือผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย กรณีย่อมเป็นผลให้ผู้ทรงที่ชอบด้วยกฎหมายนั้นสามารถจะเอาประโยชน์จากตั๋วเงินนั้นก็ได้ เสมือนว่าตั๋วเงินนั้นมิได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเลย และจะบังคับการใช้เงินตามตั๋วเงินนั้นตามเนื้อความเดิมก็ได้ (มาตรา 1007 วรรคสอง)
2 ในกรณีที่มีการลงลายมือชื่อปลอมในตั๋วเงิน ป.พ.พ. มาตรา 1006 ได้บัญญัติให้ตั๋วเงินนั้นยังคงสมบูรณ์ใช้บังคับได้ ลายมือชื่อปลอมนั้นโดยหลักการแล้ว ไม่มีผลกระทบไปถึงความสมบูรณ์ของลายมือชื่ออื่นๆในตั๋วเงินนั้น ขณะเดี่ยวกัน ป.พ.พ. มาตรา 1008 ได้บัญญัติให้ลายมือชื่อปลอมนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้เลยผู้ใดจะแสวงสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้มิได้
ผู้ใดจะยึดหน่วงตั๋วเงินนั้นไว้มิได้ เว้นแต่ผู้ที่จะพึงถูกยึดหน่วง อยู่ในฐานะเป็นผู้ต้องตัดบท (ถูกกฎหมายปิดปาก) มิให้ยกเหตุลายมือชื่อปลอมขึ้นเป็นข้อต่อสู้
ผู้ใดจะทำให้ตั๋วเงินนั้นหลุดพ้นจากความรับผิดด้วยการใช้เงินมิได้ เว้นแต่ ได้ใช้เงินไปในกรณีที่ตั๋วเงินนั้นมีลายมือชื่อผู้สลักหลังเป็นลายมือชื่อปลอม
ผู้ใดจะบังคับการใช้เงินเอาแก่คู่สัญญาแห่งตั๋วเงินนั้นคนใดคนหนึ่งมิได้ เว้นแต่คู่สัญญาผู้ที่จะพึงถูกบังคับให้ใช้เงินนั้นจะอยู่ในฐานเป็นผู้ต้องตัดบท (ถูกกฎหมายปิดปาก) มิให้ยกลายมือชื่อปลอมขึ้นเป็นข้อต่อสู้
อนึ่งลายมือชื่อปลอมนั้น กฎหมายไม่อนุญาตให้เจ้าของลายมือชื่อที่ถูกปลอม ให้สัตยาบันแก่ลายมือชื่อปลอมนั้น กรณีย่อมเป็นผลให้เป็นตั๋วเงินที่มีลายมือชื่อปลอมตลอดไป
ข อธิบาย
มาตรา 900 วรรคแรก บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น
มาตรา 914 บุคคลผู้สั่งจ่ายหรือสลักหลังตั๋วแลกเงินย่อมเป็นอันสัญญาว่า เมื่อตั๋วนั้นได้นำมายื่นโดยชอบแล้วจะมีผู้รับรองและใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋ว ถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมรับรองก็ดี หรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง หรือแก่ผู้สลักหลังคนหลังซึ่งต้องถูกบังคับให้ใช้เงินตามตั๋วนั้น ถ้าหากว่าได้ทำถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว
มาตรา 916 บุคคลทั้งหลายผู้ถูกฟ้องในมูลตั๋วแลกเงินหาอาจจะต่อสู้ผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างตนกับผู้สั่งจ่ายหรือกับผู้ทรงคนก่อน นั้นได้ไม่ เว้นแต่การโอนจะได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล
มาตรา 959 ผู้ทรงตั๋วแลกเงินจะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บรรดาผู้สลักหลัง ผู้สั่งจ่าย และบุคคลอื่นๆซึ่งต้องรับผิดตามตั๋วเงินนั้นก็ได้ คือ
(ก) ไล่เบี้ยได้เมื่อตั๋วเงินถึงกำหนดในกรณีไม่ใช้เงิน
มาตรา 967 วรรคแรก ในเรื่องตั๋วแลกเงินนั้น บรรดาบุคคลผู้สั่งจ่ายก็ดีรับรองก็ดี สลักหลังก็ดี หรือรับประกันด้วยอาวัลก็ดี ย่อมต้องร่วมกันรับผิดต่อผู้ทรง
มาตรา 989 วรรคแรก บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้ คือบทมาตรา … 914 ถึง 923 959 967
มาตรา 1007 ถ้าข้อความในตั๋วเงินใด หรือในคำรับรองตั๋วเงินใด มีผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญโดยที่คู่สัญญาทั้งปวงผู้ต้องรับผิดตามตั๋วเงินมิได้ยินยอมด้วยหมดทุกคนไซร้ ท่านว่าตั๋วเงินนั้นก็เป็นอันเสีย เว้นแต่ยังคงใช้ได้ต่อคู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น หรือได้ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น กับทั้งผู้สลักหลังในภายหลัง
แต่หากตั๋วเงินใดได้มีผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญ แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ประจักษ์และตั๋วเงินนั้นตกอยู่ในมือผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้ทรงคนนั้นจะเอาประโยชน์จากตั๋วเงินนั้นก็ได้เสมือนดังว่ามิได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเลย และจะบังคับการใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋วนั้นก็ได้
กล่าวโดยเฉพาะ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเช่นจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านถือว่าเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญ คือการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอย่างใด ๆ แก่วันที่ลง จำนวนเงินอันจะพึงใช้ เวลาใช้เงิน สถานที่ใช้เงินกับทั้งเมื่อตั๋วเงินเขารับรองไว้ทั่วไปไม่เจาะจงสถานที่ใช้เงิน ไปเติมความระบุสถานที่ใช้เงินเข้าโดยที่ผู้รับรองมิได้ยินยอมด้วย
วินิจฉัย
เช็คพิพาทดังกล่าวมีการแก้ไขจำนวนเงินในเช็คแบบไม่ประจักษ์ เช็คพิพาทยังคงมีผลบังคับกับโกงตามเนื้อความที่แก้ไขเสมือนมิได้มีการแก้ไขเลย และยังคงบังคับเอากับกล้วยให้ต้องรับผิดตามเนื้อความเดิม (จำนวนคงเดิม) ได้อีกด้วยตามมาตรา 1007 วรรคสองและวรรคสาม
ดังนั้น ในกรณีที่ธนาคารผู้จ่ายปฏิเสธการจ่ายเงิน ชื่อซึ่งเป็นผู้ทรงที่ชอบด้วยกฎหมายมีสิทธิบังคับไล่เบี้ยโกง ผู้สลักหลังเช็คพิพาทได้ตามจำนวนเงินที่แก้ไขใหม่ (60,000 บาท) และหรือบังคับไล่เบี้ยกล้วยผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้รับผิดตามจำนวนเงินเดิม (50,000 บาท) โดยรับผิดร่วมกัน อีกทั้งกล้วยไม่อาจยกเหตุผลที่มีต่อโกงขึ้นมาเป็นข้อต่อสู้ เพราะเป็นความเกี่ยวพันระหว่างตนที่มีต่อโกงผู้ทรงคนก่อนตามมาตรา 900 วรรคแรก 914 916 959 ก) ประกอบมาตรา 989 วรรคแรก
สรุป ซื่อสามารถฟ้องบังคับไล่เบี้ยกล้วยได้ 50,000 และโกงได้ 60,000 บาท โดยรับผิดร่วมกัน